ตอนที่****422 งานแต่งงานของเฟิงเฉินหยู
คำพูดของซวนเทียนหมิงทำให้เฟิงหยูเฮงกรอกตา ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่ง และโน้มตัวไปข้างหน้า นางยื่นแขนโอบรอบคอของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ “ถ้าเช่นนั้นมีปฏิกิริยาด้านลบในบริเวณนั้นหรือไม่ ? ตัวอย่างเช่นมีอาการปวดอะไรบ้าง”
ซวนเทียนหมิงไม่รู้ว่านางหมายถึงอะไรดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “มันเจ็บ มีความเจ็บป่วยใด ๆ ที่ไม่เจ็บหรือ ? ชายารักเจ้า ควรให้การรักษาสามีด้วย”
ชายาของเขาหลับตา และพูดด้วยน้ำเสียงซุกซน “ตั้งแต่สมัยโบราณการแพทย์แผนตะวันออกกล่าวเสมอว่าอาการบาดเจ็บจากภายนอกควรได้รับการรักษาจากภายใน แต่ก็มีอีกคำพูดหนึ่งในทางการแพทย์ของเรา”
ซวนเทียนหมิงงงงวย “ว่าอย่างไร?”
“ตัดสิ่งที่เจ็บปวดทิ้ง ! ”
“เจ้ามันบ้า ! ” เขาได้ยินเสียงกัดฟันพูด
เฟิงหยูเฮงหัวเราะเสียงดัง กระโดดลงมาจากโต๊ะที่นางนั่ง นางหลบไปข้างหลังเป่ยจื่อ “นายของเจ้ากำลังจะกัดใครซักคน ! ”
เป่ยจื่อเกือบหัวเราะ ตัดสิ่งที่เจ็บปวดทิ้ง องค์หญิงช่างดุร้ายจริง ๆ !
ขณะที่พวกเขาหัวเราะและล้อเล่น พวกเขาเห็นนางกำนัลอาวุโสโจวเข้ามาในเรือนพร้อมกับจดหมาย เฟิงหยูเฮงเดินไปดู “เป็นเทียบเชิญไปงานเลี้ยงหรือไม่”
นางกำนัลอาวุโสโจวยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพคะ” จากนั้นนางก็พูดกับซวนเทียนหมิง “พระชายารองแห่งตำหนักเซียงได้ส่งเทียบเชิญไปยังตำหนักหยูเพคะ”
หวงชวนได้ยินเรื่องนี้ และหัวเราะ “พระชายารองมีพิธีอะไรให้เข้าร่วมหรือ ! ”
อย่างไรก็ตามวังชวนก็กล่าว “คำเชิญนี้ส่งมาจากองค์ชายสามหรือไม่ ? ”
นางกำนัลอาวุโสโจวส่ายหัว “งานแต่งงานครั้งนี้จัดโดยพระชายาเซียงเพคะ มีเทียบเชิญส่งมาจากพระชายาเซียงด้วยเช่นกัน”
ซวนเทียนหมิงแสดงความอยากรู้อยากเห็นที่เฟิงหยูเฮง เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้และพระชายาเซียงสนิทกัน อาจจะมีบางสิ่งที่เขาไม่รู้ในเรื่องนี้
พอไปดูเขาเห็นรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้าของเฟิงหยูเฮง ซวนเทียนหมิงเข้าใจ และรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นในทันที ส่งเทียบเชิญไปยังเป่ยจื่อ เขาพูดเสียงดัง “เก็บมันให้ดี เมื่อถึงวันงานองค์ชายผู้นี้จะพาชายารักของข้าไป”
อาณาจักรต้าชุน ในช่วงปีที่ 22 ของการปกครองของเทียนหวู่ บุตรสาวคนโตของเสนาบดี เฟิงเฉินหยูได้แต่งงานในวันที่ 24 เดือนเจ็ด
ไม่มีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่และไม่มีดนตรี ไม่มีการตื่นแต่เช้าและนอนดึกเพื่อทำงานให้เสร็จทุกอย่าง ในความเป็นจริงฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ กับหลานสาวของนางเกี่ยวกับการเป็นภรรยา ก่อนที่เฟิงเฉินหยูจะออกมาจากคฤหาสน์นางก็ไปพบกับฮูหยินผู้เฒ่าและเฟิงจินหยวน โดยกล่าวว่า “ท่านย่าลาก่อนเจ้าค่ะ ท่านพ่อลาก่อนเจ้าค่ะ” จากนั้นด้วยการสนับสนุนจากบ่าวรับใช้ของนาง นางลุกขึ้นยืนและมีผ้าคลุมสีแดงวางอยู่บนหัวของนาง นางออกจากคฤหาสน์โดยไม่มีการประโคม
ที่ทางเข้าคฤหาสน์ เกี้ยวขนาดใหญ่สีแดงจัดงานแต่งงานกำลังรออยู่ที่นั่น ตวนมู่ชิงกำลังขี่ม้าตัวใหญ่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของซวนเทียนเย่มารับนาง
เฟิงจินหยวนพอใจกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก แม้ว่านางจะเป็นพระชายารอง แต่ตวนมู่ชิงก็มาต้อนรับนาง
นอกจากเฟิงหยูเฮงไปตำหนักเซียงกับซวนเทียนหมิงแล้ว สมาชิกของตระกูลที่เหลือก็รวมตัวกันเพื่อส่งเฟิงเฉินหยูออกคฤหาสน์ แม้แต่เฟิงเฟินไดผู้ไม่เคยเข้ากับนางก็ไม่ได้ทำให้นางลำบาก นางมองเฟิงเฉินหยู ที่ปีนเข้าไปบนเกี้ยวเงียบ ๆ หลังจากที่ตวนมู่ชิงยกผ้าม่าน จากนั้นตวนมู่ชิงโบกมือของเขาและยกเกี้ยวขึ้นอย่างรวดเร็วไปในทิศทางของตำหนักเซียง
จินเฉินยืนอยู่ข้าง ๆ อันชิ และกล่าวว่า “พี่สาวรู้สึกอย่างไรกับงานแต่งงาน ? นี่มันช่างโชคร้ายยิ่งกว่างานศพ”
อันชิจ้องนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยคำเตือน จินเฉินก็รู้ว่านางพูดผิด นางก้มหน้าลงและไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่ทุกคนเข้าใจว่าจินเฉินพูดความจริง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็มองดูเกี้ยวและส่ายหน้าของนางในขณะที่ถอนหายใจ จากนั้นนางก็ถามเฟิงจินหยวน “นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตระกูลหรือไม่ ? ”
เฟิงจินหยวนกัดฟัน “เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราสามารถทำได้แค่ก้าวไปข้างหน้าในตอนนี้” ในขณะที่พูดสิ่งนี้เขามองไปในทิศทางของเซียงหรู ระดับความสมดุลในหัวใจของเขาเริ่มเปลี่ยนไปโดยที่เขาไม่สังเกตเห็น
ฝั่งตระกูลเฟิงเงียบสงบเพราะพวกเขาไม่ได้รับคำเชิญใด ๆ พวกเขาไม่สามารถส่งแขกได้ หลังจากทั้งส่งเฟิงเฉินหยูไปยังเกี้ยว พวกเขากลับไปที่ห้องโถงใหญ่ของเรือนโบตั๋น ทุกคนนั่งที่นั่น แต่บรรยากาศเงียบขรึม
ตำหนักเซียงแตกต่างจากตระกูลเฟิงอย่างมาก ไม่มีการขาดแคลนองค์ชายและเจ้าหน้าที่ที่ไปร่วมงาน แม้แต่ตระกูลใหญ่อื่น ๆ ในเมืองหลวงก็ได้รับคำเชิญ พวกเขาถือของกำนัลที่มีราคาแพงและมาเพื่อเพลิดเพลินกับการเฉลิมฉลอง ชั่วครู่หนึ่งตำหนักเซียงก็เต็มไปด้วยผู้คน
เมื่อเกี้ยวแต่งงานของเฟิงเฉินหยูมาถึงทางเข้า บุคคลภายในเกี้ยวได้ยินเสียงตะโกนร่าเริงมาจากข้างหน้า เสียงร้องและดนตรีมาจากข้างหน้า และฟังดูมีชีวิตชีวามาก นางงุนงงเล็กน้อยและยกม่านขึ้นเล็กน้อย “นี่คือเสียงอะไร ? พวกเราเจอพิธีของตระกูลอื่นหรือไม่ ? ”
แม่สื่อพูดว่า “เรามาถึงหน้าประตูตำหนักเซียงแล้วเจ้าค่ะ กำลังสนุกกับกิจกรรมที่นี้ ฝั่งตระกูลเฟิงเงียบสงบเพียงใด ตำหนักเซียงนั้นมีชีวิตชีวามาก เพื่อที่จะนำคุณหนูใหญ่มา องค์ชายสามพยายามหนักมากเจ้าค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินเสียงเพลงและการร้องเพลงเพื่อต้อนรับนาง หัวใจที่จมลงไปถึงจุดต่ำที่สุดก็เริ่มฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว นางรู้ว่าองค์ชายสามดูแลนาง นางเชื่อมั่นว่าเมื่อม่านถูกเปิด การจัดงานนี้จะถึงขั้นตอนสุดท้าย
ในที่สุดเกี้ยวก็หยุดอยู่ตรงหน้าตำหนักเซียง มันยังคงเป็นตวนมู่ชิงที่ยกม่านของเกี้ยว ในขณะที่แม่สื่อช่วยนางเดินเข้าไปในคฤหาสน์ทีละก้าว นับตั้งแต่อายุสิบขวบ เฟิงเฉินหยูเริ่มฝึกปฏิบัติแต่ขั้นตอนของงานแต่งงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่งงานของนาง ไม่ว่านางจะแต่งงานกับองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ฮ่องเต้ หรือขุนนางระดับสูง นางสามารถรับประกันได้ว่านางจะไม่ทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียว
โชคไม่ดีที่ไม่มีสิ่งใดที่นางเตรียมไว้เมื่อออกจากตระกูล ไม่มีการเตะประตูเกี้ยว ไม่มีการยิงธนู ไม่กระโดดข้ามเตาอั้งโล่ และไม่มีแม้แต่เจ้าบ่าวที่มาต้อนรับนาง ทุกสิ่งแตกต่างจากที่นางคิดไว้ แม้ว่านางจะได้ยินเสียงที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนาน แต่นางก็รู้สึกมีความสุขมากกว่าเมื่อนางออกจากคฤหาสน์เฟิง หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกด้วยเหตุผลบางอย่าง ความตื่นตระหนกนี้ทำให้เท้าของนางสะดุด
แม่สื่อเตือนนางอย่างเงียบ ๆ “คุณหนูใหญ่อย่ากลัวเลย นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องประสบเมื่อแต่งงาน ตอนนี้มีฉากที่ยอดเยี่ยมเกิดขึ้นทั้งสองด้านของคุณหนู แขกที่มาจากคฤหาสน์ถึงทางเข้า หากไม่ใช่เพราะตำหนักเซียงที่มีขนาดใหญ่ก็คงไม่สามารถรองรับพวกเขาทั้งหมดได้เจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ที่มากับเฟิงเฉินหยูยังกล่าวอีกว่า “คุณหนู องค์ชายสามค่อนข้างจริงจัง แม้ว่านี่จะเป็นการต้อนรับพระชายาเอก บางทีมันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่านี้เจ้าค่ะ ? ”
จิตใจของเฟิงเฉินหยูเคร่งเครียดขึ้นอีกครั้ง และนางก็ยิ่งตื่นตระหนกยิ่งขึ้น
ในเวลานี้องค์ชายนั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงแล้ว องค์ชายสาม ซวนเทียนเย่ก็สวมชุดแต่งงานเช่นกัน และนั่งอยู่ในรถเข็นรอพระชายาคนใหม่ของเขามาถึง แต่คิ้วของเขาขมวดแน่นและไม่ความดีใจอยู่บนใบหน้าของเขา ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เขาก็ดูไม่เหมือนเจ้าบ่าว กลายเป็นพระชายาเซียงที่ดูเหมือนจะดูแลสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
ซวนเทียนหมิงนั่งข้าง ๆ พร้อมเฟิงหยูเฮง ในขณะที่โบกมือให้ชายาของเขา เขาถามอย่างเงียบ ๆ ว่า “เจ้าวางแผนอะไรกับพระชายาเซียง ? ”
เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “อะไรนะ ไม่มี ไม่มีแผนการใด ๆ ”
ซวนเทียนหมิงแสดงความสงสัยว่า “พระชายาเซียงเกลียดพี่สามถึงจุดที่ต้องกัดฟันทน ถ้าไม่ใช่เจ้าวางแผนที่จะเล่นกับนาง เจ้าจะพยายามอย่างมากที่จะช่วยพาพระชายารองมาหรือไม่”
ซวนเทียนฮั่วนั่งที่ด้านข้าง และได้ยินการสนทนาระหว่างคนทั้งสอง เขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหรือไม่ มันชัดเจนทันที น้องเก้า ถ้าแผนการถูกเปิดเผยมาก่อน มันก็จะไม่สนุก”
ซวนเทียนหมิงเงยหน้าขึ้นมองหยูเฉียนหยินที่นั่งข้าง ๆ และสีหน้าของเขาก็มืดลงเล็กน้อย
เฟิงหยูเฮงเห็นหยูเฉียนหยินมาพร้อมกับซวนเทียนฮั่วด้วย ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดสีม่วงเรียบง่ายและผมของนางผูกขึ้นอย่างเรียบง่ายอยู่ด้านหลังศีรษะ นี่เป็นรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างดี ซวนเทียนฮั่วมาพูดคุยกับพวกเขา ดังนั้นหยูเฉียนหยินก็มาด้วย เมื่อดึงแขนเสื้อของซวนเทียนฮั่ว นางพูดเบา ๆ ว่า “พี่เจ็ด ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฟิงสวยจนไม่มีใครเทียบ นี่เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าค่ะ” คิ้วและอารมณ์ของนางทำให้เฟิงหยูเฮงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ในเวลานี้พระชายาเซียงเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว และไปที่ด้านของซวนเทียนเย่ และพูดกับเขาว่า “เจ้าสาวกำลังจะเข้าสู่ห้องจัดเลี้ยง ฝ่าบาทเตรียมความพร้อมเร็ว”
ซวนเทียนเย่ยังคงโกรธอยู่ เขาไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่น้อยว่าทำไมพระชายาเซียงจึงต้องพยายามจัดพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ เขาปฏิเสธไปรองหนึ่ง แต่อีกฝ่ายใช้เหตุผล “เราจะต้องไว้หน้าตระกูลเฟิงและองค์หญิงแห่งมณฑลจีอัน” เพื่อปิดกั้นการปฏิเสธของเขา นอกจากความคิดในภายหลังของเขาแล้วเขาไม่สามารถเย็นชากับคฤหาสน์เฟิงได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าในกรณีใดเขาต้องเอาข่าวลือเรื่องลักษณะของหงส์เพลิงของเฟิงเฉินหยูมาช่วย ดังนั้นเขาจึงเห็นด้วยกับคำขอของนางและอนุญาตให้แผนการดำเดินต่อไป
แต่วันนี้องค์ชายทุกคนและขุนนางภายในเมืองหลวง และแม้กระทั่งประชาชนที่มีฐานะมั่งคั่งก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน
ในขณะที่คิด เจ้าสาวก็เข้ามาในห้องจัดเลี้ยงด้วยความช่วยเหลือของแม่สื่อ sp^เฉียนหยินพูดเบา ๆ “ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสวยงามเพียงใด หากจิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยยาพิษ พวกเขาจะไม่รอดอย่างแน่นอน” จากนั้นนางก็ดูถูกเหยียดหยามและยื่นคางเล็ก ๆ ของนางออก เรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าภาคภูมิใจของเฟิงหยูเฮง
ซวนเทียนฮั่วหันมามองนาง จ้องมองด้วยคำถาม อย่างไรก็ตามการจ้องมองนี้ไม่ได้อิทธิพลและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก อย่างไรก็ตามสำหรับเฟิงหยูเฮง นางสังเกตเห็นการสั่นไหวของความไม่พอใจในสายตาของหยูเฉียนหยินพร้อมกับความโกรธเล็กน้อย
งานแต่งงานครั้งนี้จะเป็นพิธีโดยองค์ชายรอง แต่เดิมงานนี้ควรได้รับการจัดการโดยองค์ชายใหญ่ อย่างไรก็ตามองค์ชายใหญ่นอนอยู่บนเตียงในตำหนักหยู เขาขยับไม่ได้และไม่สามารถมาร่วมพิธีได้
แต่องค์ชายรอง ซวนเทียนหยานก็รู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน เป็นแค่พระชายารอง แต่ก็ยังมีกิจกรรมมากมาย การคำนับฟ้าดินเป็นสิ่งแรกนั้นง่ายต่อการจัดการ แต่บิดามารดาจะเป็นอย่างไร? พวกเขาจะคำนับใคร
ในขณะที่เขากำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เฟยหยูพระนัดดาผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่นั่นอย่างหงุดหงิด ทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ในหนังสือบอกว่ามีเพียงพระชายาเอกเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ทำพิธีสมรสกับสามี อาสาม อาไม่ต้องการน้าสามหรือพะยะค่ะ ? ”
เด็กน้อยพูดโดยไม่มีการยับยั้งถามคำถามที่ทุกคนกำลังคิดโดยตรง
ซวนเทียนเย่จ้องที่พระชายาของเขาแล้วได้ยินพระชายาเซียงกล่าวว่า “ถึงแม้พระองค์จะทรงแต่งพระชายารอง แต่พระชายารองผู้นี้ก็เป็นบุตรคนโตของคฤหาสน์เสนาบดี ถ้าคนที่งดงามที่สุดในเมืองหลวงและอาณาจักรไม่มีพิธีเหล่านี้ นางจะไม่รู้สึกเสียใจกับชีวิตที่เหลืออยู่ของนางหรอกหรือ ? ” หลังจากพูดอย่างนี้นางหันไปหาซวนเฟยหยูและกล่าวว่า “เฟยหยู หนังสือเล่มนี้พูดถูกแน่นอน แต่การตัดสินใจของมนุษย์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าจะเข้าใจเมื่อเจ้าโตขึ้น” หลังจากที่นางพูดสิ่งนี้ นางหันไปหาเฟิงหยูเฮงและถามว่า “องค์หญิงแห่งมณฑล ข้าพูดถูกหรือไม่”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและพยักหน้า “ใช่แล้ว ขอบคุณมาก พี่สามที่เป็นคนใจดีที่ช่วยเติมเต็มความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพี่สาวของข้า นี่คือบุตรสาวที่งดงามที่สุดของตระกูลเฟิง และนางเป็นบุตรสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดของตระกูลเฟิง พี่สามโชคดีมาก”
หลังจากที่นางพูดสิ่งนี้ มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งตะโกนข้างนอก “ของกำนัลจากฮองเฮาถึงพระชายารอง ! ”
TN: การเตะประตูเกี้ยวเป็นพิธีกรรมที่เจ้าบ่าวเตะประตู จากนั้นเจ้าสาวก็ตอบกลับด้วยการเตะประตูเช่นกัน นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ชายจะไม่ถูกครอบงำโดยผู้หญิง และผู้หญิงจะไม่แสดงความอ่อนแอ
การกระโดดข้ามเตาอั้งโล่ หมายถึงการกำจัดลางร้ายและนำโชคลาภมาให้