บทที่ 325 สาวงามผู้เย้ายวนใจ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 325 สาวงามผู้เย้ายวนใจ

ฟังก์ชันเปลี่ยนเพศอย่างนั้นหรือ?

ความสามารถนี้มันมีไว้เพื่อพวกนักต้มตุ๋นที่ชอบหลอกเงินผู้ชายหน้าโง่ทางอินเทอร์เน็ตชัดๆ

หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดด้วยความสนใจและลองกดใช้งาน

คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความสุข

เมื่อมีโอกาสได้ลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้จนวันตายแล้ว

เด็กหนุ่มกดปุ่มเปลี่ยนเพศ

มีหน้าต่างข้อความเด้งเตือนขึ้นมา

ให้ตายเถอะ

นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง

ปรากฏว่านอกจากต้องจ่ายค่าสมาชิกเพื่อใช้งานแอปเมจิก คาเมร่าแล้ว เขายังต้องจ่ายเงินทุกครั้งที่ใช้งานฟังก์ชันภายในตัวแอปอีกด้วย

ไอ้คนที่ผลิตแอปนี้ขึ้นมา มันกะหวังจะรวยล้นฟ้าเลยหรือไง

แต่ผู้ใช้งานก็ได้แต่ก้มหัวยอมจ่ายเงินเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดตอนที่กดปุ่มหักเงินจากบัญชีวีแชท

พลัน สิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น

หลินเป่ยเฉินเห็นกับตาว่าหน้าอกของเขาค่อยๆ นูนออกมาเหมือนลูกโป่งสูบลม และภายในเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จากหน้าอกคัพเอก็กลายเป็นหน้าอกคัพบี จากหน้าอกคัพบีก็กลายเป็นหน้าอกคัพซี ต่อมาก็กลายเป็นหน้าอกคัพดี ทว่า หน้าอกของเขายังขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด…

“เฮ้ย พอได้แล้วมั้ง ใหญ่มากไปกว่านี้ เดี๋ยวนมได้ระเบิดตายกันพอดี” หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองสองเต้าของตนเองด้วยความตื่นเต้น

โชคดีที่หน้าอกของเขาไม่ได้ขยายใหญ่ต่อไปอีกแล้ว

ค่อยโล่งอกหน่อย

แต่แบบนี้มันไม่ใหญ่จนผิดปกติไปหน่อยหรือไงวะ

เด็กหนุ่มใช้สองมือลองสัมผัสหน้าอกของตนเอง

มันให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังบีบยางรถยนต์ชอบกล

แต่เมื่อลองเปิดเสื้อออกดู อะฮ้า… นับว่าเป็นภูเขาไฟที่สวยงามใช้ได้

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดีดตัวขึ้นมา จึงล้วงมือเข้าไปที่เป้าของตนเอง

หืม?

อะไรอีกละเนี่ย

ทำไมมังกรตัวเขื่องของเขายังอยู่ที่เดิมอยู่อีกล่ะ

นึกว่าเปลี่ยนเพศแล้วจะหายไปเสียอีก

เฮ้อ

“นี่มันหลอกลวงผู้บริโภคนี่หว่า ไหนว่าสามารถเปลี่ยนเพศได้ไง”

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความเศร้าในขณะที่จัดการเก็บน้องชายของตนเองให้เป็นที่เป็นทางมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม นับว่าตอนนี้เขาปลอดภัยดีแล้ว

หลินเป่ยเฉินไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีเจ้าหน้าที่มือปราบบุกเข้ามาค้นตัวเขาเพราะคิดว่าเขาคือหลินเป่ยเฉินแน่นอน

แค่นี้ก็เรียบร้อย

ในเวลาเดียวกันนั้น มี่หรู่หยานเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

นางเดินออกมาจากหลังกองฟางด้วยความเหนียมอาย

แต่ต้องไม่ลืมว่าเด็กสาวกำลังอยู่ในร่างของมนุษย์ป้าผิวคล้ำวัย 40 เศษ ซึ่งไม่เข้ากับสีหน้าเขินอายที่กำลังแสดงอยู่ในขณะนี้แม้แต่นิดเดียว

เมื่อมี่หรู่หยานเห็นสภาพของหลินเป่ยเฉิน นางก็ปากอ้าตาค้าง แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาอีกครั้ง

สองตาของมี่หรู่หยานจดจ้องอยู่ที่หน้าอกหน้าใจซึ่งใหญ่โตผิดปกติของหลินเป่ยเฉิน

คนเราจะมีหน้าอกใหญ่… ถึงขนาดนั้นได้อย่างไร?

แบบนี้ไม่โดดเด่นสะดุดตามากเกินไปหน่อยหรือไง?

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอเพื่อกลบเกลื่อนความกระดากอายและพูดว่า “ข้าแค่หาของมายัดทำหน้าอกปลอมมากเกินไปหน่อยเท่านั้นน่ะ…” หลังจากขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนเพศของมี่หรู่หยานให้กลายเป็นผู้ชาย แต่เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน

“เสื้อผ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

หลินเป่ยเฉินสอบถาม

เด็กสาวในร่างมนุษย์ป้านำเสื้อผ้าชุดเก่าและชุดชั้นในออกมาจากด้านในอกเสื้อ พร้อมกับพูดว่า “เราหาที่ฝังเสื้อผ้าพวกนี้ดีไหมเจ้าคะ?”

ต่อให้เสื้อผ้าเหล่านี้จะฉีกขาดจนแทบใส่ไม่ได้แล้ว แต่มันก็ยังเป็นเสื้อผ้าของมี่หรู่หยานอยู่ดี เมื่อถอดออกมาแล้ว เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าเขาไม่มีผิด

เด็กหนุ่มส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ได้ หากเราเอาไปฝังดิน ก็ยังมีโอกาสที่จะมีคนมาพบเจอ ไม่ทราบว่าเจ้ามีแหวนเก็บของหรือกำไลเก็บของติดตัวมาบ้างหรือไม่?”

มี่หรู่หยานส่ายศีรษะ

นางมาจากครอบครัวชนชั้นกลางในเมืองหยุนเมิ่ง ไม่มีทางมีโอกาสได้ครอบครองของล้ำค่าเหล่านั้นเด็ดขาด

“งั้นเอามาให้ข้า”

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาข้างหน้า

“หืม?” มี่หรู่หยานถึงกับงุนงง

แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยื่นส่งเสื้อผ้าที่ฉีกขาดและชุดชั้นในให้หลินเป่ยเฉินอย่างเชื่อฟังเป็นอย่างดี

หลินเป่ยเฉินรับเสื้อผ้าเหล่านั้นมาถือในมือ กลิ่นหอมของกายเด็กสาวลอยขึ้นมาเตะจมูก แล้วเขาก็เผลอยกเสื้อผ้าเหล่านั้นขึ้นมาสูดดมพลางรำพึงรำพันออกมาโดยไม่รู้ตัว “หอมจังวุ้ย”

มี่หรู่หยานเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงก่อนเค้นเสียงด้วยความไม่พอใจ “ คุณชายหลิน ท่าน…”

นั่นเองเด็กหนุ่มถึงได้รู้ตัวว่าแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกมาแล้ว

เขารีบพูดโดยเร็ว “นิสัยเก่าแก้ไม่หายน่ะ ขออภัย ขออภัย…”

แม่ง

หมดกันความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมา

อีกหน่อยเขาต้องควบคุมตัวเองให้ได้มากกว่านี้

หลินเป่ยเฉินพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก แต่พูดได้ไม่กี่ประโยค มี่หรู่หยานพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน “ขอบคุณคุณชายหลินมากนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านเจตนาทำตัวแบบนี้ เพื่อหวังให้ข้าผ่อนคลายหายจากความกังวล เหมือนที่ก่อนหน้านี้ท่านส่งเสียงครางตลกๆ นั่น ต่อให้ท่านไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำเดียว แต่มันก็สามารถปลอบโยนให้ข้าเลิกคิดฟุ้งซ่านได้ชั่วคราว…”

หา?

เขาตั้งใจปลอบโยนนางอยู่เสียที่ไหนเล่า?

แต่ปล่อยให้เข้าใจแบบนี้ก็ดีแล้วมั้ง?

ถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ

หลินเป่ยเฉินไม่รู้เหมือนกันว่าในสมองของ ‘มนุษย์ป้า’ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

นางเห็นเขาเป็นคนดีขนาดนั้นได้อย่างไร?

“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือหลังคายังมีก้อนเมฆ ข้าคิดว่าตนเองสามารถแสดงได้แนบเนียนแล้วเชียว แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังมองออกอยู่ดี ถูกต้องแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดนั้น ข้าตั้งใจปลอบโยนเจ้า”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าของเด็กสาวเข้าไปในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์และพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ ออกไปดูสถานการณ์ในตัวเมืองกันหน่อยดีกว่า”

แล้วเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองคนก็เดินออกจากกระท่อมหลังน้อย ในสภาพที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถจดจำพวกเขาได้เด็ดขาด

บนถนนหมายเลขที่ 27

หน้าตึกตระกูลมี่

“หยุดนะ พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?” เจ้าหน้าที่มือปราบประจำเมืองหยุนเมิ่งสองนายเห็นหญิงสาวต่างวัยคู่หนึ่งกำลังยืนมองตึกสกุลมี่อยู่นานสองนาน พวกเขารู้สึกว่านี่คือเรื่องที่ผิดปกติ จึงตัดสินใจถามออกมาเสียงดัง

“ขอสอบถามพี่ชายสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ…” หญิงสาวหน้าตาสะสวยโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ “ข้าเพียงสงสัยว่าในตึกหลังนี้มีบุคคลสำคัญอยู่หรือเจ้าคะ เหตุไฉนจึงได้มีเวรยามรักษาการแน่นหนาถึงเพียงนี้?”

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นพูดจาอ่อนหวานน่ารับฟัง ซ้ำนางยังมีหน้าอกโดดเด่นสะดุดตา เจ้าหน้าที่มือปราบจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “มีบุคคลสำคัญอยู่ที่ไหนกันเล่า ทุกคนที่อยู่ในตึกตระกูลมี่ถูกจับกุมเพราะไปยุ่งเกี่ยวกับพวกสาวกปีศาจต่างหาก… พวกเจ้าทั้งสองคนก็จงรีบหนีไปเสียเถิด อย่ามายืนรอใครอยู่แถวนี้เลย ถ้ามีใครรู้ว่าพวกเจ้าเกี่ยวข้องกับตระกูลมี่ มีหวังได้ถูกจับตัวลากเข้าคุกไปด้วยแน่ๆ”

“ฮื่อ…”

หญิงวัยกลางคนผิวคล้ำที่ยืนอยู่ข้างกายหญิงสาวหน้าตาสวยส่งเสียงครางออกมาด้วยความเศร้า

“นั่นสินะ พวกเรารีบไปกันก่อนดีกว่า” หญิงสาวหน้าอกโตรีบฉุดแขนหญิงวัยกลางคนให้ออกเดินพร้อมกับพูดว่า “ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราไปกันเถอะ ที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว”

แล้วหญิงสาวทั้งคู่ก็หมุนตัวเดินหายไปอย่างรวดเร็ว

“จางซาน ทำไมเจ้าไม่กักตัวพวกนางไว้สอบสวนต่อเล่า?” เจ้าหน้าที่มือปราบที่ยืนอยู่ข้างๆ กันยิงฟันยิ้มกว้าง “เจ้าไม่เห็นเรือนร่างของหญิงสาวผู้นั้นหรืออย่างไร นอกจากขาเรียวและเอวคอดกิ่วแล้ว หน้าอกของนางนั้นช่าง… อุ๊บะ สามารถทำให้ผู้คนรุ่มหลงได้จนวันตายเชียวนะ เจ้าปล่อยให้ของดีเช่นนี้หลุดมือไปได้อย่างไร!”

เจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งมีนามว่าจางซานหัวเราะเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงเขียว “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากทำหรือไง แต่สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดกว่าเมื่อก่อน ขอแค่ข้ากักตัวพวกนางมาสอบถามเพียงนิดเดียว นางคงต้องถูกทรมานกันพอดี บัดนี้เจ้าหน้าที่สืบสวนเที่ยวจับกุมชาวเมืองไปทั่ว โดยไม่สนอีกแล้วว่าใครเป็นใคร หากพวกเขาคิดว่านางและมารดาเป็นผู้ต้องสงสัย แม่นางผู้เลอโฉมก็คงต้องเฉาตายอยู่ในคุกเป็นแน่แท้”

คำพูดนี้ทำให้เจ้าหน้าที่มือปราบอีกหลายนายที่ยืนรักษาการอยู่แถวนั้นเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

“ถูกต้องที่สุด บัดนี้หน่วยสืบสวนมีสภาพเหมือนสุนัขบ้า พวกเขาไล่จับกุมไปทั่วไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ หรือสตรี นับดูจนถึงบัดนี้ก็เป็นจำนวนหลายร้อยคนแล้ว และดูเหมือนว่ายังคงมีชาวเมืองถูกจับกุมมากขึ้นเรื่อยๆ… เฮ้อ ข้าได้ข่าวมาว่าในคุกเริ่มมีการทรมานเพื่อสอบปากคำหาที่อยู่ของหลินเป่ยเฉินแล้วด้วย”

“ขนาดท่านเจ้าเมืองยังพลอยเดือดร้อนไปด้วยเลย ได้ข่าวว่าจวนของท่านงดรับแขกเป็นการชั่วคราว และอำนาจเบ็ดเสร็จในเมืองหยุนเมิ่งขณะนี้ ตกไปอยู่ในมือของผู้ตรวจการมณฑลถังกู่จินแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น…คิดแล้วมันก็น่าเศร้าใจนัก”

“แล้วพวกเจ้าได้ข่าวหรือยัง? พ่อบ้านส่วนตัวของหลินเป่ยเฉินน่ะ พอมันถูกจับกุมนะ ก็รีบทรยศนายน้อยของตนเองทันที มันเปลี่ยนฝ่ายมาอยู่ข้างเจ้าหน้าที่สืบสวน และรับหน้าที่พาพวกเขาไปตระเวนตามสถานที่ๆ คิดว่าหลินเป่ยเฉินน่าจะไปซ่อนตัวอีกด้วย…มีคนรับใช้กลอกกลิ้งเช่นนี้ นับว่าหลินเป่ยเฉินเลี้ยงมันไว้เสียข้าวสุกจริงๆ”

“แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้หรอกนะ หลินเป่ยเฉินถูกตัดสินว่าเป็นสาวกปีศาจ ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนฝ่าย พ่อบ้านคนนั้นก็ต้องถูกประหารชีวิตน่ะสิ…”

“แต่ข้าว่าเขาตั้งใจจะทรยศนายน้อยของตัวเองอยู่แล้วมากกว่า อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินจะเป็นสาวกปีศาจจริงๆ งั้นหรือ? ข้าว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันไม่ใช่คนเลวร้ายถึงขนาดนั้นสักหน่อย…”

“หึ่ย เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? อยากให้ข้าจับตัวเจ้าส่งเข้าคุกด้วยอีกคนไหม?”

“ข้าแค่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับการเห็นคนจากต่างเมือง เข้ามายึดอำนาจในเมืองของเราแบบนี้เลย”

กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

ภายในห้องลับแห่งหนึ่ง

แสงไฟสลัว

ไป๋ไห่ชินล้วงรูปปั้นขนาดเล็กออกมาจากด้านในอกเสื้อ และนำไปตั้งไว้บนแท่นบูชาที่มีขนาดเท่ากับชามข้าวใบหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็หยดเลือดลงไปบนแท่นบูชา

หยดเลือดถูกดูดเข้าไปในตัวรูปปั้นนั้น

บังเกิดหมอกควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากรูปปั้นทันที

ต่อมา มีเสียงพูดดังออกมาจากตัวรูปปั้นว่า “มีเรื่องอันใดอีก?”

หากหลินเป่ยเฉินอยู่ตรงนี้ เขาต้องจำได้แน่นอนว่านี่เป็นเสียงเดียวกับที่เคยพูดออกมาจากปากของเซินเฟย ในยามที่เด็กหนุ่มคนนั้นกลายร่างเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์และหลบหนีหายเข้าไปในป่าลึกพร้อมกับความพ่ายแพ้