หานลี่พลันหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา หลังจากเก็บกระบี่บินและยอดเขาสีดำเข้าไปแล้ว พลันสะบัดแขนเสื้อ

 

 

ลำแสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นอสูรตัวน้อยรูปร่างเหมือนเสือดาวร่อนลงมาที่พื้นดินเบื้องหน้าห่างออกไป สองสามฉื่อ

 

 

นั่นก็คืออสูรมิคาทน!

 

 

เมื่อเห็นอสูรตัวนี้ฮูหยินและปุโรหิตชาวอสรพิษตนอื่นๆ พลันตะลึงค้าง แต่ทันใดนั้นก็กวาดจิตสัมผัสไปบนร่างของอสูรตัวน้อยแล้วสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกตะลึง!

 

 

อสูรตัวนี้แผ่กลิ่นอายที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งออกมา ทำให้ฮูหยินที่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ใจหายวาบ

 

 

“ไป สังหารชาวตาข่ายทมิฬเหล่านั้น” หานลี่ออกคำสั่งกับอสูรน้อยตัวนั้น

 

 

อสูรมิคาทนได้ยิน แววตาพลันฉายแวบโหดเ**้ยม ร่างกายวูบไหว กลายเป็นเงาลวงตาที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเจ็ดแปดเงา แล้วพุ่งตรงไปยังประตูวิหาร

 

 

เห็นเพียงเงาอสูรเหล่านั้นรางเลือน แล้วมาอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง หลังจากกะพริบวาบพร้อมกัน ก็หายวับไปจากประตูอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ความเร็วของมันทำให้ทุกคนตกใจจนปากอ้าตาค้าง!

 

 

หลังจากที่ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ถึงได้ฝืนรักษาสีหน้าให้สุขุมได้ แต่ในใจตื่นตะลึงแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว

 

 

ทว่านางนึกอะไรขึ้นได้ในทันที ฉับพลันนั้นพลันควักแผ่นป้ายออกมา โบกไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา!

 

 

ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงห้าสีที่ปกคลุมด้านนอกวิหารสลายหายไป

 

 

“ในเมื่อจัดการปัญหาได้แล้ว ผู้แซ่หานก็จะไม่รั้งรออยู่ที่นี่นานอีก ขอกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อน อสูรวิญญาณตัวนี้ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลอันใด หลังจากทำภารกิจเสร็จ มันจะกลับมาหาข้าเอง” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

ทันใดนั้นเขาก็ไม่รอให้ฮูหยินและพวกชาวเผ่าเพลิงอาทิตย์ได้เอ่ยคำพูดซาบซึ้งอะไรอีก เรือนร่างเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งบินพุ่งออกไป

 

 

กะพริบวาบสองสามครา สายรุ้งสีเขียวพุ่งออกนอกประตูใหญ่ หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

เหลือเพียงมนุษย์อสรพิษเผ่าเพลิงอาทิตย์กลุ่มหนึ่งที่กำลังมองสบตากันไปมา!

 

 

“มหาปุโรหิต ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเจ้าออกจากรั้ง ‘ท่านหาน’ผู้นี้เอาไว้ เกรงว่าเผ่าของพวกเราคงต้องสูญสิ้นแล้ว!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ มนุษย์อสรพิษสวมชุดสีขาวตนหนึ่งพลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างรู้สึกโชคดี

 

 

“ใช่แล้ว! ตอนแรกพวกเราก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมหาปุโรหิตถึงได้นำยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดไปมอบให้คนนอกง่ายดายนัก ยามนี้ดูแล้วคงเป็นการมองการณ์ไกลของท่านมหาปุโรหิต!” ปุโรหิตสวมชุดขาวอีกคนหนึ่งพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

 

ฮูหยินได้ยินคำชมจากทั้งสอง กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

“ทั้งสองมองข้าสูงส่งเกินไปแล้ว ที่ข้าทำไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการกระทำที่จนปัญญาแล้วเท่านั้น แค่สวรรค์เมตตาเผ่าเรา อิทธิฤทธิ์ของท่านหานเหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก จูเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าท่านหานเทียบกับอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่” ประโยคสุดท้ายฮูหยินกลับหันหน้าไปเอ่ยซักถามหญิงสาว ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นพิเศษ

 

 

ไป๋จูเอ๋อร์ได้ฟังท่านแม่ของตนเองถามเช่นนี้ กลับขมวดคิ้วมุ่น ชั่วครู่ถึงได้ตอบกลับอย่างลังเลว่า

 

 

“ท่านอาจารย์ของข้าจัดอยู่ในระดับห้าของเผ่าเบื้องบน แต่ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะมาที่นี่ด้วยตนเอง คิดจะจัดการเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองตนนั้นก็ต้องไตร่ตรองอย่างหนัก ไม่อาจลงมือสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้”

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบที่คลุมเครือของหญิงสาว ฮูหยินก็เข้าใจความนัยในทันที หลังจากพยักหน้า ก็ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจอะไรออกมา

 

 

จนถึงตอนที่ปุโรหิตชุดขาวสองสามตนด้านข้างมีสีหน้าแปลกพิกลนั้น แม้กระทั่งคนหนึ่งยังเอ่ยพึมพำว่า

 

 

“หรือว่าท่านหานจะเป็นชนชั้นสูงของเผ่าเบื้องบน หากเป็นเช่นนั้นละก็ ฆราวาสฉลามเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในน่านน้ำแห่งนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

 

 

“เรื่องนั้นพูดยาก ฆราวาสฉลามเงินเองอยู่ในระดับสามเช่นกัน ต่อให้พลังยุทธ์ไม่ต่างกันมาก สู้รบกันก็ยังต้องดูเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนและอานุภาพของสมบัติที่มี” ฮูหยินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า

 

 

เมื่อได้ฟังคำนั้น มนุษย์อสรพิษชุดขาวเหล่านั้นพลันพยักหน้า ต่างขบคิดอะไรสักอย่าง ครานั้นไม่มีผู้ใดปริปากใดๆ

 

 

“ท่านหานคิดจะอยู่บนเกาะเมฆาเพลิงนานเท่าใด คิดจะอยู่อาศัยระยะยาวหรือไม่!” ในที่สุดก็มีคนคนหนึ่งลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม

 

 

“เรื่องนี้ไม่เคยพูดถึง ทว่าเดาว่าคงไม่ได้จากไปในทันที แต่ก็ไม่ได้จะอยู่อาศัยระยะยาว จากพลังยุทธ์ของท่านอาวุโสหาน ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเล็กๆ อย่างพวกเราจะรั้งเอาไว้ได้” ดูเหมือนจะรู้ความหมายของคำพูดของปุโรหิต ฮูหยินหน้ากระตุก แต่ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะขณะเอ่ย

 

 

เมื่อได้ยินฮูหยินกล่าวเช่นนั้น มนุษย์อสรพิษชุดขาวที่เหลือพลันขมวดคิ้วแน่น ในวิหารตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง

 

 

“เอาล่ะ หลังจากจัดการเรื่องอื่นเสร็จแล้วค่อยว่ากัน การต่อสู้ด้านนอกยังไม่จบ แม้นว่าเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองตนจะถูกสังหารแล้ว แต่ก็อาจจะมีชนชั้นสูงของชาวตาข่ายทมิฬอื่นอีก แม้นอสูรวิญญาณของท่านหานจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจสังหารทั้งหมดได้ พวกเราเรียกออกไปช่วยกันเถิด หว่านแหจับชาวตาข่ายทมิฬได้เร็วหน่อย เผ่าของเราก็สูญเสียประชากรน้อยลงเท่านั้น” ฮูหยินกวาดสายตาไปด้านนอกวิหาร ฉับพลันนั้นพลันออกคำสั่งเช่นนี้ออกมา

 

 

มนุษย์อสรพิษชุดขาวสี่คนได้ฟังเช่นนั้น พลันได้สติ พากันค้อมตัวเอ่ยตอบรับ

 

 

ดังนั้นทั้งหกจึงขับเคลื่อนลำแสงหลีกบินหนีออกไปจากวิหารอย่างร้อนรน ตรงไปยังจุดที่มีเสียงฝีเท้าดังอึกทึกมากที่สุด

 

 

……

 

 

ไม่นานนัก หานลี่กลับมาถึงที่พัก ก็เดินเข้าไปในห้องไม้ซึ่งเป็นที่พักของตนเองทันที แล้วเปิดเขตอาคมขึ้นอีกครั้ง นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง

 

 

แววตาของเขาเปล่งประกาย ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

 

 

ชาวตาข่ายทมิฬที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดสองคนล้วนถูกเขาสังหารแล้ว มีอสูรมิคาทนคอยช่วยเหลือ สงครามของเมืองหินครั้งนี้ย่อมถูกตัดสินแล้ว!

 

 

เช่นนั้นเขาจึงนับยาลูกกลอนที่ฮูหยินมอบให้ไปเล็กน้อย จากนี้ต้องใช้เวลาครึ่งปี รักษาอาการบาดเจ็บของตนเองให้กลับมาเป็นดังเดิม

 

 

เมื่อขบคิดเช่นนั้น มุมปากของหานลี่พลันเผยรอยยิ้มออกมา แต่ครู่ต่อมาพลันนึกอะไรได้ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ลำแสงสีดำสว่างวาบ ผ้าพันคอผืนหนึ่งปรากฏขึ้น

 

 

นั่นก็คือสมบัติที่ได้มาจากเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองตนนั้น

 

 

หานลี่จ้องเขม็งไปยังของในมือ เผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา

 

 

ผ้าพันคอเป็นสีดำสนิท บางๆ ชั้นหนึ่ง แต่ลูบไปกลับนุ่มนิ่มเป็นพิเศษ เรียบลื่นและเย็นสบาย เมื่อสะบัดเล็กน้อย ผิวของมันพลันมีอักขระสีดำปรากฏขึ้นรางๆ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่สมบัติธรรมดา

 

 

หลังจากหานลี่เพ่งมองอยู่ชั่วครู่ พลันยื่นนิ้วชี้ออกไปแตะที่มัน

 

 

ปลายนิ้วมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ บรรจุพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมากลงไป จากนั้นพลันสะบัดข้อมือ ผ้าสีดำลอยขึ้น หมุนคว้างกลางอากาศ กลายเป็นผ้ากึ่งโปร่งใสผืนหนึ่ง

 

 

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างมองของสิ่งนี้ มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปล่อยลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกไป อาคมเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในผ้าพันคอสีดำ จากนั้นพลันพลิ้วไหว ร่อนลงมาเหนือศีรษะของหานลี่ ปกคลุมเรือนร่างของเขาเอาไว้พอดี

 

 

ฉากที่น่าตกใจพลันปรากฏขึ้น

 

 

พริบตาที่ผ้าพันคอตกมาถึงเรือนร่างของหานลี่ เงาร่างที่เดิมทีชัดเจนพลันรางเลือน จากนั้นพลันกะพริบวาบแล้วหายวับไป

 

 

แววตาของหานลี่ฉายแววตื่นตะลึง ยกมือขึ้นมอง แล้วก้มหน้ามองร่างกายที่อำพรางกายไปของตนเอง แววตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ชั่วครู่เขาพลันเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา

 

 

ไม่ผิดจริงๆ ด้วย!

 

 

หากเขาไม่ใช้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณจนถึงขีดสุด ก็ไม่อาจมองเห็นการอำพรางกายของผ้าพันคอผืนนี้ได้ คิดดูแล้วนี่ก็คงเป็นสมบัติที่ชาวตาข่ายทมิฬสองตนใช้อำพรางกายเข้ามาในวิหารในตอนแรก

 

 

เมื่อครุ่นคิดเช่นนั้น หานลี่พลันแผ่จิตสัมผัสออกไปเล็กน้อย คิดจะทะลวงผ่านผ้าพันคอไป

 

 

แต่เมื่อจิตสัมผัสสัมผัสกับผ้าพันคอสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนกับจมหายเข้าไปในหมอกหนาทึบ ไม่อาจแผ่จิตสัมผัสออกไปนอกผ้าพันคอสีดำได้ ดูแล้วที่เขาไม่อาจมองพลังยุทธ์ของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองตนออกได้ ก็คงจะเป็นเพราะสิ่งนี้

 

 

เมื่อครุ่นคิดแล้ว ฉับพลันนั้นเขาพลันยื่นมือออกไปจับมุมหนึ่งของผ้าพันคอสีดำ ร่ายคาถาในใจแล้วสะบัดออกเบาๆ

 

 

ผ้าพันคอสีดำกะพริบวาบ ฉับพลันนั้นพลันจมหายเข้าไปในชุดคลุมยาว อำพรางกายไป

 

 

หานลี่ใช้จิตสัมผัสกวาดดูบนเรือนร่างตนเองอีกรอบสองสามครั้ง แล้วเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา

 

 

ผ้าพันคอสีดำผืนนี้เป็นสมบัติช่วยเสริมที่หายากชิ้นหนึ่ง แต่ในด้านการอำพรางกายนั้น ช่างน่ามหัศจรรย์นัก เกรงว่าคงเป็นรองแค่ยันต์ชำระพิสุทธิ์

 

 

แม้ว่ายันต์ชำระพิสุทธิ์จะมีประสิทธิภาพในการอำพรางกายที่น่าตื่นตะลึง แต่ก็มีข้อจำกัดไม่น้อย ไม่เพียงการเรียกใช้จะเชื่องช้าเกินไป เคล็ดวิชาและอิทธิฤทธิ์จำนวนไม่น้อยก็ถูกจำกัดไว้ว

 

 

แต่ผ้าพันคอสีดำนี้เดิมทีก็เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพดีชิ้นหนึ่ง การเรียกใช้ก็สะดวกมาก อานุภาพขึ้นอยู่กับลมปราณของผู้ใช้ และสำแดงความสามารถที่ไม่เหมือนกันออกมา

 

 

ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะชาวตาข่ายทมิฬสองตนนั้นมีพลังยุทธ์ค่อนข้างต่ำ เขาก็ไม่อาจมองร่องรอยของพวกเขาออกได้อย่างง่ายดาย

 

 

หลังจากเรียกผ้าพันคอสีดำออกมาอีกครั้ง หานลี่พลันลูบเล่นไปมาชั่วครู่ แล้วเก็บสิ่งนั้นลงไป เก็บเอาไว้ใช้

 

 

เวลาต่อมาหานลี่ก็ไม่ได้ทำสิ่งใดอีก หลับตาทั้งสองข้างลง ฝึกฝนอย่างซื่อๆ

 

 

เห็นเพียงผิวของเขามีลำแสงสีทองเรืองๆ รัศมีลำแสงสีทองเป็นวงๆ แผ่ออกมาจากศีรษะของเขา เทวรูปสีทองนั่งขัดสมาธิปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

 

ร่างของหานลี่นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน…

 

 

สองสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว!

 

 

ช่วงเวลานั้นฮูหยินนำสมุนไพรวิญญาณที่หายากและศิลาวิญญาณระดับสูงจำนวนหนึ่ง มามอบให้ที่ด้านหน้าบ้านไม้ด้วยตนเอง

 

 

ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้เปิดประตูไปรับ แค่ให้สตรีผู้นั้นวางของไว้ด้านนอกประตู ท่าทางไม่ยอมพบแขกง่ายๆ อีก

 

 

ฮูหยินเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าไม่พอใจ ทันใดนั้นก็วางของลงตามคำพูดของเขา แล้วกล่าวลาจากไปอย่างรู้จักวางตน

 

 

หานลี่ถึงได้ให้อสูรวิญญาณครวญดูดของเข้ามาในบ้าน ส่วนตนเองก็ไม่ลงจากเตียงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้กระทั่งเปลือกตาก็ไม่ยอมเปิดออกอีกแม้แต่คราเดียว

 

 

วันเวลาไหลผ่านไป ชั่วครู่ก็ผ่านไปสองสามเดือน

 

 

ฮูหยินและชนชั้นสูงของเผ่าเพลิงอาทิตย์บนเกาะ ไม่มีผู้ใดกล้ามารบกวนหานลี่อีก

 

 

แต่วันนี้หานลี่ที่กำลังนั่งโคจรพลังอยู่เงียบๆ พลันเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง อ้าปากออก พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบ พลันกลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง

 

 

นั่นก็คือวิหคเพลิงวิญญาณวิญญาณ!

 

 

หานลี่มองวิหคเพลิง แววตากลับฉายแววประหลาดใจ

 

 

วิหคเพลิงตัวนี้ดูเหมือนก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไป แน่นอนย่อมพบว่าในร่างของวิหคเพลิงดูเหมือนจะมีอะไรเพิ่มขึ้นมา

 

 

แววตาของเขาฉายแววสีฟ้าสว่างวาบ ในที่สุดก็มองสิ่งประหลาดนั้นออก

 

 

ของเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เพลิงกลืนวิญญาณหลอมสิ่งที่เรียกว่า ‘คลื่นลำแสงภยันตราย’ จนหมด

 

 

ทั้งสองน่าจะเกี่ยวข้องกัน

 

 

หานลี่ตรึกตรองเล็กน้อย มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ชี้ไปทางวิหคเพลิงสีเงินกลางอากาศเบาๆ

 

 

ชั่วขณะนั้นวิหคเพลิงตัวนี้พลันสยายปีกทั้งสองข้างออก บินหมุนวนอยู่เหนือศีรษะของหานลี่

 

 

แต่บินไปแค่สองรอบ วิหคเพลิงพลันอ้าปากออก พ่นเส้นไหมสีทองเงินบางสายหนึ่งออกมา

 

 

แค่กะพริบวาบก็โจมตีไปยังเขตอาคมบนกำแพงด้านหนึ่ง

 

 

เห็นเพียงเขตอาคมสีขาวมีลำแสงไหวกระเพื่อม เส้นไหมบางสีทองเงินทะลวงผ่านกำแพงไปราวกับมองไม่เห็นมัน