ภาคที่ 2 เสวียนจิง ตอนที่ 151 รางวัล โดย Ink Stone_Fantasy
เพราะตอนนี้เรื่องราวเกี่ยวกับการทดสอบความเป็นความตายในแดนลึกลับถูกเลื่องลือไปทั่วแล้ว
และหลิ่วหมิงเป็นหนึ่งในสิบศิษย์พี่ใหญ่คนใหม่ ทั้งยังเก็บเกี่ยวทรัพยากรในแดนลึกลับได้มากกว่าหยางเฉียนที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่แต่เดิมอยู่แล้ว สิ่งนี้ย่อมทำให้มีคนอิจฉาเขาไม่น้อย
เมื่อหลิ่วหมิงกลับมาเขาเก้าทารกพร้อมกับประมุขนิกายปีศาจ และหลังจากไปพบกุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองท่านแล้ว เขาก็รีบกลับไปเก็บตัวยังที่พักทันที
ทำให้คนจำนวนมากที่อยากสานสัมพันธ์กับเขาหรือมีความคิดอื่นๆ จำต้องผิดหวังขึ้นมา
ตอนนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง มือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุดเพื่อทำการปรับแต่งโซ่สีเงินที่พันอยู่ตรงแขน ขณะเดียวกันไอสีดำก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง และมองเห็นอย่างลางๆ ว่ามีหนวดสัมผัสโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด
หลังจากที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาก็พ่นลมหายใจยาวออกมา เมื่อเขาเลิกทำท่ามือไอสีดำบนร่างก็ถูกดูดม้วนเข้าไปในร่าง จากนั้นก็ตบลงบนโซ่สีเงินก่อนที่จะมีค่ายกลอักขระโผล่ออกมาสิบเจ็ดชั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ถึงแม้โซ่ปราบปีศาจเส้นนี้จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง แต่ค่ายกลอักขระที่แฝงอยู่บนนั้นเห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างกับอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ดูเหมือนจะซับซ้อนมหัศจรรย์กว่าเท่าตัว ทั้งยังแข็งแกร่งจนยากจะหาที่เปรียบได้ ถึงแม้จะใช้กระบี่จันทราหยกฟันลงไป ก็ไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ได้เลย และยังมีไอเย็นประหลาดแผ่ออกมาจากบนนั้นด้วย
ดูท่าของชิ้นนี้คงไม่ได้เป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถควบคุมหัวบินตนนั้นได้
พอหลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องหัวปีศาจแล้วสีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
พอเขากลับมาถึงนิกายแล้ว ก็ได้ไปหอเก็บคัมภีร์โบราณเพื่อหาคัมร์ภีร์เกี่ยวกับหัวปีศาจโดยเฉพาะ และศึกษาไปรอบหนึ่ง
และเมื่ออ่านจบเขาถึงเข้าใจว่าที่วันนั้นสามารถปราบหัวบินได้เป็นเรื่องที่โชคดีแค่ไหน
ในประวัติของสาขาเก้าทารก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีศิษย์จิตวิญญาณที่ลองพยายามปราบหัวบินหรือปีศาจประเภทหัวปีศาจนี้ แต่จุดจบของพวกเขาล้วนถูกดูดโลหิตจนเสียชีวิต
และตอนนั้นที่สือชวนสามารถกระตุ้นหัวปีศาจนี้ได้ แท้จริงแล้วกุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองท่านแสดงพลังช่วยหยุดยั้งมันไว้ ประกอบกับมีโซ่ปราบปีศาจเส้นนี้ช่วยอีกแรง ซึ่งโดยแก่นแท้แล้วมันไม่นับว่าเป็นการปราบหัวบินได้อย่างแท้จริง
ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณ แท้จริงแล้วหัวปีศาจทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังงานด้านลบที่มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง เดิมทีไร้รูปไร้ร่าง บ้างก็คล้ายกับวิญญาณปีศาจชั่วร้าย แต่ต่อมาผ่านวิธีการกลืนกินต่างๆ จนค่อยๆ แข็งแกร่งและมีรูปร่างขึ้นมา
เพราะว่าการเติบโตของมันไม่แน่นอน ดังนั้นมันจึงมีรูปร่างแปลกประหลาดร้อยแปดพันเก้ารูปแบบ แต่หัวปีศาจรูปแบบบางอย่างค่อนข้างจะพบได้บ่อย ทั้งยังปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยด้วย ด้วยเหตุนี้ถึงได้ตั้งชื่อให้มัน และยังสามารถแบ่งตามระดับพลังของผู้ฝึกออกเป็นเก้าระดับ
หัวปีศาจระดับหนึ่ง มีพลังพอๆ กับศิษย์จิตวิญญาณระดับต้น
หัวปีศาจระดับสอง มีพลังเท่ากับศิษย์จิตวิญญาณระดับกลาง
หัวปีศาจระดับสาม กลับกระโดดไปมีพลังเท่ากับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ
หัวปีศาจระดับสี่ มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น
หัวปีศาจระดับห้า มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกระดับของเหลวขั้นกลาง
การอนุมานโดยการเปรียบเทียบไปเรื่อยๆ เช่นนี้ พอถึงหัวปีศาจระดับเก้าก็จะสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นสมบูรณ์แบบได้ โดยที่พลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
แน่นอนว่าหลังจากที่พลังของหัวปีศาจแข็งแกร่งขึ้น มันยังสามารถก้าวเข้าสู่ในระดับที่สูงขึ้น แต่พอถึงเวลานั้นรูปร่างและชื่อเรียกของมันก็จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
ตามบรรยายในคัมภีร์โบราณ หัวบินเป็นหัวปีศาจระดับสี่ และเก้าทารกที่แข็งแกร่งตามคำเล่าลือของนิกายปีศาจเป็นหัวปีศาจระดับเจ็ด ซึ่งเก้าทารกยังเป็นปีศาจที่พัฒนามาจากหัวบินด้วย
หลังจากที่หลิ่วหมิงอ่านเจอบันทึกเหล่านี้ในคัมภีร์ ย่อมรู้สึกหวาดผวาและงงงัน
แม้ตอนที่อยู่ในแดนลึกลับหัวบินตนนั้นจะดูร้ายกาจ แต่ดูอย่างไรก็ไม่ได้มีพลังระดับอาจารย์วิญญาณ
ระหว่างหัวบินกับเก้าทารกแตกต่างกันถึงสองระดับ หัวบินสามารถกลายเป็นเก้าทารกอันน่ากลัวได้
เรื่องที่เขายังไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่กลับสามารถสื่อสารกับหัวบินได้ ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้
และคำถามเช่นนี้ เขาย่อมไม่โง่ไปถามกุยหรูฉวนและคนอื่นๆ โดยตรง
มิเช่นนั้นถ้าพวกเขารู้ว่าหัวบินกับโซ่ปราบปีศาจอยู่ในมือของเขา มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่พวกเขาจะเรียกมันคืน
สำหรับเขาแล้วของสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สามารถยกระดับขอบเขตพลังของเขาได้ และพลังที่แข็งแกร่งถึงจะเป็นตัวรับรองได้ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยได้ ดังนั้นเขาย่อมไม่อยากคืนมัน
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ในหัวก็ผุดภาพที่กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองเรียกพบขึ้นมา
เมื่อทั้งสามรู้ว่าสือชวนยังไม่ออกมาจากแดนลึกลับ และหลิ่วหมิงกลับสร้างชื่อเสียงในการทดสอบความเป็นความตายได้ สุดท้ายยังเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้มากกว่าหยางเฉียนอีก ทำให้พวกเขามีสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาดูเหมือนจะดีใจมากกว่าแปลกใจ
เพราะการแสดงฝีมือของหลิ่วหมิงในครั้งนี้ทำให้สาขาเก้าทารกขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของนิกายได้
พวกเขาทั้งสามพูดให้กำลังใจกับหลิ่วหมิง และมอบโอสถให้จำนวนหนึ่ง ทั้งยังบอกเป็นนัยว่าพวกเขาจะช่วยเรียกคืนทรัพยากรหนึ่งในสิบที่หามาได้ ทำให้เขาไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้
ในถ้ำตรงปากทางเข้าแดนลึกลับในตอนนั้น ทรัพยากรที่ศิษย์ทั้งหลายนำออกมาจากผ้าย่อส่วนล้วนถูกประมุขนิกายปีศาจเก็บไปหมด สำหรับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบและของรางวัลอื่นๆ รอกลับมาปรึกษากันในนิกายก่อนแล้วค่อยมอบให้ทีเดียว
หลิ่วหมิงได้ยินย่อมกล่าวขอบคุณอยู่ไม่หยุด
เคล็ดวิชาเกี่ยวกับการสื่อสารจิตวิญญาณปีศาจนั้น เขาก็ตรวจหาจนเจอหลายเคล็ดวิชา แต่ส่วนมากจำเป็นต้องให้กุยหรูฉวนและอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ถ่ายทอดด้วยตนเองถึงจะสามารถฝึกได้
ด้วยเหตุนี้เขาเลยได้แต่สนใจเคล็ดวิชาที่มีชื่อว่า ‘เคล็ดใจปีศาจ’
เคล็ดวิชานี้นับว่าเป็นเคล็ดวิชาสื่อสารปีศาจ และก็พอจะนับได้ว่าเกี่ยวกับจิตวิชาหนึ่ง เวลาที่แสดงมันออกมาไม่เพียงแต่จะสื่อสารกับปีศาจได้เท่านั้น แต่ยังสามารถปกป้องจิตของตนเองได้ในระดับที่แน่นอน ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการโจมตีจากเคล็ดวิชาเกี่ยวกับจิตได้ในขอบเขตที่แน่นอน
เคล็ดวิชาทั้งสองด้านแบบนี้ คนทั่วไปย่อมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียน ดังนั้นเขาจึงใช้แต้มคุณูปการเพื่อแลกกับเคล็ดวิชามาฝึกฝน
แต่ตอนนี้เขาไม่มีแต้มคุณูปการเลย เรื่องนี้จึงต้องระงับไว้ก่อน
หลายวันมานี้ เขาได้แต่รอให้ทางนิกายส่งรางวัลมาให้ กับปรับแต่งโซ่ปราบปีศาจเส้นนี้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน
สำหรับศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปแล้ว เป็นเพราะว่าไม่ใช่อาจารย์จิตวิญญาณจึงไม่สามารถรวบรวมจิตอีกส่วนได้ ดังนั้นจึงควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้ครั้งละหนึ่งชิ้นเท่านั้น
แต่สำหรับเขาที่มีหนึ่งจิตสองพลังแล้ว การควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้พร้อมกันครั้งละสองชิ้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เวลาเขารับมือกับศัตรูก็สามารถควบคุมกระบี่จันทราหยกกับโซ่ปราบปีศาจไปพร้อมๆ กันได้ คาดว่าผู้ฝึกฝนที่อยู่ต่ำกว่าระดับอาจารย์จิตวิญญาณคงยากที่จะมีคนมารับมือเขาได้
ส่วนเข็มเงาหยกนั้น เป็นเพราะว่าจำนวนชั้นจำกัดในการสร้างค่อนข้างต่ำ ในสถานการณ์ทั่วไปสามารถใช้โจมตีศัตรูในขณะที่เผลอ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยตรงล่ะก็ประสิทธิภาพของมันไม่ค่อยสูงนัก
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น ก็มีเสียงอ่อนนุ่มของหญิงสาวดังมาจากนอกที่พัก
“ศิษย์น้องไป๋อยู่ไหม? อาจารย์กุยเรียกเจ้าขึ้นเขาไปพบ ดูเหมือนกับว่าทางนิกายจะส่งรางวัลมาแล้ว”
พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นหู ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็จำได้ในทันที จากนั้นเขาก็รีบตอบกลับไป
“ด้านนอกนั่นใช่ศิษย์พี่กู้หรือไม่ ศิษย์น้องกำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดแขน ทันใดนั้นโซ่สีเงินที่พันแขนเขาอยู่ก็โบกสะบัดราวกับอสรพิษจิตวิญญาณแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
จากนั้นเขาถึงค่อยลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป
นอกลานที่พักมีหญิงสาวใบหน้าสวยงามยืนอยู่ นางก็คือกู้เหมยซานหญิงสาวสาขาเก้าทารกที่ค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจ
“ศิษย์น้องไป๋ ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย อิอิ! ครั้งศิษย์น้องสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้สาขาเก้าทารกเลย ต่อไปจะต้องมีอนาคตที่ยาวไกลแน่ ไม่แน่อาจารย์กุยอาจจะยกให้เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสาขาเรา” พอหญิงนางนี้เห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา นางก็หัวเราะอิอิแล้วกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่สนิทสนม
ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกงงๆ แต่ก็รีบยิ้มให้ และกล่าวอย่างเกรงใจ
“ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นแล้ว ครั้งนี้ศิษย์น้องแค่บังเอิญโชคดีถึงสร้างผลงานมาได้นิดหน่อย ไหนเลยจะกล้าเทียบกับศิษย์พี่ทั้งหลาย”
“ศิษย์น้องไป๋ คำพูดของเจ้าดูไม่ค่อยจะจริงใจเลยนะ อายุยังน้อยแต่ปฏิบัติตนราวกับเป็นคนแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบอย่างนั้นแหละ มันไม่น่าเบื่อไปหน่อยเหรอ” กู้เหมยซานได้ยินก็กะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
กู้เหมยซานก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ทำตาขวางใส่หลิ่วหมิง จากนั้นนางก็พุ่งขึ้นฟ้าเหาะนำไปยังยอดเขาก่อน
หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือและเหาะตามติดไป
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาปรากฏตัวในหอใหญ่ที่อยู่บนยอดเขา
ที่นั่นนอกจากจะมีกุยหรูฉวน นักพรตแซ่จง และจูชื่อแล้ว ยังมีนักพรตแซ่จางจากสาขาพิษจิตวิญญาณก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย
“ศิษย์คารวะอาจารย์ และอาจารย์ลุง อาจารย์อาทุกท่าน!” หลิ่วหมิงโค้งตัวให้กับนักพรตแซ่จงก่อน จากนั้นก็โค้งตัวให้กับคนอื่นๆ
“ชงเทียน เจ้าลุกขึ้นเถอะ ที่ข้าเรียกเจ้ามาครั้งนี้เป็นว่าของรางวัลของพวกเจ้าถูกแจกจ่ายมาแล้ว และอาจารย์อาจางยังนำมาให้ด้วยตนเอง” สายตาของนักพรตแซ่จงที่จ้องมองหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพิ่งจะรับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ติดตามได้ไม่นาน เขาก็สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับนิกายและสาขาเก้าทารกแล้ว ทำให้นางมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก
ภายใต้สถานการณ์ที่นักพรตแซ่จงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากนั้น สำหรับหลิ่วหมิงแล้วมันทำให้เขารู้สึกสนิทสนมและอบอุ่นใจโดยไม่รู้ตัว
“ศิษย์นิกายเราที่เข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ นับว่าช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับนิกายเราเป็นอย่างมาก คิดว่าศิษย์พี่ท่านประมุขคงจะไม่ขี้เหนียวกับของรางวัลที่จะมอบให้นะ” กุยหรูฉวนกล่าวกับนักพรตวัยกลางคนด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่กุยพูดล้อเล่นแล้ว หลานไป๋เป็นศิษย์ที่อาจารย์อาเยี่ยนระบุชื่อให้เพิ่มรางวัลให้อย่างงาม ศิษย์พี่ท่านประมุขจะไม่ตบรางวัลให้อย่างหนักได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะ! ตามที่ข้ารู้มา ของรางวัลของศิษย์หลานไป๋นั้นมีเยอะแยะมากมาย เกรงว่าคงไม่น้อยไปกว่าของศิษย์หลานหยางอย่างแน่นอน” นักพรตวัยกลางคนตอบด้วยสีหน้าที่ดูเป็นปกติ
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าคงต้องขอบคุณศิษย์พี่ท่านประมุขแทนชงเทียนก่อน” นักพรตแซ่จงได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา
“เฮ่อๆ! คำพูดขอบคุณนั้นรอให้ศิษย์หลานไป๋เห็นของรางวัลก่อนแล้วค่อยพูดก็ไม่สาย” นักพรตวัยกลางคนหัวเราะเฮ่อๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา
……………………………………….