บทที่ 121 จึงยังเป็นคนโสดอยู่กับความกล้าแกร่งของตนเองเช่นนี้ ! (ต้น)
เยี่ยฉวนได้องค์หญิงเก้าช่วยเหลือพาเข้าสู่เมืองชายแดน
ในเมือง ทหารหมู่หนึ่งตรงเข้ามา ทว่าเมื่อพวกเขาพบว่าผู้ที่เดินอยู่นั้นคนหนึ่งคือองค์หญิงเก้าและอีก คนคือเยี่ยฉวน มันก็ทำให้พวกเขาถึงกับตะลึงงัน
องค์หญิงเก้านั้นถือเป็นผู้มีน้ำพระทัย เรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้กัน แต่ทว่าพระองค์ก็ไม่ถึงกับให้ความใกล้ชิด สนิทสนมกับทหารในค่ายเช่นนี้ !
ในตอนนั้นเองที่ทรงเห็นกลุ่มทหาร “พวกเจ้ามองหาอะไร ? ไสหัวไปให้พ้น !”
เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ทหารทั้งกลุ่มต่างก็พากันกลัวลนลาน พวกเขารีบแยกย้ายไปกันคนละทิศ คนละทาง
จังหวะนั้นเองที่ร่างของเยี่ยฉวนทรุดฮวบลงไป
เวลานี้ชายหนุ่มทั้งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนกำลังอย่างแท้จริง
องค์หญิงเก้าสั่นพระเศียรอย่างอ่อนใจ ก่อนก้มลงช่วยพยุงร่างขึ้นมา แล้วจึงพากลับไปที่กระโจมที่ ประทับขององค์เอง
ภายในกระโจมที่ประทับนั้นตกแต่งเรียบง่าย มีเพียงแคร่นอน โต๊ะเขียนหนังสือ และโต๊ะทรายจำลอง สภาพทางภูมิศาสตร์
นอกจากนี้แล้วไม่มีสิ่งใดอีก !
หลังจากพาเยี่ยฉวนมาถึงที่นอน นางพลันร้องสั่ง “ตามเสี่ยวอี้มาหาข้า !”
เพียงไม่นาน สตรีในชุดยาวสีเขียวก็ได้เดินเข้ามาภายในกระโจมพร้อมยามากมาย ! แท้จริงแล้วนางคือหมอหลวงส่วนพระองค์ขององค์หญิงเก้านั่นเอง
เมื่อเห็นหมอหลวง องค์หญิงจึงถอยออกเพื่อเปิดทางให้แพทย์ นางทอดสายตามองเยี่ยฉวนพลางตรัส เสียงต่ำ “รักษาให้เขา ไม่ว่าจะต้องใช้ยาสักเท่าไร !”
หญิงผู้มีนามว่าเสี่ยวอี้ก้มตัวลงต่ำเป็นเชิงรับคำสั่ง จากนั้นจึงขยับเข้ามาใกล้ร่างของคนที่นอนอยู่บนที่นอน ก่อนจะแตะนิ้วขาวราวเนื้อหยกตรวจดูชีพจรของเยี่ยฉวนอยู่ครู่หนึ่ง หัวคิ้วเรียวดกดำขมวดเข้าหากัน น้อย ๆ “เขาบอบช้ำภายในมากทีเดียว !”
ได้ยินเช่นนั้น องค์หญิงก็ถึงกับนิ่วหน้า “รักษาให้เขา !”
หมอหลวงไม่โต้แย้ง “เชื่อหม่อมฉันเถิดฝ่าบาท แม้ว่าความบอบช้ำจะสาหัสนักแต่ไม่ถึงกับตาย เพียง แค่ต้องฟื้นฟูสุขภาพด้วยการกินอาหารบำรุงร่างกาย ทั้งยังจะต้องใช้ยาสมุนไพรซึ่งหายาก ดังนั้น…”
องค์หญิงตรัสหน้านิ่ง “ท่านพ่อของข้าส่งของมาให้มากมาย เจ้านำมาใช้ในการรักษาเขาได้เต็มที่”
เสี่ยวอี้มองสบพระเนตร “แต่ยาเหลืออีกไม่มากนะเพคะ อีกทั้งยาสมุนไพรเหล่านั้นสำรองไว้สำหรับ พระองค์เองเมื่อถึงคราวจำเป็นเพคะ ดังนั้น ข้า…”
“สำหรับเขาเท่าไรเท่ากัน !”
น้ำเสียงเน้นคำพูดหนักแน่นซึ่งผู้ฟังไม่อาจโต้แย้ง
เมื่อได้ยินแบบนั้นเสี่ยวอี้จึงไม่โต้แย้งอีก นางเพียงแค่พยักหน้ายอมรับ
องค์หญิงเก้าเหลือมองเยี่ยฉวนผู้นอนสงบเงียบอยู่บนที่นอนของนางภายในกระโจม ภายนอกกระโจมที่ประทับ ในพระหัตถ์ขวาขององค์หญิงปรากฏม้วนคัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพี
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีกลายเป็นที่สิ่งล้ำค่าของใครต่อใคร นั่นเป็นเพราะสิ่งล้ำค่าพวกนี้ล้วนแต่ถูกเก็บรักษาไว้โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด กล่าวโดยย่อคือ เป็นคัมภีร์หนึ่งเดียวไม่มี สอง !
หากคัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีได้รับการเปิดเผยโดยนำออกประมูลราคา มันต้องมีผู้มีอำนาจบารมี มากมายในโลกรีบมาประมูลไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน !
ถึงแม้ว่าในคราที่เยี่ยฉวนย้อนกลับมา เขาจะโยนสิ่งล้ำค่าคืนให้ราวกับของไม่มีค่าไม่มีราคาก็เถอะ !
ตอนนี้องค์หญิงได้กระจ่างแจ้งในเจตนาของชายหนุ่มแล้ว เหตุที่เขานำคัมภีร์ยุทธขั้นปฐพีออกจาก กระท่อมไม้ไผ่ นั่นก็เพราะเขาต้องการล่อศัตรูออกไปให้พ้นทาง หาใช่เพราะต้องการเก็บเอาคัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอด ขั้นปฐพีไว้เสียเองไม่ !
“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไปเอง !”
องค์หญิงหันไปทอดเนตรมองชายหนุ่มที่ยังนอนอยู่ภายในกระโจม สีหน้าและแววตาบอกความรู้สึก หลายอย่าง
ไม่แน่ชัดว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เยี่ยฉวนค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้น ชายหนุ่มชะงักงันกับฉากเบื้อง หน้า ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นนั่งทันที หลังจากกวาดสายตามองโดยรอบ เขาจึงพบว่าตนเองกำลังอยู่ภายในกระโจม เยี่ยฉวนส่ายหน้าอย่างงงงัน ก่อนที่ในไม่ช้าจะเริ่มจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้
เมื่อก้มลงมองตัวเอง เขาพลันพบว่าบริเวณหน้าอกถูกพันด้วยผ้าพันแผล !
เขาทำท่าเหมือนเพิ่งคิดออก เมื่อกางฝ่ามือออกพลันปรากฏกระบี่เล่มหนึ่ง
มันคือผลของการผสานรวมระหว่างกระบี่หลิงเซี่ยวและกระบี่หลิงโหย่ว !
เยี่ยฉวนผสานสองกระบี่เป็นหนึ่งเดียว !
กระบี่ซึ่งเหนือกว่ากระบี่จิตวิญญาณ กลายเป็นกระบี่ประกายแสง
ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถดูดกลืนกระบี่ประกายแสงเข้าสู่ภายใน มิเช่นนั้นพลังของเขาจะต้องเข้าใกล้ขั้นทะยานสวรรค์ขึ้นไปอีกขั้นแน่ แต่ถึงอย่างงั้นชายหนุ่มก็ยังรู้สึกปิติในใจที่ได้ครอบครองกระบี่ประกายแสง ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นทะยานสวรรค์ก็ตาม !
ลำดับชั้นความสำคัญของกระบี่ประกอบด้วย กระบี่สามัญ กระบี่จิตวิญญาณ กระบี่ประกายแสง กระบี่แท้จริง กระบี่สวรรค์ กระบี่เต๋า และกระบี่เซียน
เหตุที่มาของชื่อเรียกขานกระบี่จิตวิญญาณด้วยเพราะผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งกระบี่ เมื่อกระบี่จิตวิญญาณเสริมไหวพริบและความฉลาดขึ้นอีกขั้น จึงกลายเป็นกระบี่ประกายแสง ถ้าเปรียบกระบี่ จิตวิญญาณเสมือนทารกในครรภ์ กระบี่ประกายแสงก็จะเสมือนเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
กระบี่จิตวิญญาณและกระบี่ประกายแสง จึงมีความแตกต่างในแก่นกลางแห่งกระบี่ทั้งสองอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะอยู่ในขั้นหลอมรวมลมปราณ แต่ด้วยกระบี่ประกายแสง มันกลับทำให้เขาสามารถสู้กับพลังขั้นทะยานสวรรค์ได้โดยไม่เกรงกลัว !
เมื่อหวนคำนึงบางสิ่ง เยี่ยฉวนพลันเพ่งมองกระบี่ในมือ
ด้านหนึ่งมีสีน้ำเงินอมฟ้า ส่วนอีกด้านมีสีแดงเข้ม
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวกับตนเอง “ข้าจะตั้งชื่อกระบี่เล่มนี้ว่า กระบี่หลิงซิ่ว อืม คำว่าหลิง มาจากเยี่ยหลิง และคำว่า ซิ่ว มาจากอันหลานซิ่ว !”
นึกแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะกับตนเอง ด้วยความพอใจต่อชื่อกระบี่ที่ตนตั้ง
ในขณะนั้นองค์หญิงเก้าได้เสด็จเข้ามาภายในกระโจมพอดี ในพระหัตถ์ของนางมีชามใบใหญ่มาด้วย สองใบ เยี่ยฉวนรีบเก็บกระบี่ ชายหนุ่มเงยมองผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามา องค์หญิงเปลี่ยนฉลองพระองค์ ในตอนนี้นางกำลังสวมเสื้อเสื้อเกราะอ่อนสีเงิน ทำให้ผู้สวมใส่งามสง่ายิ่งนัก !
องค์หญิงทรุดลงนั่งใกล้ที่นอนของเยี่ยฉวน ก่อนส่งชามใหญ่ใบหนึ่งยื่นให้ชายหนุ่มรับมาถือไว้ ในชาม บรรจุเนื้อหมูต้มเปื่อยใส่ซีอิ้วโปะทับลงบนข้าวสวย !
เสียงองค์หญิงเก้าตรัสมาเรียบ ๆ “ในค่ายทหาร มีแต่อาหารง่าย ๆ มันน่าจะพอช่วยเจ้าได้บ้าง !”
หลังจากนั้นผู้พูดพลันก้มหน้าก้มตาเสวยอย่างหิวโหย เวลาเช่นนี้มารยาทการกินจึงกลายเป็นเรื่องรอง
เยี่ยฉวนเองก็หิวโหยใช่ย่อย ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มฉวยชามอาหารได้ เขาจึงก้มหน้าก้มตากินอย่างรวดเร็ว