ภาคที่ 4 ตอนที่ 12 กองทหารชิงซาน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงเขาสัตว์ฮูมฮูมพลันดังก้องในหมู่บ้านภูเขา 

 

ชาวบ้านที่เดิมทีบ้างล้อมเตาคุยเล่นอยู่ บ้างยุ่งวุ่นวายจุดไฟทำอาหารอยู่พริบตาตะลึงงัน แต่ครู่ต่อมาก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง 

 

“แตร!” 

 

“แตรนี่!” 

 

คนทั้งหมดล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจ 

 

นี่ไม่เหมือนเสียงเกราะก่อนหน้านี้ นี่คือรวมพลตั้งทัพ นี่คือแตรออกศึกสังหารศัตรู เด็กน้อยคนหนุ่มสาวมากมายชั่วขณะล้วนตอบสนองไม่ทัน 

 

พวกเขาถูกสอนให้รู้ความนัยของสัญญาณแตรเกราะธงต่างๆ นานาแล้ว แต่ได้ยินแตรรวมทัพเช่นนี้จริงๆ เพิ่งเป็นครั้งแรก 

 

สำหรับผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานนักแล้วเช่นกัน 

 

เถี่ยเจี่ยวที่กำลังใช้เท้าเหล็กข้างใหม่ของตนลากฟืนมัดหนึ่งกะเผลกๆ อยู่บนทางยืนนิ่งงัน ร่างกายเริ่มสั่นขึ้นมาช้าๆ 

 

ฉับพลันเขาก็โยนฟืนทิ้งไป 

 

“สังหารข้าศึก!” เขาตะโกนร้อง “สังหารข้าศึก!” 

 

คนก็วิ่งไปที่ซึ่งเสียงแตรยาวอยู่ เริ่มแรกโซเซ หลังจากนั้นความเร็วก็ยิ่งเร็วขึ้นๆ 

 

ในที่สุดคนทั้งหมดก็ได้สติกลับมาแล้ว พวกผู้ชายสวมรองเท้า พวกผู้หญิงราดน้ำดับเตาไฟเตาถ่าน เด็กน้อยทั้งหลายโยนก้อนหินของเล่นที่อยู่ในมือทิ้ง 

 

คนทั้งหมดล้วนวิ่งออกไปข้างนอก นอกจากเสียงแตร สายตามองไปยังมีธงใหญ่สีแดงโบกสะบัดชี้ทิศทางหนึ่งให้ชาวบ้านอยู่ด้วย 

 

ทิศทางนั้นไม่ใช่ปากทางเข้าหมู่บ้านอีกต่อไป แต่เป็นตีนเขา 

 

ชาวบ้านทั้งหลายรวมตัวกันไปทางตีนเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง หยางจิ่งยืนขรึมอยู่ด้านนั้น มองชาวบ้านที่เรียงขบวนแถวเป็นกองทัพที่ตีนเขา 

 

แม้ผู้เฒ่าเด็กน้อยสตรีสูงๆ ต่ำๆ ทำให้ขบวนแถวดูไปแล้วน่าขำอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครหัวเราะ แล้วก็ไม่มีใครขยับ พวกเขายืนอยู่มั่นคงประหนึ่งหอกยาวเล่มแล้วเล่มเล่าท่าทางเย็นเยียบชวนขนลุก 

 

เสียงแตรหยุดลง หยางจิ่งยกมือโบก 

 

“เปิดคลังแสง” เขาตะโกน 

 

บุรุษหลายคนก้าวเข้ามาแยกย้ายสี่ด้านโอบหินภูเขามหึมาก้อนหนึ่ง พวกเขาคำรามพร้อมเพรียงทีหนึ่งหินภูเขาก็ถูกหมุนขยับ 

 

พร้อมกับที่หมุนขยับ หน้าผาที่เดิมทีสูงชันก็ขยับส่งเสียงกึกๆ หินดินร่วงหล่นแยกออกเผยปากถ้ำแห่งหนึ่ง 

 

“ทหารหาญ สวมเกราะ!” หยางจิ่งเสียงเข้มเอ่ย 

 

หากพวกคุณหนูจวินกับเหลยจงเหลียนยังอยู่ที่นี่ต้องประหลาดใจมากแน่นอน 

 

ที่ผ่านมารู้เพียงว่าอาวุธของพวกเขาซ่อนอยู่ใต้หินเขียวก้อนใหญ่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน คิดไม่ถึงว่าที่แท้ตีนเขายังมีคลังอาวุธอีกแห่งหนึ่ง 

 

ชาวบ้านเรียงแถวเดินเข้าไป หยางจิ่งก็พาคนจุดคบไฟ ส่องสว่างทั้งถ้ำภูเขา 

 

ถ้ำภูเขาแห่งนี้กว้างใหญ่ ด้านในกองข้าวของมากมายสูงๆ ต่ำๆ ล้วนถูกผ้าสักหลาดชิ้นแล้วชิ้นเล่าคลุมปิดไว้ เวลานี้ผ้าสักหลาดกำลังถูกพวกผู้ชายดึงเปิดออก สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือชุดเกราะชุดแล้วชุดเล่า 

 

ข้างนอกเสียงกลองรัวดังขึ้น ชาวบ้านแต่ละคนๆ เรียงแถวรับชุดเกราะอย่างเงียบสงบ สวมเสื้อเกราะเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่นั่นใต้ผ้าสักหลาดที่เปิดออกคือราวอาวุธแน่นขนัด 

 

พวกเขาก้าวเข้าไปตามลำดับ หยิบดาบฟันม้า หอกยาว กระบี่ สะพายคันศรและโล่จากนั้นไปด้านนอก การเคลื่อนไหวลื่นไหลเดินเรียงเข้าไปแล้วก็เดินเรียงออกมา 

 

เมื่อชาวบ้านที่สวมชุดเกราะเดินออกมา ด้านนอกเสียงนับจำนวนก็ดังขึ้นต่อเนื่อง 

 

“ลูกหมู่นับจำนวน” 

 

“สิบ” 

 

“เก้า” 

 

“แปด…” 

 

“หนึ่ง” 

 

“ลูกหมู่ครบ วิ่งรุดหน้ารวมตัวปากทางเข้าหมู่บ้าน” 

 

เสียงหนึ่งตามต่อเสียงหนึ่ง แถวหนึ่งตามต่อแถวหนึ่ง ชาวบ้านที่สวมเกราะติดอาวุธฝีเท้าเปลี่ยนเป็นยิ่งหนักหน่วงเป็นระเบียบ เหยียบย่ำทั้งหมู่บ้านภูเขาสะเทือนไหว 

 

ใต้ต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ม้าตัวแล้วตัวเล่ารวมพลกันแล้ว ม้าก็สวมชุดเกราะหมดแล้วเช่นกัน เรียงแถวรอคอยอย่างเงียบสงบ 

 

เซี่ยหย่งยืนอยู่บนหินเขียวก้อนใหญ่ เขาก็สวมชุดเกราะแล้ว หมวกแทบปิดใบหน้ามิด นี่ทำให้เขาดูแล้วขึงขังอย่างยิ่ง ไม่อ่อนโยนอย่างวันวานสักนิด 

 

ชาวบ้านที่วิ่งเร็วรี่มาเรียงแถวยืนเงียบสงบอยู่เบื้องหน้าเขา หลังเสียงกลองรัวพักหนึ่ง เสียงกลองก็หยุดลง 

 

“ทุกหมู่รายงานตัว” เซี่ยหย่งตะโกนเสียงเข้ม 

 

สิ้นเสียงเขา ในหมู่ชาวบ้านที่ยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าก็มีเสียงดังกังวานดังขึ้น 

 

“หมู่ที่หนึ่งสมาชิกมาถึงครบ” 

 

“หมู่ที่สองสมาชิกมาถึงครบ”  

 

“หมู่ที่สามสมาชิกมาถึงครบ” 

 

“หมู่ที่สี่สมาชิกมาถึงครบ” 

 

“กองสตรีมาถึงครบ” 

 

สิ้นเสียงปากทางเข้าหมู่บ้านก็ฟื้นกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง สายตาเซี่ยหย่งกวาดผ่านพวกเขา มองไปด้านหน้า 

 

“เชิญธง” เขาเอ่ยเสียงเข้ม 

 

ชาวบ้านยืนนิ่งหันหน้ามองไป ทิศทางที่พวกเขาเพิ่งวิ่งมาเมื่อครู่ หยางจิ่งพาคนเจ็ดแปดคนก้าวยาวมา 

 

คนเหล่านี้ลากรถมาสามคัน ชุดเกราะไม่ครบเครื่องเช่นพวกเขา บนรถสุมบางสิ่งที่ถูกผ้าสักหลาดคลุมปิดไว้จนเต็ม ดูไปแล้วหนักอึ้งยิ่งนัก เคลื่อนไปบนถนนทิ้งรอยลึกเส้นแล้วเส้นเล่าเอาไว้ 

 

นอกจากรถ ในมือหยางจิ่งยังชูธงที่ไม่คลี่ออกผืนหนึ่งอยู่ 

 

เมื่อมาถึงด้านหน้า หยางจิ่งก็หยุดเท้ายืนนิ่ง ชูธงในมือขึ้นสูงสะบัดอย่างแรง 

 

นี่เป็นธงสีแดงชาดผืนหนึ่ง เมื่อสะบัดไหว ลวดลายภาพมังกรเขียวเสือขาวหงส์แดงเต่าดำบนนั้นก็พลิ้วไหว ตรงกลางเผยอักษรสีเหลืองทองตัวใหญ่สามตัว 

 

“เชิญธง!” 

 

“เชิญธง!” 

 

ปากทางเข้าหมู่บ้านฉับพลันเสียงโห่ร้องดังกระหึ่ม 

 

จ้าวฮั่นชิงที่ยืนอยู่บนทางภูเขามองตีนเขาที่ลมแรงธงสะบัดเสียงโห่ร้องกระหึ่มด้วยดวงตาเป็นประกาย 

 

“ท่านแม่ ข้าไปแล้ว” นางร้องบอก 

 

เซียวจือดึงไว้พิจดูนาง 

 

จ้าวฮั่นชิงสวมชุดเกราะฝ้าย สีแดงทั้งร่าง ผ้าปิดบนหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยแล้ว มีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

 

“ยังดี แก้นิดหน่อยกำลังพอดี” เซียวจืออมยิ้มเอ่ย 

 

“อั้ยย่ะท่านแม่” จ้าวฮั่นชิงรีบร้อนอยู่บ้างร้องออกมา “ท่านอารองเซี่ยพวกเขาจะไปกันแล้ว กฎทหารมาสายต้องตัดศีรษะนะ” 

 

เซียวจือยิ้มตบนางเบาๆ 

 

“ไปเถอะ” นางเอ่ย 

 

จ้าวฮั่นชิงดวงตายิ้มโค้ง กอดเซียวจือทีหนึ่งก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งลงเขาไป 

 

“ดูแลคุณหนูของข้าดีๆ เจ้าอย่าแอบขี้เกียจ” หลิ่วเอ๋อร์รีบร้อนร้องตะโกนอยู่ข้างหลัง “อย่าแย่งของกินของคุณหนูข้าล่ะ” 

 

จ้าวฮั่นชิงหันก็ไม่หันกลับมาประหนึ่งเมฆาสีชาดก้อนหนึ่งบินรี่บนทางภูเขา 

 

………………………………………. 

 

รถม้าหยุดลงบนถนน เสียงโต้เถียงเลือนรางดังมาจากด้านหน้าอีกครั้ง 

 

นายหญิงอวี้เลิกม่านรถขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

“เฉิงต้ง” นางเอ่ยเรียก “เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?” 

 

เหลียงเฉิงต้งหน้าแดงเล็กน้อยเดินกลับมา 

 

“นายหญิง ทิศทางที่พวกเราเดินทางไปไม่ถูกต้อง” เขาเอ่ย 

 

“ทิศทางของข้าไม่ผิด” คุณหนูจวินเอ่ยอยู่ด้านหลัง “เดินทางจากที่นี่มีถนนสายน้อยเส้นหนึ่งทะลุผ่านเมืองจินติ้งมุ่งไปมณฑลเหอเป่ยซีได้เร็วที่สุด” 

 

“ท่านเคยไปรึ?” เหลียงเฉิงต้งเอ่ยถาม 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ 

 

“ไม่เคย” นางเอ่ย 

 

ไม่เคยไปก็มั่นใจปานนี้? เหลียงเฉิงต้งถลึงตา 

 

“เอาล่ะ ฟังคุณหนูจวิน” นายหญิงอวี้เอ่ย 

 

อาศัยอะไร? เหลียงเฉิงต้งถลึงตาอยากพูดอะไร คุณหนูจวินพลันส่งเสียงชู่ใส่เขา 

 

อะไร? เหลียงเฉิงต้งขมวดคิ้วพลันเงี่ยหูฟัง 

 

พื้นดินสะเทือนไหวอยู่เลือนราง นี่เป็นสัญญาณของกำลังพลขนาดใหญ่เคลื่อนที่ 

 

มีกองทหารผ่านทางหรือ? 

 

แดนเหนือเวลานี้กำลังพลเคลื่อนพลปกติยิ่ง แต่ก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่ใช่การเคลื่อนพลธรรมดา 

 

แม้การเดินทางครั้งนี้ของนายหญิงเป็นความลับ แต่ตลอดทางที่เดินทางมาก็ถูกปล้นฆ่าหลายต่อหลายครั้ง เห็นได้ว่าข่าวรั่วไหลออกไปแล้ว คนที่อยากหยุดยั้งนายหญิงมากไป นอกจากนี้ความหมายของนายหญิงต่อเฉิงกั๋วกงก็ไม่ธรรมดา 

 

หากนายหญิงตายไประหว่างทาง เฉิงกั๋วกงต้องถูกทำร้ายครั้งใหญ่แน่ 

 

ตอนนี้กองทหารและแม่ทัพที่แดนเหนือเหล่านี้ นอกจากคนน้อยนิดไม่กี่คนแล้วล้วนเชื่อไม่ได้ 

 

สีหน้าเหลียงเฉิงต้งเคร่งเครียดขึ้นมา 

 

แรงสั่นไหวบนพื้นดินยิ่งมากขึ้นทุกที ในสายตาปรากฏกำลังพลกลุ่มหนึ่ง 

 

สิ่งที่เข้าสู่สายตาอย่างแรกก็คือชุดเกราะ เป็นทหารจริงๆ เหลียงเฉิงต้งคิดในใจ ไม่รู้ว่ากองทหารของมณฑลไหน? เขาหรี่ตา มองกำลังพลกลุ่มนั้นที่ใกล้เข้ามาทุกที ธงใหญ่ผืนหนึ่งกลางขบวนก็ฝ่าเข้ามาในสายตาด้วย 

 

กองทหาร…ชิง…ซาน 

 

กองทหารชิงซาน? 

 

นี่เป็นกองทหารอะไร? มณฑลเหอเป่ยไม่เคยได้ยินมาก่อน 

 

เด็กสาวข้างกายส่งเสียงอุทานเบาๆ สั้นๆ ทีหนึ่ง เหลียงเฉิงต้งมองไปด้วยความประหลาดใจ เห็นเด็กสาวที่เมื่อครู่สีหน้าสงบนิ่งโต้เถียงกับตนสีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว 

 

ท่ามกลางลมหนาวของเดือนสิบสอง ทหารชุดเกราะครบครันทะยานม้าวิ่งเร็วรี่ ธงใหญ่สีแดงชาดผืนหนึ่งโต้ลมสะบัดปลิวเสียงดังพรึบพรับเหนือศีรษะของพวกเขา อักษรตัวใหญ่สีเหลืองทองใต้แสงตะวันระยิบระยับเรืองรอง 

 

กองทหารชิงซาน 

 

กองทหารชิงซาน 

 

ในดวงตาคุณหนูจวินน้ำตาแวววาว 

 

นี่ก็คือครอบครัวและความเป็นมาของอาจารย์ 

 

กองทหาร ชิงซาน