บทที่ 10 แว้งกัดผู้ที่ให้อาหาร NewNovel
บทที่ 10
แว้งกัดผู้ที่ให้อาหาร
เห็นดังนั้นจระเข้จักรพรรดิมรกตก็อ้าปากกว้างใหม่อีกครั้งและกระโจนเข้ากัดเย่เย่ที่อยู่ใกล้ๆทันที
เหล่านักเดินทางที่เตรียมพร้อมอยู่รอบๆตัวเย่เย่นั้นพยายามรีบเข้าไปช่วยโจมตีสกัดจระเข้จักรพรรดิมรกตไว้ แต่ลำพังการโจมตีของพวกเขามันไม่ได้ทำให้จระเข้ยักษ์ตนนั้นหยุดลงได้เลย
“ออกไปจากที่นี่!”
เย่เย่ไม่ปล่อยให้ตนเองตกเป็นเหยื่อที่รอวันตาย เขาชักดาบขึ้นมาและฟันไปที่ใต้ท้องของจระเข้จักรพรรดิมรกตในทันที
สัตว์ร้ายได้รับบาดเจ็บมาพอสมควร ด้วยความเกรี้ยวกราดมันหันกลับไปหาเย่เย่พร้อมกับปากที่อ้ากว้างหมายจะกัดคอพร้อมกับปล่อยกลุ่มก้อนพลังงานอันรุนแรงใส่ในระยะประชิดด้วย
ร่างกายของเย่เย่มันถอยกลับโดยไม่ต้องสั่ง แต่กับคนอื่นนั้นเขาไม่มั่นใจ ดังนั้นเย่เย่จึงตะโกนบอกคนเหล่านั้นในขณะที่ตัวเองก็พยายามสร้างช่องว่างระหว่างตัวเขาและอสุรกายตรงหน้าไปด้วย
ทว่าจระเข้จักรพรรดิมรกตนั้นมีการตอบสนองที่ไวผิดกับขนาดตัวที่ใหญ่ของมันมากๆ มันกระโดดลอยขึ้นสูงราวกับเงาที่ลอยพาดผ่านฟ้าไป
หัวใจของเย่เย่สั่นระทมไปทั้งตัว และอีกครั้งที่ร่างกายของเขามันขยับไปโดยไม่ลังเล เขาม้วนตัวหลบอย่างรวดเร็วไปยังด้านข้างจากจุดที่ยืนอยู่
*ตู้ม!*
กลุ่มก้อนพลังงานถูกปล่อยออกมาอีกครั้งจากเหนือหัว ซึ่งครั้งนี้เย่เย่เพิ่งจะยืนขึ้นได้จากการที่ม้วนตัวเมื่อครู่ แม้จะไม่โดนจังๆแต่มันก็ทำให้ร่างของเขารับแรงปะทะหนักหน่วงพอดูอยู่เหมือนกัน
“เย่เย่ ระวัง!”
“ถ้าเจ้ารับมือไม่ไหวเรารีบถอยกลับเถอะ! เราไม่จำเป็นต้องล่ามันหรอกนะ!”
“ท่านพี่เย่ ท่านเป็นความหวังของพวกข้าก็จริงแต่อย่าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเลยนะ!”
ฉินหมิงและคนอื่นๆมองเย่เย่ด้วยความเป็นห่วง และบางคนก็เริ่มคิดถึงเรื่องยอมแพ้ที่จะล่าจระเข้จักรพรรดิตนนี้แล้ว กระนั้นเย่เย่ก็เพียงส่ายหน้าเบาๆและตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไป
เพียงแค่เย่เย่ได้ยืนหยัดขึ้นมาอย่างมั่นคงอีกครั้ง จระเข้จักรพรรดิมรกตก็แสดงสีหน้าเหนียดหยามในความเป็นมนุษย์ออกมาและพุ่งเข้าโจมตีเขาอีกครั้ง ครั้งนี้มันเลือกที่จะใช้กรงเล็บแหลมคมไล่ตะปบไปที่คอเย่เย่แทน
และเพราะครั้งนี้ระยะของเขาและมันค่อนข้างจะอยู่ใกล้กันมากๆ ดังนั้นแล้วความเร็วที่ตามปกติก็คิดว่าเร็วอยู่แล้วของจระเข้จักรพรรดิมรกต จึงเพิ่มขึ้นอีกจนน่าประหลาดใจ และด้วยความเร็วกับระยะระดับนี้ แม้แต่เย่เย่เองก็หลบไม่ได้ เห็นดังนั้นแล้วแววตาของเย่เย่ก็แสดงออกถึงความดุร้ายออกมาชั่วขณะ
“ออกไปสะ!”
เขารวมความแข็งแกร่งจากทั่วทั้งร่างกายไปไว้ที่กำปั้นก่อนจะซัดหมัดนั้นสวนกับกรงเล็บที่ตะปบลงมาที่เขาในทันที
*ผั้วะ!*
เสียงของหมัดและกรงเล็บที่ปะทะกันดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า จระเข้จักรพรรดิร้องออกมาเสียงดังก่อนจะกระเด็นถอยหลังกลับไปตามแรงปะทะของเย่เย่
จากเดิมที่บาดเจ็บบริเวณใต้ท้องอยู่แล้ว ในตอนนี้จระเข้จักรพรรดิมรกตนั้นบาดเจ็บหนักขึ้นไปกว่าเดิมอีก มันคำรามใส่ เย่เย่พร้อมกับอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อจะกัดขย้ำลงไปที่หัวของ เย่เย่ที่อยู่ในระยะ
แต่เย่เย่เองก็ไม่ได้หละหลวมในการระวังภัยอยู่แล้ว เขารอจังหวะโต้กลับอยู่ตลอด ยามที่จระเข้ยักษ์ตนนั้นพุ่งเข้ามาเขาจึงใช้มือข้างเดียวจับคอของมันเอาไว้แล้วเหวี่ยงกลับลงไปบนพื้นดินจนร่างกายที่ใหญ่โตของมันถึงกับหงายกลิ้งลงไปทันที
เย่เย่ใช้จังหวะที่การป้องกันของจระเข้จักรพรรดิมรกตลดต่ำลงกระโจนขึ้นไปขี่หลังมันเอาไว้พร้อมกับใช้ดาบของเขากวัดแกว่งเพื่อหมายสังหารอสูรร้ายตนนี้ให้ตายโดยเร็วพลัน
กระนั้นแล้วใช่ว่าจระเข้จักรพรรดิตนนี้จะยอม มันสู้กลับทุกวิถีทางเช่นกัน บ่อยครั้งที่มันพยายามจะพลิกตัวหรือหันหน้ากลับไปกัดเย่เย่ หรือในบางที่ก็ใช้กรงเล็บพยายามตะปบด้วย
“อั่ก!”
ขณะที่กำลังฟัดเหวี่ยงกันอยู่นั้นเอง เย่เย่ก็พลาดท่าโดนกัดเข้าที่แขนอย่างจังจนเลือดสีแดงไหลพุ่งออกมา แต่ในเมื่อมันไม่ยอม เขาเองก็ไม่ยอม เย่เย่กำหมัดแน่นและซัดเข้าไปที่คอของจระเข้จักรพรรดิมรกตเต็มแรงจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างไปเลย
สัตว์ร้ายในคราบของจระเข้ตกใจมากๆในความดุร้ายของเย่เย่ แต่มันก็ยังไม่ยอมถอย แววตาของสัตว์ร้ายที่ไม่ยอมแพ้นั้นสั่งให้มันโจมตีเย่เย่ให้หนักหน่วงกว่าเดิมอีกราวกับเริ่มจะบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว ทั้งสองสู้กันรุนแรงเสียต้นไม้ใบหญ้าทุ่งผกาพากันพังเป็นแถบๆ ชายฝั่งทะเลสาบที่เคยเงียบสงบนั้น ตอนนี้กลายเป็นสังเวียนของ 1 คนและ 1 สัตว์อสูรไปเสียแล้ว พวกเขาสู้กันตั้งแต่ริมหาดจนกระทั่งเขยิบเข้าไปในป่าและจากในป่าวกกลับมายังทะเลสาบอีกครั้ง ซึ่งในทุกๆที่ที่ทั้ง 2 ผ่านไปก็จะทิ้งคราบเลือดไว้ให้ติดตามอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย
ในท้ายที่สุด เย่เย่ก็สามารถฆ่าจระเข้จักรพรรดิมรกตได้ด้วยดาบเหล็กดำของเขาและทักษะการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ฉินหมิงและคนอื่นๆต่างพากันชะงักไปขณะที่ดูเหตุการณ์นี้อยู่ตลอด และในขณะเดียวกันพวกเขาก็โล่งอกด้วยเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมานั้นไปในทิศทางที่ดี
การต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่นั้นตราตรึงใจทุกๆคนมากๆ และพวกเขาคิดว่าเย่เย่ยอมเอาตัวเข้าไปจัดการกับจระเข้จักรพรรดิมรกตก็เพื่อสร้างโอกาสให้เหล่าคนจากอารามจ้าววรยุทธ์มีโอกาสได้ถอยออกจากจุดนั้น
“ฮ่ะฮ่า! โชคดีเป็นของข้า ข้ารอดชีวิต!”
เย่เย่ยิ้มจางๆขึ้นมาให้ฉินหมิงและคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเขา โดยสีหน้าเขานั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเหนื่อยสุดๆ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ท่านพักผ่อนเสียก่อนเถอะ”
ฉินหมิงตบไหล่เย่เย่เบาๆและช่วยประคองเย่เย่ไว้ ซึ่งในตอนนั้นภาพของเย่เย่ในใจพวกเขาเป็นมากกว่าผู้มีพระคุณเสียอีก
ได้ยินดังนั้นเย่เย่ก็พยักหน้าและมองไปยังซากศพของจระเข้จักรพรรดิมรกต
ในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวเก็บเกี่ยวดวงตาของปีศาจตนนั้นอย่างมีความสุขนั้นเอง กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่นัก
คนเหล่านั้นรีบเดินย่ำเท้าเข้ามาและล้อมเย่เย่กับเหล่าคนจากอารามจ้าววรยุทธ์ไว้อีกทีหนึ่ง พวกเขาคือเฉินเทียนเฟิงและเหล่าคนหยาบคายที่เจอกับเย่เย่ก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ฮ่าๆๆๆๆ ท่านนี่ทำให้ข้าตกใจได้เรื่อยๆจริงๆ! ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะสามารถเก็บเกี่ยวมันได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้!”
เฉินเทียนเฟิงนั้นไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว และตอนนี้เขากำลังมองเย่เย่ด้วยแววตาที่ซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้อยู่
ก่อนหน้านี้พวกเขารอให้เย่เย่ปรากฏตัวด้านนอกภูเขาอยู่นานตั้งแต่ที่พวกเขารักษาบาดแผลของตนเองเสร็จ การที่รอนานแล้วเย่เย่ยังไม่โผล่ออกไปมันทำให้คนเหล่านี้ตัดสินใจเดินเข้ามาภายในป่าเอง และจังหวะนั้นพวกเขาก็พบว่าเย่เย่กำลังสู้กับจระเข้จักรพรรดิมรกตอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ แม้จะเห็นดังนั้นแล้วแต่พวกเขาก็เลือกที่จะซ่อนตัวไว้ก่อนจนกระทั่งเย่เย่สามารถกำจัดจระเข้จักรพรรดิมรกตได้ลง
“อะไรน่ะ พวกเจ้าหันกลับมาแว้งกัดคนที่ให้อาหารแล้วงั้นเหรอ?! ช่างหน้าไม่อายเลยจริงๆนะ!”
การกระทำของเฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกของเขามันทำให้เย่เย่เห็นถึงจุดมุ่งหมายของคนเหล่านี้ชัดเจน ซึ่งมันทำให้สีหน้าของเย่เย่ดูจะไม่เป็นมิตรขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมา
“ท่านพี่เย่ คนพวกนี้คือใครกันหรือ? ท่านรู้จักมาก่อนหรือเปล่า?”
ฉินหมิงเดินเข้าไปหาเย่เย่พร้อมกับหันไปมองยังเฉินเทียนเฟิงกับพรรคพวกด้วยความระมัดระวัง
เย่เย่อธิบายเรื่องราวที่เขาพบเฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกให้ฉินหมิงฟังคร่าวๆ และหลังจากได้ฟังเรื่องนั้นเหล่าศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ต่างก็พากันโกรธเคืองขึ้นมา
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ท่านพี่เย่ไม่น่าไปช่วยพวกเจ้าไว้จากคนพวกนั้นเลย!”
“พวกนี้มันรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ!”
“พวกเจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์สินะ? ข้าจะจดจำเอาไว้”
แม้แต่ฮั่วเฟิงเองก็ยังโกรธไปกับการกระทำเหล่านี้ของอีกฝ่าย แต่เพราะเขานั้นเป็นผู้ที่สูงอายุที่สุดในบรรดาศิษย์สำนักอารามจ้าววรยุทธ์ ดังนั้นนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอคนประเภทนี้
เขาค่อยๆเดินเข้าไปหาเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น “เอาล่ะพวกเจ้า พวกข้าคือศิษย์สำนักอารามจ้าววรยุทธ์ หากพวกเจ้าคิดจะมาเพื่อฆ่าผู้คนแล้วชิงทรัพย์แล้วล่ะก็ ข้าอยากให้พวกเจ้าคิดดูถึงผลของการกระทำที่จะตามมาให้ดีเสียเถิด”
เมื่อเฉินเทียนเฟิงได้ยินว่าฮั่วเฟิงและคนอื่นๆตรงหน้าเขานี้เปิดเผยตัวตน แววตาของเขาก็ต้องตกตะลึงเป็นอันมาก รวมไปถึงเหล่าพรรคพวกที่มาด้วยกันเองก็อยู่ในสภาพที่ดูไม่ดีเสียเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนรู้ดีถึงความหมายที่คนจากอารามจ้าววรยุทธ์เอ่ยขึ้นมาเมื่อครู่
ในตอนนี้ไม่ว่าจะฮั่วเฟิงหรือใครก็ตามที่มาจากอารามจ้าววรยุทธ์ต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันหมด ดังนั้นแล้วพลังในการต่อสู้ตอนนี้เหลือกันอยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว เย่เย่เองก็เสียแรงไปมากกับการต่อสู้กับอสุรกายก่อนหน้า เพราะฉะนั้นเขาไม่น่าจะสามารถรับมือเฉินเทียนเฟิงกับคนอื่นๆไหว ด้วยเหตุนี้ ฮั่วเฟิงจึงจำเป็นต้องเอาชื่อเสียงของตนออกมาพูดเพื่อข่มขู่ให้เฉินเทียนเฟิงถอยกลับไป
ทว่า เฉินเทียนเฟิงที่มองไปยังศพของจระเข้จักรพรรดิมรกตที่นอนกองอยู่กับพื้นก่อนจะสลับไปมองเย่เย่ที่กำลังยื่นมือเข้าไปหมายจะจัดการกับซากของจระเข้ยักษ์ตนนี้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปพร้อมกับกัดฟันไว้แน่น “พวกคนจากอารามจ้าววรยุทธ์ไปได้ แต่เย่เย่กับของที่เจ้านี่ขโมยมานั้นเป็นของพวกข้า!”
เฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกนั้นดักรอเย่เย่มานานแล้ว มันเลยทำให้พวกเขาไม่คิดจะยอมปล่อยเย่เย่ไปง่ายๆ
รวมไปถึงตอนนี้ความอยากได้มันครอบงำทำให้ความกลัวของเขาถูกกลบไปจนหมด หากเป็นตามปกติพวกเขาคงจะถอย แต่ในครั้งนี้ แม้ตรงหน้าจะมีเหล่าอารามจ้าววรยุทธ์อยู่หลายคน คนพวกนี้ก็กล้าที่จะเผชิญหน้าโดยไม่ไปไหน
“เจ้า! มารร้ายกัดกินใจเจ้าไปหมดแล้วหรือไร! ท่านพี่เย่คือผู้มีพระคุณของพวกข้า! เช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายเขาแน่! ไม่มีทาง!”
“ใช่! ถ้าพวกเจ้าคิดจะลงดาบที่ท่านเย่ พวกเจ้าก็ลองผ่านพวกข้าไปให้ได้ก่อน!”
ฉินหมิงและคนอื่นๆเดินขึ้นมาด้านหน้าเพื่อขวาง เฉินเทียนเฟิงและเย่เย่เอาไว้พร้อมกับพูดออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ถึงแม้ว่าก่อนหน้าที่จะเข้ามาในภูเขาหลี่เทียน พวกเขาเหล่านี้จะรู้มาบ้างแล้วว่าผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ที่อยู่ในสำนักอื่นนั้นต่างก็ล้วนอยู่เหนือกฎหมายกัน ดังนั้นชื่อเสียงการเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์เองก็ไม่น่าจะใช้ได้ผลในสถานการณ์เช่นนี้ด้วย แต่ฉินหมิงเองก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายนั้นจะกล้ายืนหยัดโดยไม่เกรงกลัวขนาดนี้
“ข้าคือ ฉินหมิง บุตรชายของผู้ปกครองอารามจ้าววรยุทธ์ หากเจ้าคิดจะแตะตัวข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าสัญญาได้เลยว่าสำนักของพวกเจ้าจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไปในอนาคตแน่”
เขาพูดอย่างชัดเจนว่าถ้าหากจะปล่อยเขาไป เย่เย่ก็ต้องไปด้วย และการที่เอาตัวตนของเขามาเปิดเผยนั้นถือเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขาแล้ว
เพราะตัวตนของเขานั้นเป็นดังขุมสมบัติที่มีชีวิต หากตัวเขาตกไปอยู่ในมือของใครก็ตามที่คิดปองร้ายใส่อารามจ้าววรยุทธ์แล้ว อนาคตของที่แห่งนี้เองก็จะไม่มั่นคงเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะปกปิดตัวตนของเขาไว้หากไม่จำเป็นต้องใช้มันมาโดยตลอด
จริงอยู่ที่สถานการณ์ในตอนนี้มันยิ่งไม่สมควรเปิดเผย แต่ถ้าหากไม่ทำอะไรสักอย่าง บางทีเฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกคงต้องลงไม้ลงมือกับเย่เย่เป็นแน่แท้
“หา?! เจ้าคือบุตรชายของผู้ปกครองแห่งอารามจ้าววรยุทธ์งั้นเหรอ?!”
ท่าทีนี้มันชัดเจนเลยว่า แม้แต่เฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกเองต่างก็รู้ดีถึงตัวตนนี้ สีหน้าของพวกเขาดูจะน่าเกลียดไปมากกว่าเดิมอีก
มันเป็นดั่งที่ฉินหมิงพูดนั่นแหละ ไม่มีสำนักไหนในโลกใบนี้ที่จะกล้าโจมตีฉินหมิง ซึ่งถ้าหากเมื่อครู่เขาเผลอลงมือไป สำนักอัคคีได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์แน่ๆ
เฉินเทียนเฟิงมองไปยังเย่เย่ด้วยความลังเล ซึ่งคนอื่นๆที่มากับเขาเองก็ลังเลด้วยเหมือนกัน
ในตอนนั้นเอง เย่เย่ก็ตั้งใจเดินเข้าไปหาเฉินเทียนเฟิงด้วย “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าอยากจะได้อัญมณีสีม่วงนี้คือหรือไงน่ะ? เช่นนั้นแล้วก็เอาคืนไป! รวมถึงดวงตาของจระเข้จักรพรรดิมรกตนี่ข้าก็ไม่ต้องการมันตราบใดที่พวกเจ้าจะปล่อยพวกข้าไป”
ทั้งฉินหมิงและคนอื่นๆต่างตกใจเมื่อเห็นว่าเย่เย่หยิบเอาอัญมณีสีม่วงออกมาและส่งมันให้เฉินเทียนเฟิง แม้ว่าพวกเขาจะพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมเย่เย่ขนาดไหน แต่ทั้งหมดก็โดนเย่เย่ห้ามไว้เสียก่อน
ยามที่อัญมณีชิ้นดังกล่าวถูกส่งคือเฉินเทียนเฟิง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาทันที แม้ว่าตัวเขาจะยังสงสัยในความลับของ เย่เย่อยู่มาก แต่เมื่อสิ่งล้ำค่านี้กลับมาอยู่กับตัวเขา เขาก็ตัดสินใจไม่พูดต่อ
“ได้! เช่นนั้นแล้วดวงตาของจระเข้จักรพรรดินี่ก็เป็นของพวกข้าด้วย! ส่วนพวกเจ้าไปได้แล้ว!”
เฉินเทียนเฟิงโบกไม้โบกมือเพื่อเรียกให้พลพรรคของเขาตามเขาไปยังซากของจระเข้จักรพรรดิมรกต
เมื่อเห็นว่าพวกตนสามารถไปได้แล้ว เย่เย่และพวก ฉินหมิงก็รีบขึ้นม้าและออกจากพื้นที่นั้นโดยพลัน
“ท่านพี่เย่! ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นะ ข้าคิดว่าพวกนั้นคงไม่กล้าสู้กับพวกเราหรอก!”
ฉินหมิงที่กำลังควบม้าวิ่งขึ้นไปเทียบข้างเย่เย่เพื่อจะพูดเรื่องนี้กับเขา
“ไม่ต้องกังวล เจ้าเห็นข้าเป็นคนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ได้งั้นหรือ? ปล่อยพวกนั้นตายไปเพราะความละโมบเถิด”
สีหน้าของเย่เย่แสดงให้เห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา ซึ่งในขณะเดียวกัน เขาก็หยุดม้าแล้วหันกลับไปมองยังทิศทางที่มีศพของจระเข้จักรพรรดิมรกตถูกฆ่าไว้
*เปรี้ยง!*
เสียงระเบิดพร้อมกับสายฟ้าฟาดดังขึ้นจากจุดที่เย่เย่มองไป และมันดังไกลมาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ ณ ปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เสียงเท่านั้น แต่คลื่นความร้อนก็แผ่กระจายผ่านผืนป่าส่งมาถึงผิวหนังราวกับอยู่ใกล้ๆจุดที่เกิดระเบิดด้วย ช่างเป็นการระเบิดที่รุนแรงอะไรขนาดนี้
ก่อนที่จะออกมาน่ะ เย่เย่ได้ทำการใส่ประคำอสนีบาตลงไปในปากของจระเข้จักรพรรดิมรกตตัวนั้นไป 5-6 ลูกแล้ว โดยใช้จังหวะที่เฉินเทียนเฟิงเผชิญหน้ากับฉินหมิงอยู่นั่นแหละ เขารอจนกระทั่งออกมาไกลในระดับที่จะไม่ได้รับอันตรายแล้วจึงสั่งระเบิดลูกประคำเหล่านั้นจากระยะที่ยืนอยู่ แน่นอนว่าจุดประสงค์ของเขาก็เพื่อที่จะฆ่าเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆในบริเวณนั้นโดยตรง
“เอาล่ะ กลับไปดูสภาพอันน่าเอนจอนาถของพวกนั้นกันดีกว่า!”
ไม่พูดเปล่า เพราะเย่เย่นั้นเป็นคนแรกเลยที่รุดหน้ากลับไปยังจุดที่เกิดระเบิดนั้น อันที่จริงที่เขารีบไปก็เพราะอยากจะรีบไปกลืนกินจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆก่อนที่มันจะหายไปต่างหาก
เย่เย่ควบม้ากลับมายังจุดที่มีศพจระเข้จักรพรรดิ์อยู่ ซึ่งก็คือจุดที่เกิดระเบิดนั่นแหละ ณ ที่แห่งนั้นเขาพบเศษชิ้นส่วนไม่แขนก็ขากระจัดกระจายเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าเฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกจะเป็นเจ้าของเศษชิ้นส่วนพวกนี้แหละ
“เป็นพลังที่น่ากลัวจริงๆ!”
สีหน้าของเย่เย่แสดงความพึงพอใจอย่างมากออกมา แต่เขาก็ไม่รีรอที่จะรีบใช้กระบวนท่ากลืนสวรรค์เพื่อที่จะกลืนกินจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆลงไป ซึ่งหลังจากที่กลืนกินจิตวิญญาณเหล่านั้นไปจนหมดแล้วเกล็ดบนตัวจิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเขามันก็ชัดเจนขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เย่เย่หวนกลับมานอกจากเพื่อกลือนกินจิตวิญญาณเหล่านี้ นั่นก็คืออัญมณีสีม่วงที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมากนัก เขาเก็บมันขึ้นมาก่อนที่สีหน้าพึงพอใจนั้นจะกลายเป็นเอนจอนาถใจแทน
นั่นก็เพราะพลังทำลายล้างของประคำอสนีบาตนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ดวงตาของจระเข้จักรพรรดิมรกตเสียหาย แต่มันยังทำลายสิ่งของของเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆไปจนไม่เหลือชิ้นดีเลย การที่เหลืออัญมณีสีม่วงนี้ไว้เพียงชิ้นเดียวอาจจะถือว่าโชคดีแล้วก็ได้
ฉินหมิงและพวกพ้องคนอื่นที่ตามมาทีหลังต่างก็ตกใจกับภาพตรงหน้านั้นไปตามกัน ภาพที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและชิ้นเนื้อของซากศพที่แยกไม่ออกเลยว่าของใครเป็นของใคร และท่ามกลางซากศพเหล่านั้นก็มีเย่เย่ยืนอยู่ด้วย พวกเขาล้วนมอง เย่เย่ด้วยสายตาเดียวกัน สายตาที่รู้สึกประหลาดใจ ในใจพวกเขาตอนนี้ เย่เย่เป็นที่น่าชื่นชมในหลายๆด้าน แต่ขณะเดียวกัน เย่เย่ก็คือคนที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพวกเขาด้วย….