ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 236 ผู้สืบทอด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ใต้เท้าสังฆราชเป็นนักปราชญ์

เพียงแค่เขาพูดประโยคหนึ่ง ศิษย์ผู้ศรัทธาในนิกายหลวงนับพันหมื่นก็จะสละชีพเพื่อเขา

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าประโยคแรกที่ใต้เท้าสังฆราชจะพูดกับตัวเองคืออะไร

เขาตื่นเต้นอยู่บ้าง

จากนั้นเขาได้ยินสามคำ

“มา…มา…มา”

ใต้เท้าสังฆราชโบกมือพลางพูดกับเขา แสดงความหมายให้เขาเดินเข้าโถงมา

เหมือนกับชาวนาเรียกไก่กา อีกทั้งยังเหมือนปู่เล่นกับหลานตัวเล็กๆ

เฉินฉางเซิงชะงัก จากนั้นเดินเข้าไปที่โถงตามแนวบันไดหิน ยืนอยู่ข้างใต้เท้าสังฆราช

ใต้เท้าสังฆราชอยู่ข้างหน้าเขา ความจริงนี้ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างไร้ที่เปรียบ

แม้หลังจากมาถึงจิงตู พบเห็นผู้มีอิทธิพลจำนวนมาก ในนั้นบางคนถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว แต่เขายังคงยากที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

อย่างไรก็แล้วแต่ ชายชราร่างผอมสูงท่านนี้ก็คือใต้เท้าสังฆราช

ใต้เท้าสังฆราชรดน้ำกระถางใบไม้สีเขียวไปด้วย ชี้เก้าอี้ตัวหนึ่งไปด้วย พูดว่า “นั่งสิ”

เสียงของเขาสันตินุ่มนวลมาก อารมณ์ก็ตามแต่ใจยิ่ง

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับนั่งบนเข็มแหลม รู้สึกไม่สบายทั้งตัว กลับไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว

“ตามสบาย” ใต้เท้าสังฆราชมองท่าทางของเขา หัวเราะออกมา พูดว่า “ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีข้อสงสัยจำนวนมาก เพื่อประหยัดเวลาหน่อย ข้าออกตัวก่อน ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ หรือต้องการถาม เจ้าสามารถถามข้าโดยตรง ถ้าสะดวกที่จะตอบ แน่นอนว่าข้าจะตอบ”

พูดประโยคนี้เสร็จ มือของเขาละจากกระบวยไม้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าพูดก่อนรวมถึงการตอบคำถามในภายหลัง เวลาน่าจะประมาณสองร้อยลมหายใจ คิดๆ ดูแล้วเจ้าสามารถทนได้”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าใต้เท้าสังฆราชพูดถึงท่าทีที่ตัวเองนั่งอย่างยากลำบาก รู้สึกกระอักกระอ่วนนิดๆ พยักหน้าอย่างเคารพ

ไม่มีการเปิด แล้วก็ไม่มีการเกริ่นนำ ใต้เท้าสังฆราชเริ่มการบรรยายของตัวเอง

“อาจารย์ของเจ้าชื่อว่านักพรตจี้ เขายังมีสถานะอีกอย่างหนึ่ง คือเคยเป็นหัวหน้าสำนักของสำนักฝึกหลวง และเป็นศิษย์พี่ของข้า ไม่ต้องมองข้าเช่นนี้ ข้ามั่นใจมาก เขามีเพียงแค่สองสถานะนี้ เพราะว่าสถานะที่สามที่เป็นไปได้มากที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่นานถูกข้าและเหนียงเหนียงตัดออกแล้ว”

“เปลี่ยนอีกคำพูดหนึ่ง เจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า นอกพระราชวังหลีมีคำเล่าลืออยู่ตลอด ว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์เป็นผู้สืบทอดของข้า จริงๆ แล้วไม่ใช่ ข้าไม่ได้มีผู้สืบทอดที่แท้จริง เจ้าก็คือผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของสำนักพรรคของพวกเรา ฉะนั้นข้าต้องคอยดูแลเจ้าอย่างแน่นอน”

“ข้ามีแค้นกับอาจารย์ของเจ้า ความแค้นยิ่งใหญ่ ข้าเคยฆ่าเขาไปครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าเขารอดมาได้ ตอนนี้ข้าอายุเยอะขนาดนี้แล้ว คร้านจะไปฆ่าเขาอีกครั้ง อีกอย่างเขาทำผิด ไม่ได้แปลว่าเจ้าผิดด้วย ยิ่งไม่สมควรที่จะให้เจ้ามาแบกรับความผิด”

“เขายอมให้เจ้าเข้าเมืองถอนหมั้น ไม่ได้ตั้งใจปิดบังชื่อนักพรตจี้นี้ ก็คือไม่ได้คิดที่จะปิดบังพวกข้า กระทั่งข้าคิดว่าเขาอยากให้ข้าดูแลเจ้า แต่เจ้าเข้าสำนักฝึกหลวง เป็นแค่ความบังเอิญจริงๆ ให้เจ้าเข้าวังถง เป็นข้าที่บอกให้ม่ออวี่พาเจ้าไป”

“เหตุใดข้าสามารถใช้นางได้? เพราะข้าเป็นสังฆราช”

“อยู่ในวังถงหนึ่งคืน สามารถหลบลมฝนของชุมนุมไม้เลื้อย มีสำนักการศึกษากลางดูอยู่ เข้าสามขั้นแรกของการสอบใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้ารู้จักกับลั่วลั่ว ยิ่งกว่านั้นกลายเป็นอาจารย์ของนาง ข้าไม่คิดว่าสระน้ำที่ตายแล้วของสำนักฝึกหลวงจะถูกเจ้าสร้างกระแสคลื่นออกมาได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าสามารถออกจากวังถง เผชิญหน้าโดยตรงกับลมฝนของพรรคกระบี่หลีซานที่ชุมนุมไม้เลื้อย ระหว่างการสอบใหญ่สามารถทะลุระดับขั้นเป็นขั้นทะลวงอเวจี ได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่จริงๆ”

พูดถึงตรงนี้ ใต้เท้าสังฆราชหยุดสักพัก มองเขาด้วยความเอ็นดูแล้วพูดว่า “สิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงมากที่สุดและควรที่จะคาดได้มากที่สุดก็คือ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของพรรคพวกข้า แล้วจะต้องการการดูแลจากข้า ต้องการการกะเกณฑ์วางแผนของข้าเสียที่ไหน? ไม่เลว เจ้าเด็กคนนี้ไม่เลวจริงๆ”

ในโถงเงียบสงบไปทั่ว

ตั้งแต่ประโยคแรกที่ใต้เท้าสังฆราชพูดออกจากปาก เฉินฉางเซิงก็อ้าปากค้างด้วยความสะเทือนใจ จากนั้นก็ไม่ได้หุบปากอีก

สำนักฝึกหลวงได้รับการดูแลจากสำนักการศึกษากลางมาโดยตลอด ในตอนแรกสุด หลายคนรวมถึงเขาด้วย ล้วนคิดว่านี่เป็นการคัดค้านแบบไร้เสียงของอำนาจพรรคเก่านิกายหลวงที่ขึ้นต่อใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงการประกาศที่มีความหมายและสัญลักษณ์บางอย่าง จนกระทั่งตอนต่อสู้การสอบใหญ่ หอชำระธุลีมีฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาหลายรอบ ในนาทีที่ใต้เท้าสังฆราชสวมมงกุฎให้เขาด้วยตัวเอง ผู้คนถึงรู้ว่า ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องภายในของนิกายหลวง แต่เป็นการประกาศครั้งแรกของนิกายหลวงต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รวมถึงราชสำนักต้าโจว

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เฉินฉางเซิงมีการคาดเดาหลายครั้ง เพราะเหตุใดใต้เท้าสังฆราชถึงเห็นความสำคัญของตัวเองขนาดนี้ เขามั่นใจมาก การถูกให้ความสำคัญเช่นนี้แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับอาจารย์ของตัวเอง แต่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า นักพรตวัยกลางคนที่มองแล้วไม่เข้าตาในวัดเก่าเมืองซีหนิง เป็นศิษย์พี่ของใต้เท้าสังฆราช ก็คือหัวหน้าสำนักรุ่นสุดท้ายเมื่อสิบกว่าปีก่อนของสำนักฝึกหลวงที่ถูกทำลายจนเหลือแต่ซากท่านนั้น!

“มีอะไรอยากถาม ก็เริ่มถามมาเถอะ”

ใต้เท้าสังฆราชเอาผ้าเช็ดมือจากบนโต๊ะเช็ดมือไปมา พูดอย่างตามใจ

ก่อนบทสนทนานี้เริ่ม ตามจินตนาการของเฉินฉางเซิง ผู้มีอิทธิพลมากอย่างใต้เท้าสังฆราชเช่นนี้ การพูดจาแน่นอนว่าย่อมกำกวม ภาษาล้ำลึก ซ่อนแอบแฝงความหมายที่ลึกซึ้งจำนวนมากที่ต้องครุ่นคิดอย่างละเอียด ถึงจะเข้าใจความจริงได้ ใครจะเคยคิดว่าใต้เท้าสังฆราชจะพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมาทุกอย่างอย่างง่ายดายและเฉียบขาด พระจันทร์สว่างลมสดชื่นช่างไม่แจ่มใส คำถามที่คิดบนถนนเสินเหล่านั้นกลับได้รับคำตอบทั้งหมดแล้ว

เขาไม่รู้ว่ายังมีอะไรที่ต้องถามอีก จนกระทั่งนึกถึงรายละเอียดบางจุดในคำพูดของใต้เท้าสังฆราช พูดด้วยสีหน้าตั้งใจว่า “ท่านพูดว่าอาจารย์ของข้ากระทำผิด ผิดอะไรหรือ?”

ใต้เท้าสังฆราชพูดว่า “ตอนนั้นเขาขัดการตัดสินใจของการอบรมแสงสว่างใหญ่ของนิกายหลวง สนับสนุนพระราชวงศ์ตระกูลเฉินคัดค้านจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นำพาสำนักฝึกหลวงทั้งหมดรวมถึงคนจำนวนมากมายเข้าลงเหว”

ประชากรต้าโจวสนับสนุนราชวงศ์ตระกูลเฉิน นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล มีความผิดตรงไหน? เฉินฉางเซิงพูดอย่างไม่ลังเลว่า “นี่ไม่ใช่ความผิด”

“ตอนนั้น มีเพียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นครองราชย์เท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมราชสำนักให้คงที่ได้ มิฉะนั้นต้าโจวจะแตกแยกแน่นอน สงครามไม่จบสิ้น เผ่ามารต้องบุกทางใต้ในโอกาสนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าตัวตั้งต้นหรือเป้าหมายของตัวเลือกนั้นจะถูกต้องหรือไม่ ในสายตาของพวกคนเก่าคนแก่แล้ว เพียงแค่กระทบสถานการณ์การต่อสู้ของเผ่ามนุษย์กับเผ่ามาร นั่นก็คือผิด”

ใต้เท้าสังฆราชมองเขาแล้วพูดด้วยปราศจากความสงสัยใดๆ ว่า “ห่างจากสงครามในปีนั้นก็ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว เด็กโตที่โตประมาณเจ้า มีจำนวนน้อยมาแล้วที่เคยเห็นเผ่ามารด้วยตาของตัวเอง ยิ่งไม่สามารถจินตนาการสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของต้าลู่ในตอนนั้น ถ้ารู้ ฉะนั้นเจ้าก็จะคิดว่าการตัดสินใจของพวกเรานั้นถูกต้อง”

เฉินฉางเซิงอายุน้อย ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นคนที่ถูกโน้มน้าวได้ง่าย ถามตรงๆ ว่า “แล้วตอนนี้เล่า? ท่านและเหนียงเหนียงยิ่งเดินยิ่งไกล ไม่กลัวที่จะกระทบสถานการณ์การต่อต้านกับเผ่ามารจริงๆ หรือ?”

“ข้ารู้จักกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยปี ข้ารู้ว่านางเป็นคนอย่างไร ฉะนั้นมีนางปกครองราชสำนักต้าโจว ข้าไม่มีความไม่เห็นด้วยใดๆ ปัญหาอยู่ที่ ไม่มีใครสามารถไม่แก่ทั้งชีวิต ต้าลู่ทั้งแผ่นดินล้วนต้องคำนึงถึงโลกเผ่ามนุษย์หลังจากนางว่าจะอยู่อย่างปกติสุขได้อย่างไร”

ใต้เท้าสังฆราชไม่รู้คิดอะไร สีหน้าทอดถอนใจขึ้นมาบ้าง พูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ว่า “ถ้าตระกูลเทียนไห่ขึ้นเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อีกสักคนแทนที่พระราชวงศ์ตระกูลเฉินตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะเป็นอะไรไป? ปัญหาอยู่ที่ ตระกูลเทียนไห่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คนที่สอง เพราะฉะนั้นพระราชวงศ์ตระกูลเฉินอย่างไรก็ต้องกลับสู่บัลลังก์ถึงจะถูก”

เฉินฉางเซิงได้ยินคำพูดนี้ เงียบขรึมไปพักใหญ่ ถามว่า “ถึงจะเป็นเช่นนี้ ข้ายังคงไม่เข้าใจ เหตุใดอาจารย์ถึงคาดเดาได้ว่าท่านจะเปลี่ยนความคิด”

“อาจารย์ของเจ้าตกลงให้เจ้าเข้าเมืองเพื่อถอนหมั้น ก็เพราะว่าอยากจะใช้การมีอยู่ของเจ้าเพื่อบอกข้าว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ในขณะเดียวกันก็เตือนเจ้า เจ้าเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของพรรคพวกข้า”

ใต้เท้าสังฆราชย้ำคำพูดที่เคยพูดก่อนหน้านี้ พูดว่า “ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนความคิดหรือไม่ ข้าก็ต้องดูแลเจ้า มิฉะนั้นก็จะตัดขาดการสืบทอดมิใช่หรือ? อาจารย์ของเจ้าเป็นคนที่เข้าใจข้ามากที่สุดในโลก ฉะนั้นในส่วนของเรื่องนี้ สิ่งที่อาจารย์ของเจ้าคิดนั้นละเอียดกว่าใครๆ”

สีหน้าของเฉินฉางเซิงยังคงมึนงงเล็กน้อย จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถเอานักพรตวัยกลางที่อยู่ที่วัดเก่าเมืองซีหนิงกับหัวหน้าสำนักของสำนักฝึกหลวงที่มีชื่อเสียงท่านนั้นเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จากนั้นเขานึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง ใต้เท้าสังฆราชบอกว่าจะดูแลตัวเองเป็นเพราะว่าจะสืบทอดพรรคของพวกเขา แต่เขามาจากสำนักเทียนเต้า อาจารย์นั้นมาจากสำนักฝึกหลวง จะพรรคเดียวกันได้อย่างไร? พรรคของพวกเขาจริงๆ แล้วคือพรรคไหน?

เขาพูดคำถามนี้ออกมา

“สำนักเทียนเต้า หอจงซื่อ สำนักฝึกหลวง กระทรวงสิบสามชิงเหย้า สำนักจวนราชวังหลี…นอกจากสำนักเด็ดดารา หกสำนักไม้เลื้อยในจิงตูก็คือสถานที่ที่อบรมรุ่นต่อไปของนิกายหลวง ส่วนปีนั้นคนที่บำรุงนิกายหลวงมีเพียงข้าและอาจารย์ของเจ้า ที่พูดว่าสืบทอด แน่นอนว่าหมายถึงการสืบทอดของนิกายหลวง”

ใต้เท้าสังฆราชมองเขาพลางกล่าวอย่างสงบว่า “ปีนั้นอาจารย์ของเจ้าเกือบจะทำให้นิกายหลวงขาดการสืบทอด ตอนนี้เจ้ามีหน้าที่ในการต่อการสืบทอดใหม่”

ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเฉินฉางเซิงจู่ๆ ก็ขาวซีด เป็นเวลานานมากที่พูดไม่ออก

นี่ไม่ได้แปลว่าสภาพจิตใจของเขาไม่ดี แต่หลักๆ เป็นเพราะว่าข่าวสารอันนี้มันตะลึงคนมากเกินไป

ผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของนิกายหลวง?

ไม่ว่าเป็นใคร จู่ๆ รู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะเป็นสังฆราชของรุ่นถัดไป ล้วนตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้จะเป็นฮว่าเจี่ยซียวจางที่บ้าคลั่งที่สุด ก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉินฉางเซิงที่เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มวัยสิบห้า

ในโถงเงียบสงบไปทั่ว กระบวยไม้ลอยอยู่กลางอากาศ สั่นเล็กน้อย รดน้ำใส่ในกระถางอย่างไม่หยุดหย่อน เส้นน้ำราวสีเงินยวง ใบไม้สีเขียวในกระถางสั่นเล็กน้อย ด้านบนมีหยาดน้ำที่สุกใสสองสามหยด

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เขาตื่นขึ้นมาจากการตกตะลึง มองไปยังใต้เท้าสังฆราช ถามว่า “นี่น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องไตร่ตรองในเร็วๆ นี้หรอกใช่ไหม?”

เสียงของเขาแหบหยาบมาก ฟังดูไม่ค่อยเพราะ เป็นสาเหตุจากการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าและเหมยหลี่ซายังเคยกังวลว่าให้ความกดดันกับเจ้ามากไปหรือไม่ ก่อนที่เจ้าจะสุกงอม อาจมีโอกาสแตกหักไปก่อนก็ได้ ตอนนี้ดูๆ แล้วกลับน่าจะเป็นแค่การคิดมากไป”

ใต้เท้าสังฆราชมองเขาอย่างเงียบๆ ดวงตาทั้งคู่เงียบสงบและลึกซึ้ง ราวกับสามารถมองทะลุได้ทุกอย่าง เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าความลับทั้งหมดของร่างกายและจิตใจของตัวเองล้วนไม่มีทางปิดซ่อนไว้ได้ ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายกายใจ ดีที่เค่อต่อไป ใต้เท้าสังฆราชย้ายสายตาออก ยื่นมือไปกลางอากาศจับกระบวยไม้เอาไว้

เวลาสองร้อยลมหายใจถึงแล้ว น้ำกลางกระบวยหมด รอบการถามต่อจบลง

ถึงเวลาที่เฉินฉางเซิงต้องจากไป แต่เขาไม่อยากจากไป ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่มีคำถามที่จะถาม แต่ตอนนี้กลับนึกขึ้นมาได้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ตัวเองอยากรู้

อย่างเช่นสุสานเทียนซู อย่างเช่นสวนโจว อย่างเช่นดวงดาว

อย่างเช่น…นิกายหลวง