บทที่ 1159 มนุษย์ที่ไม่ปกติ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“ผ่านไปหลายนาทีแล้วนะ…”

บนทางเดินชั้น 1 มู่เฉินกำลังแนบแผ่นหลังชิดผนัง และกวาดมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก

“จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่ถูกโจมตีเลย หรือว่ามีใครในทีมใช้กลยุทธ์อะไรแล้วงั้นเหรอ? อืม…จะว่าไปแล้ว ประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากหัวหน้าทีมเฮยซือ ถึงจะได้ยินไม่ครบ แต่ประโยคสุดท้ายที่บอกคือให้ ‘ยืนอยู่ที่เดิม’…น่าจะหมายความว่าห้ามไปไหนสินะ…แล้วพอคิดดูดีๆ ตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ในตอนนั้นก็น่าจะอยู่ใกล้ปากบันไดมากที่สุดด้วย”

มู่เฉินมองไปที่ปากบันไดซึ่งไร้เงาคน…ความจริงแล้ว จากจุดที่เขายืนอยู่จนถึงปากบันไดยังมีอีกหลายคนยืนกั้นอยู่ แต่เพราะเหตุเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาจึงจำไม่ได้ว่ามีใครบ้างที่ยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง ยิ่งจำตำแหน่งของพวกเขาไม่ได้ เรื่องที่เขามั่นใจได้มีเพียงเรื่องเดียว คือตอนนั้น “ด้านซ้ายและด้านขวาของเขาไม่มีคน” ถ้าไม่อย่างนั้น เกรงว่าเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวมาแนบผนังอย่างนี้แน่นอน

“ส่วนอวี๋ซือหรานที่เข้ามาในนี้ก่อน เธอน่าจะอยู่แถวๆ นั้น…ซึ่งก็หมายความว่า ขอเพียงหัวหน้าทีมเฮยซือรู้ตำแหน่งของอวี๋ซือหราน เธอก็จะสามารถขึ้นไปบนชั้นสอง…การคาดเดานี้ง่ายดายมาก คงไม่ใช่แค่ฉันที่คิดได้ หรือถึงคนอื่นๆ จะคิดไม่ได้ แต่ก็น่าจะอดทนรอต่อไปนะ”

มู่เฉินเพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ สีหน้าพลันสลดลงทันใด

“ไม่สิ ฉันลืมมนุษย์ที่ไม่ปกติไปคนหนึ่ง…”

ท่ามกลางความเงียบสงัด มู่เฉินที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังรู้สึกหนังศีรษะตึงชา…

การเร่งเคลื่อนไหวก่อนเป็นโอกาส แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงด้วยเช่นกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายเป็นตัวอะไร แน่นอนว่ายิ่งระมัดระวังเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเรื่องดี…

“แต่เจ้าเฟิ่งจื่อนั่น…หมอนั่นต้องไม่เลือกวิธีปกติที่คนเขาทำกันแน่นอน…”

แอ๊ดดด~~~

อวี่เหวินซวนค่อยๆ ผลักประตูห้องที่อยู่ข้างหลังออก และถอยเข้าไปในนั้นช้าๆ

ระหว่างที่ถอยหลังเข้าไปในห้อง เขาแนบแผ่นหลังชิดผนังอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อถอยหลังจนพ้นขอบประตู เขาก็ผ่อนคลายทันที

“อืม…อยู่ในนี้น่าจะไม่ต้องห่วงว่าจะเจอใครแล้ว…อีกอย่างที่นี่น่าจะรับมือกับการโจมตีได้ดีกว่า เฮ้อ ถ้าทุกคนเข้าไปหลบในห้องได้ก็คงดี”

อวี่เหวินซวนพลิกฝ่ามือปิดประตู จากนั้นก็กวาดมองซ้ายขวา

“ฉันหยุดเดินอยู่หน้าห้องนี้พอดี แต่คนอื่นคงไม่ได้โชคดีอย่างนี้ ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังอยู่ที่ทางเดิน เพราะไม่สามารถขยับตัวได้ จึงไม่ต่างจากเป้าล่อที่หยุดอยู่กับที่ ขอเพียงศัตรูมีมีดเพียงเล่มเดียวก็เข้าใกล้พวกเราได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่ว่า…ทุกกับดักล้วนมีจุดอ่อน ดังนั้นถึงแม้อีกฝ่ายจะเข้าใกล้ได้ แต่ก็อาจเผยจุดอ่อนให้เห็นด้วยเช่นกัน”

“สิ่งที่ปิดกั้นพวกเราไว้ก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่งเหมือนกัน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการโจมตีแบบใด ก็ต้องปะทะกับพลังงานขุมนี้อยู่ดี…กระทั่งแม้แต่การใช้ปืนยิงจู่โจมอยู่ที่เดิม ก็อาจเป็นการเผยตำแหน่งของตัวเองให้พวกเรารู้”

“แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ…สิ่งที่สำคัญที่สุดเกรงว่าจะเป็น…เป้าหมายหลักที่อีกฝ่ายต้องการโจมตี คือพวกหลิงม่อต่างหาก”

ถ้าหากว่าพวกเขาคือเป้าหมายของอีกฝ่ายจริง อีกฝ่ายคงเริ่มโจมตีตั้งแต่ที่พวกเขาตกหลุมพรางแล้ว

“อืม…โดนดูถูกซะแล้ว…ดูท่า อีกฝ่ายคงคิดว่าแค่รั้งพวกเราไว้ซักช่วงหนึ่งก็พอแล้ว พอถึงตอนนั้นถึงพวกเขาจะผ่านการต่อสู้และเผาผลาญพลังงานมามากแล้ว และค่อยหันมาจัดการกับพวกเรา ก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ”

อวี่เหวินซวนหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมายัดใส่ปาก เปลวไฟพลันติดพรึบขึ้นที่ปลายนิ้ว เขาสอดสองมือเข้าในกระเป๋ากางเกง และเดินเข้าไปยังด้านในของห้อง

“เมื่อก่อนฉันคิดว่าตัวเองช่วยพวกเขาได้มาก…แต่ตอนนี้กลับค้นพบว่าถึงแม้ฉันจะช่วยพวกเขาดูแลค่ายปาฏิหาริย์ แต่ความจริงเขาต่างหากที่เป็นคนทำทุกอย่าง ถึงแม้เขาจะเคยใช้กำลังของค่ายปาฏิหาริย์บ้าง แต่ถ้าพูดกันตามความจริงมันก็ไม่ได้มากมายนัก ตรงกันข้าม ค่ายน้องใหม่แห่งนี้กลับมีของแถมติดตัวมาด้วยมากมาย…อย่างเช่นภัยคุกคามจากฟอลคอน แล้วยังมีความคาดหวังและคิดไม่ซื่อจากคนภายในอีกมากมาย ปกติฉันไม่ออกหน้าเพื่อเป็นการข่มขวัญพวกนั้น แต่ตอนนี้วิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว หลิงม่อเองก็เห็นชัดว่ารู้เรื่องนี้ดี ถึงได้มองข้ามฟอลคอน แล้วรีบออกมาตามหาเสบียงอาหารและอาวุธก่อน ถ้าหากขนอาหารล็อตนั้นกลับไป อย่างน้อยจิตใจของหลายๆ คนก็น่าจะสงบลงบ้าง แต่ถ้ายึดอาหารล็อตนี้มาครองสำเร็จ จึงจะถือว่าเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง…”

“อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ฉันช่วยได้ช่างมีน้อยเหลือเกิน…”

“ไม่ต่างจากตอนนั้นเลย…ไม่มีพละกำลัง…ก็จะโดนดูถูก…เลือกที่จะปกป้องฉัน แต่กลับไม่คิดพึ่งพาฉัน…”

เขาจ้องบุหรี่ที่คาบไว้ในปาก…และเห็นชัดว่าเขามองไม่เห็นควันบุหรี่

หลังจากตกเข้ามาในหลุมพรางของศัตรู สิ่งที่พวกเขามองเห็น มีเพียงสภาพแวดล้อมที่ถูกเซ็ตไว้แล้วเท่านั้น

ซึ่งนั่นก็คืออาคารออฟฟิศที่วังเวง ไร้ซึ่งเงาคนหลังนี้…

“ฉันรู้ว่าฉันเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งมาก…แต่ว่า ฉันก็อยากแสดงให้เห็นเหมือนกันว่าฉันไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ”

มีเพียงต้องแข็งแกร่งมากพอ…ถึงจะสามารถท่องโลกภายนอกได้เหมือนหลิงม่อสินะ…

และมีเพียงต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นเท่านั้น เขาถึงจะหาเธอพบ…

“หวังว่าตอนที่ฉันเจอเธอ ฉันจะแข็งแกร่งกว่าเธอนะ…ฉันจะได้เป็นฝ่ายปกป้องเธอบ้าง…”

ที่นี่เป็นห้องทำงานที่ไม่ค่อยใหญ่มาก แบ่งออกเป็นสองส่วน คือห้องด้านในและห้องด้านนอก

อวี่เหวินซวนเดินตรงเข้าไปในห้องด้านใน จากนั้นก็มองไปที่หน้าต่าง

ด้านนอกบานหน้าต่างที่แตกเป็นเสี่ยงๆ มีแต่หญ้ารกชัฏ ไร้เสียงใดเล็ดลอดเข้ามา แต่อวี่เหวินซวนรู้ว่านี่เป็นเพียงภาพที่เขาเห็น และได้ยินเท่านั้น

“ไม่แน่ว่าพวกหลิงม่ออาจปะทะกับศัตรูไปแล้วก็ได้”

อวี่เหวินซวนจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบบุหรี่ออกจากปาก

เขาหนีบบุหรี่ไว้ในมือ และยื่นมันออกไปนอกหน้าต่าง

“ดูจากสถานการณ์เมื่อกี้…ม่านพลังสกัดกั้นของอีกฝ่ายน่าจะปกคลุมไปทั่วโกดังอาหาร แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีจุดที่พลังงานอ่อนหลงเหลืออยู่…อย่างเช่นจุดที่เหลือไว้เป็นทางเดินให้คนของตัวเอง”

ม่านพลังไม่แยกแยะมิตรศัตรู…แต่สาเหตุที่อีกฝ่ายทำให้เกิดผลกระทบกับคนบางกลุ่มได้ เพราะว่าผู้มีความสามารถพิเศษพวกนี้จงใจลดทอนประสิทธิภาพของม่านพลังที่เกิดขึ้นกับตัวเองลง ยิ่งมีพลังแข็งแกร่ง ยิ่งควบคุมพลังได้ในระดับที่ละเอียดอ่อน แต่ถ้าหากมีพลังไม่มากพอ ก็ทำได้เพียงต้องเหลือจุดอ่อนเอาไว้เพื่อไม่ให้คนของตัวเองได้รับผลกระทบมากนัก และขณะเดียวกันการทำอย่างนี้ยังเป็นการประหยัดพลังงานอีกด้วย

แน่นอนว่าสามารถแผ่พลังปกคลุมทั่วโกดังอาหารได้อย่างนี้ ศัตรูต้องมีพลังที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถึงแม้จะแข็งแกร่งอีกแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่มีทางแผ่พลังปกคลุมโกดังอาหารซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางขนาดนี้ไปพร้อมกับการดูแลคนของตัวเองทั้งหมด กระทั่งไม่ให้เกิดจุดอ่อนแม้แต่น้อยได้แน่นอน…มันเป็นเรื่องที่ยากเกินไป

ถ้าคนเดียวอาจจะเป็นได้ แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าไม่ได้มีม่านพลังสกัดกั้นเพียงชั้นเดียว

“ดังนั้น…ฉันจะตามหาจุดอ่อนพวกนั้นให้ได้…เพราะมันเป็นเรื่องเดียวที่ฉันจะทำได้ในตอนนี้…”

มือของอวี่เหวินซวนพลันชะงัก เขามองเห็นแล้ว…

บนปลายบุหรี่ที่เลือนรางบ้างชัดเจนบ้าง ในที่สุดก็ปรากฏควันจางๆ…

“จุดอ่อนของ…ม่านพลัง…อยู่ตรงนี้”

—————————————————————————–