949 เรื่องเล็กน้อย
มันเป็นการแนะนําเขาให้ได้รู้จักกับคนที่ต้องการจัดการกับหุบเขาพันโอสถหรือไม่ก็เพื่อ
เป็นการเตรียมการสําหรับการรับมือกับคนที่นั่น
“ฉันขอคิดดูก่อนนะ”เมี่ยวเฉิงถางไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจในทันที เขาจําเป็นต้องคิดให้รอบคอบก่อนระหว่างเขากับเมี่ยวชิงหยวนนั้นเคยเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมากและไม่เคยมีความลับต่อกัน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีตคนเราเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเขาไม่รู้ว่า เมี่ยวชิงหยวนจะยังคงเป็นชายที่
มีความคิดเรียบง่ายคนเดิมที่เขาเคยรู้จักหรือไม่มีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่วางสาย เมี่ยวชิงหยวนก็หันไปพูดกับเสวี่ยซินหยวนที่อยู่ข้างๆ “เขาบอกว่าอยากขอคิดดูก่อนครับ
“ตัวนายก็ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเหมือนกันตอนนี้เมี่ยวชิงเฟิงและเมี่ยวฉางหงต่างก็อยู่ที่เขตเหอนายเป็นคนพูดเองว่าเมี่ยวซีเหอมีหูตาอยู่ทุกที่” “ผมจะรีบไปทันทีที่เสร็จเรื่องนี้ครับ”
เมี่ยวเฉิงถางนอนมองเพดานอยู่บนเตียงเขากําลังรอคอยที่จะได้ออกไปจากเขตเหอเขาไม่ออกไปไหนเลยแม้แต่กินข้าวก็ยังกินอยู่ในห้องแววตาของเขาดูเหม่อลอยความคิดในหัวของเขาสับสนวุ่นวายเขาคิดถึงช่วงชีวิตที่เขาเคยอยู่ในหุบเขาและความรู้สึกหวาดกลัวและหวาดหวั่นในตอนที่เขาหนีออกมาเขาตกอยู่ในความสิ้นหวังและเกือบตายเพราะกู่ตอนนี้อนาคตของเขาไม่มีอะไรที่แน่นอนเลยเขาต้องไปเริ่มต้นใหม่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเขาไม่มีความสามารถอะไรที่โดดเด่นและมีความรู้เรื่องการรักษาแค่เล็กน้อยเท่านั้นการมีชีวิตรอดต่อไปถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย
เขาไม่รู้เลยว่าเขาจะใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปได้ยังไง
ในเวลานี้เขาไม่มีเงินติดตัวเลย
เขาใช้เวลาคิดอยู่นานก่อนที่เขาจะลุกขึ้นนั่ง
เขาหยิบมือถือขึ้นมาและกดโทรหาเมี่ยวชิงหยวน
“เขาจะให้อะไรฉันได้บ้าง?”เป็นคําถามที่ตรงเข้าประเด็นในทันที
เสวี่ยซินหยวนยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่เมี่ยวชิงหยวนถ่ายทอดให้เขา
“แสดงความต้องการออกมาแบบนี้ยิ่งดีฉันยังกลัวอยู่ว่านายจะไม่ต้องการอะไรเลย”
“เขาต้องการอะไร?”
“เงิน แล้วออกไปจากที่นี้เพื่อเริ่มต้นใหม่”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”เสวี่ยซินหยวนพูด“เขาอยากจะไปที่ไหน?”
หลังจากวางสาย เมี่ยวเฉิงถางก็หันมองออกไปนอกหน้าต่างเขานั่งมองด้านนอกด้วยแววตาเหม่อลอย
นั่นเป็นสายที่สามที่โทรมาภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงการแสดงออกของอีกฝ่ายดูจริงใจเขาเสนอเงิน 100,000 หยวนออกมาในทันทีแต่พวกเขาต่างก็ไม่มีใครที่เป็นคนโง่เงินไม่ใช่สิ่งที่ ตกลงมาจากฟ้าการรับเงินมาก็หมายความว่าเขาต้องทํางานให้อีกฝ่ายด้วยเขาต้องทําในสิ่งที่เขาสามารถทําได้นั่นก็คือการให้ข้อมูล ความจริงแล้วเขามีข้อมูลหลายอย่างที่รู้ข้อมูลที่เขาบอกกับหยางกวนเฟิงและหลู่ซิ่วเฟิงเป็นเพียงแค่ 20%จากข้อมูลทั้งหมดที่เขามี ความลับที่สําคัญที่สุดยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในใจของเขา เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเลยมันถึงเวลาที่ต้องพูดออกไปแล้วอีกสถานที่หนึ่งในเขตเหอ
“หาที่อยู่เจอรึยัง?”
“เจอแล้ว”เมี่ยวชิงเฟิงยกชาขึ้นจิบและพูด“แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะลงมือ” “ทําไมล่ะ?”
“ที่นั่นได้รับการดูแลเป็นพิเศษมีตํารวจที่เต็มไปหมดถ้าไม่ระวังพวกเราอาจถูกจับได้แล้วมันจะทําให้เรื่องยุ่งไปกันใหญ่”
เมี่ยวชิงชานกับเมี่ยวฉางหงที่อยู่ในเขตเหอกําลังคิดหาวิธีทําให้ชีวิตของเมี่ยวเฉิงถางนั้น
เหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็นยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังรู้ที่ซ่อนตัวของเขาแล้ว
“ไว้รอให้เขาออกจากยูนนานใต้ก่อนก็แล้วกัน”
“แล้วเขาจะไปเมื่อไหร่?”
“คงอีกไม่นาน ตอนนี้เขาคงจะภาวนาให้ได้ออกไปจากยูนนานใต้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ได้” เมี่ยวชิงเฟิงพูดกลั้วหัวเราะ
ในจังหวัดฉีที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หนาวที่สุดของปี
“บรื้อ ข้างนอกหนาวจริงๆ!”เจี๋ยจื้อจายที่ยืนอยู่ในเขาสวมเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ดูเหมือนไม่ได้กันหนาวเลยตามปกติผู้คนมักจะใส่เสื้อผ้าหลายชั้นในช่วงเวลาที่อากาศหนาวแบบนี้
บนเนินเขาตงชานใบไม้เริ่มแห้งเหี่ยว
บนเนินเขาหนานชานใบไม้กลับยังคงเขียวขจีเหมือนเดิม
ภูเขาโดยรอบที่แห้งแล้งดูแตกต่างกับเนินเขาหนานชานอย่างเห็นได้ชัด
“พอถึงปีใหม่ อากาศก็จะกลับมาอุ่นอีกครั้ง”หูเหมยพูด
พวกเขาแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละฤดูกาล ในเวลานี้ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือหนาวก็ไม่ส่งผลต่อพวกเขาทั้งสามคนถึงพวกเขาไม่ใส่เสื้อในช่วงที่อากาศหนาวแบบนี้ พวกเขาก็ยังสบายดีครั้ง
“สิ่งที่อาจารย์สอนพวกเราวิเศษมากจริงๆ”เจี๋ยจื้อจายพูดถึงความประทับใจในเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
“เอาละ ศิษย์พี่มาแล้วมาเริ่มฝึกกันเถอะ”
ลมพัดบนเขาทั้งแรงและหนาวเย็น
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามต่างนั่งขัดสมาธิและหลับตารอบกายพวกเขามีแต่ความเงียบงัน
อากาศบนเนินเขาหนานชานนั้นอบอุ่นสบายตัว
หวังเย้าฝึกหมัดมวยอยู่บนยอดเขาก่อนจะกลับลงไป
เมื่อเขามาถึงที่บ้านเขาก็พบว่าพ่อของเขากําลังสูบบุหรี่ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพ่อ?”
เมื่อได้ยินเสียงของหวังเย้าจางซิวหยิงก็โผล่ออกมาจากห้องครัว “น้าสะใภ้สามของลูกโทรมา
เมื่อคืนน่ะสิ เธอบอกว่าเธอคิดจะหย่ากับอาของลูก”
“หย่าอีกแล้วเหรอ? คราวนี้เรื่องอะไรล่ะครับ?”หวังเย้าถามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองคนนี้พูดถึงเรื่องหย่าเท่าที่เขารู้มันเกิดขึ้นครั้งหรือสองครั้งต่อปี
“น้าสะใภ้สามของลูกบอกว่าอาของลูกนอกใจเขาไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น”จางซิวหยิงถอนหายใจและพูดว่า “ตอนที่พ่อของลูกรับสายตอนประมาณสี่ทุ่มสองคนนั้นก็กําลังทะเลาะกันใหญ่โตเลยล่ะ”
หวังเย้ารู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้ สองคนนั้นไม่สนใจอะไรเลยทุกครั้งที่ทะเลาะกันปัญหาของพวกเขาก็จะรู้มาถึงหูพ่อแม่ของเขาในเวลาไม่นานและมันทําให้พ่อแม่ของเขาต้องกังวลตามไปด้วย
“แล้วอาสามว่ายังไงบ้างครับ”
“เขาอยากจะหย่า” จางซิวหยิงพูด
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ!” หวังเย้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ทั้งสองทะเลาะกันตลอดถ้าพวกเขาหย่ากันจริงๆพ่อแม่ของหวังเย้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของพวกเขาอีกต่อไปอาสามมีครอบครัวเป็นของตัวเองเขาก็ไม่ควรเอาเรื่องในครอบครัวมากวนใจพ่อของหวังเย้าอาสามไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
“มันไม่ง่ายอย่างที่ลูกพูดน่ะสิลูกก็รู้ว่าอาสามของลูกเป็นคนยังไง เขาไม่มีดีอะไรสักอย่างยังดีที่เขาได้แต่งงานแต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดเขาหย่าขึ้นมา?ถึงน้าสะใภ้สามของลูกจะมีข้อเสียเต็มไปหมด แต่เธอก็ยังมีดีอาสามของลูกจําเป็นต้องมีคนคอยคุมหรืออย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้เขาออกนอกลู่นอกทาง”
“ผมไม่สนใจว่าพวกเขาจะทะเลาะเรื่องอะไรกันหรอกนะครับแต่พ่อ เลิกกังวลเรื่องของเขาได้แล้วสองคนนั้นอายุก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าปีแล้วพวกเขาไม่ใช่เด็ก”
“อืม” หวังเพิงฮวาพยักหน้ารับ
เจิ้งเหว่ยจวินมาที่คลินิกตอนประมาณ 9 โมงหน้าตาของเขาดูค่อนข้างมีความสุข
“เชียนเชิง ยุ่งอยู่รึเปล่าครับ?”
หวังเย้ายิ้มและพูดว่า“ไม่ยุ่งเท่าไหร่ตอนนี้ยังไม่มีคนไข้เข้ามาดูจากสีหน้าของคุณแล้วคงจะมีข่าวดีเรื่องยาตัวใหม่สินะครับ”
“ใช่ครับ”เจิ้งเหว่ยจวินพยักหน้า
เขากังวลมาสักพักจนผมขาวบนหัวของเขาเพิ่มขึ้นมาหลายเส้นในตอนนั้นเขามีความแน่วแน่เมื่อตัดสินใจละทิ้งสิทธิที่มีอยู่ในตระกูลของตนเองแต่แล้วเขาก็ได้เรียนรู้ถึงความยากลําบากเมื่อต้องออกมาทําธุรกิจด้วยตัวเองคนที่ครั้งหนึ่งเคยเรียกกันว่าเพื่อนพ้อง กลับเห็นค่าในอํานาจของเขามากกว่าเห็นค่าของความเป็นเพื่อน พวกเขาไล่ตามอํานาจของตระกูลเจิ้งตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจละทิ้งสิทธิในตระกูลมีไม่กี่คนที่ออกหน้าช่วยเขาโชคดีที่ฝีมือของหวังเย้าเป็นของจริง “ร้านค้าในสองเมืองได้ส่งคําสั่งซื้อสินค้าล็อตที่สองมาแล้วครับ”เจิ้งเหว่ยจวินพูด
เขาพูดถึงคนจากจังหวัดอื่นส่วนคนจากตระกูลซุนนั้นไม่นับตระกูลซุนได้ทําการสั่งซื้อสินค้าไปเช่นกันซุนหยุนเชิงถึงขนาดเดินทางมาเพื่อเซ็นสัญญาซื้อขายกับเขาด้วยตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามันก็ไม่ใช่แค่ในเมืองเต๋าอีกต่อไปยาจากบริษัทหนานชานเภสัชได้ถูกจัดจําหน่ายไปทั่วทั้งจังหวัดฉีโดยผ่านทางตระกูลซุนแต่เพียงผู้เดียวนอกจากนั้นเขายังได้ใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนท่าตลาดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนที่จะเดินทางมาทําสัญญากับเจิ้งเหว่ยจวินอีกครั้งส่วนคําสั่งซื้อล็อตที่สองนั้นเป็นค่าสั่งซื้อจากจังหวัดอื่นที่อยู่ทางใต้
หวังเย้ายิ้มและพูดว่า “เยี่ยมไปเลยครับ!”
“ก็ต้องขอบคุณยาของเชียนเชิงที่ทําออกมาได้ยอดเยี่ยมแบบนี้” เจิ้งเหว่ยจวินพูดนั่นคือสิ่งสําคัญอย่างที่พูดกันว่า“เหล้าดีไม่กลัวตรอกลึก”นั่นคือความจริงในสังคมสมัยนี้ของดีย่อมมีคนซื้อเมื่อข่าวสารในปัจจุบันกระจายตัวได้รวดเร็วขึ้นหากได้รับความสนใจขึ้นมาเล็กน้อยมันก็สามารถกระจายออกไปผ่านทางอินเตอร์เนตได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบท่ายาล็อตใหม่ออกมา”หวังเย้าพูด
“หา?” เจิ้งเหว่ยจวินตกใจ
“สมัยนี้ ของลอกเลียนแบบมีอยู่ทั่วบอกกับร้านค้าว่าทุกปีเราจะส่งสินค้าให้พวกเขาในจํานวนจํากัด”หวังเย้าพูดเดิมทีเขาไม่มีความคิดที่จะเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้เพราะพวกเขาตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้เจิ้งเหว่ยจวินเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการขาย
“ผมก็แค่เสนอความคิดเท่านั้นที่เหลือก็แล้วแต่ว่าคุณจะจัดการยังไง”
“ผมอยากให้แต่ละมณฑลมีผู้จัดจําหน่ายแค่รายเดียวเท่านั้น และจํานวนยาที่แจกจ่ายก็ต้องมีการจํากัดจํานวนด้วย”หวังเย้าพูด
“อืม ได้ครับ ถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจเชียนเชิงผมได้เข้าไปติดต่อกับองค์กรที่เชี่ยวชาญเรื่องการวิจัยและพัฒนาเพื่อดูแลเรื่องการลอกเลียนแบบไว้แล้วตอนนี้บริษัทหนานชานเภสัชมีวิธีการรับมือในเรื่องนี้ถึง 10 วิธีแล้วสินค้าของเราก็ไม่ใช่จะลอกเลียนแบบกันได้ง่ายๆ เพราะมันมีต้นทุนที่สูงมาก”
“ได้ยินแบบนี้ผมก็สบายใจครับ”หวังเย้าพยักหน้า
“ไว้รอถึงปีหน้าเราจะเริ่มผลิตยาตัวใหม่กัน”