บทที่ 10 Ink Stone_Romance

“เลดี้คะ ถึงแล้วค่ะ”

ในระหว่างที่เธออ่านหนังสือพิมพ์พร้อมกับทบทวนความทรงจำในอดีตอยู่นั้น รถม้าก็มาหยุดจอดที่ร้านสารพัดสิ่งเป็นที่เรียบร้อย นอกจากคดีค้าทาสแล้วก็ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่ เธอจึงวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเข้าไปในร้านสารพัดสิ่ง

ภายในร้านที่ค่อนข้างเก่าและแคบมีเพียงลูกค้าที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายสองคนและชายชราเจ้าของร้านหนึ่งคนเท่านั้น

ทันทีที่อาเรียและผู้คุ้มกันผู้ติดตามของเธอเข้ามาในร้าน อากาศก็อึดอัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้พื้นที่ให้ขยับตัวจะมีน้อยแต่ก็ดูจะไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่องที่จะทำให้หงุดหงิดอารมณ์แต่อย่างใด

เจ้าของร้านเบิกตาโพลงเหมือนกับรู้ว่าอาเรียคือใคร เนื่องจากเขาอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันกับเธอมาก่อน จึงเคยได้เจออาเรียมาบ้าง และในบรรดาคนที่เลื่อนชนชั้นนั้นมีเพียงอาเรียและแม่ของเธอเท่านั้น

ก่อนที่จะเลื่อนชนชั้น เธอเคยเข้ามาที่ร้านสารพัดสิ่งบ้างเป็นบางครั้งและยังเคยซื้อของกลับไปด้วย ไม่เหมือนกับร้านบูติกที่เธอไม่เคยเข้าไปเลย

แต่ถึงกระนั้น คนชนชั้นต่ำอย่างเขาก็ไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนากับชนชั้นสูง เขาเพียงแต่หยิบนาฬิกาทรายที่ซ่อมเสร็จแล้วส่งให้อย่างเงียบๆ

เมื่อมองดูมือที่กระตุกสั่นนั้นแล้ว ดูท่าว่าชายชราคงจะได้ยินข่าวลือของอาเรียมาบ้างแล้ว นึกแล้วก็แปลกและน่าขำมากกับการที่เขารู้สึกกลัวเด็กผู้หญิงอายุสิบสี่ปีได้มากขนาดนี้ ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือการที่เธอได้เลื่อนชนชั้น

“ละ…ลองเช็กดูก่อนนะครับ”

อาเรียตรวจดูนาฬิกาทรายที่ซ่อมเสร็จแล้วอย่างละเอียด เธอเช็กว่ายังมีรอยร้าวหรือไม่ ทรายที่บรรจุอยู่ภายในตกลงมาสวยงามหรือเปล่า มีส่วนไหนบิดเบี้ยวไปหรือไม่ เมื่อตรวจดูแล้วก็พบว่านาฬิกาทรายกลับมาอยู่ในสภาพเดิมไม่มีจุดไหนผิดปกติ

“ประกอบนาฬิกาทรายที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบนั้นได้ประณีตขนาดนี้เลยหรือ น่าทึ่งจริงๆ”

นอกจากนั้นอาเรียยังถูกใจกับตัวกล่องที่ด้านในถูกแกะสลักเป็นรูปทรงของนาฬิกาทราย แล้วบุผ้านุ่มไว้เพื่อป้องกันการกระแทก

ถ้าเธอเก็บรักษามันไว้ในกล่องที่ไม่มีใครมองเห็นแบบนี้ ก็จะไม่มีใครมายุ่งกับมันได้

อาเรียบอกให้เจสซี่จ่ายค่าซ่อมนาฬิกาเป็นสองเท่าจากราคาเดิม เพราะนั่นถือว่าเป็นการแสดงความชื่นชมที่มากกว่าคำพูด ชายชราค้อมหัวลงราวกับอึดอัดใจเล็กน้อย

“เลดี้คะ จะกลับไปคฤหาสน์เลยหรือไม่คะ”

“ยังก่อน ขอฉันเดินดูรอบๆ ร้านหน่อยแล้วกัน”

นานแล้วที่เธอไม่ได้มีเวลาว่างออกมาข้างนอก หากจะให้กลับไปเลยก็ออกจะน่าเสียดายไปหน่อย จึงอยากจะเดินชมร้านสารพัดสิ่งสักหน่อย

ในร้านสารพัดสิ่งมีตั้งแต่ตุ๊กตาเก่าๆ ไปจนถึงสิ่งของชิ้นใหญ่ที่ไม่รู้วิธีใช้งาน เต็มไปด้วยของแปลกๆหลากหลายชนิดด้วยกัน

‘เมื่อก่อนฉันก็เคยอยากได้ของที่ไม่มีประโยชน์แบบนั้นเหมือนกัน’

ของที่ฝุ่นเกาะหนาจนสีเปลี่ยนไป เมื่อลองเอามือปัดฝุ่นดูก็มีของตกแต่งที่ประกอบไม่แน่นพอห้อยต่องแต่งราวกับจะหลุดออกมา ช่างสกปรกอะไรอย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก

ขณะที่อาเรียกำลังเดินชมภายในร้านอย่างช้าๆ ก็เจอผู้ชายสองคนกำลังมองของสิ่งเดียวกันโดยนั่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว พวกเขานั่งอยู่ก่อนที่เธอจะเข้ามาในร้านนี้เสียอีก

ในระหว่างที่เดินชมร้านอาเรียก็เดินเข้ามาใกล้กับพวกเขาโดยที่ไม่รู้ตัวเสียแล้ว แม้จะมองเห็นหน้าได้ไม่ชัดเพราะมีเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าไว้ แต่เมื่อพิจารณาจากความสูงแล้วก็รู้ว่าเป็นผู้ชายแน่นอน

ผู้ชายสองคนทอดสายตามองไปทางตู้โชว์ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว อาเรียไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของพวกเขา ทำให้เธอเผลอกลั้นหายใจตามไปด้วย จู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงความอันตรายขึ้นมา

“เลดี้คะ กลับกันเถอะค่ะ”

ผู้คุ้มกันของอาเรียก็รู้สึกเช่นเดียวกับเธอ จึงมายืนกั้นระหว่างเธอกับผู้ชายสองคนนั้นด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

มือของเขากระชับดาบที่ห้อยไว้บริเวณขอบเอวกางเกงราวกับเตรียมพร้อมรับสถานการณ์บางอย่าง อาเรียกลืนน้ำลายอึกใหญ่และพยักหน้า

อุตส่าห์ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งที เธอไม่คิดจะหาเรื่องพาตนเองไปเจออันตรายแน่นอน อาเรียหมุนตัวหันหน้าไปทางประตูร้าน

ในตอนนั้นเองที่ความตึงเครียดลดน้อยลง ผู้คุ้มกันของเธอก็เปิดประตูร้านรออยู่ด้วยสีหน้าโล่งใจ

ขณะที่เธอตั้งใจจะออกนอกประตูนั้น สายตาก็พลันไปเห็นเศษกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะชำระเงินของชายชราเข้า อาเรียหยุดชะงักและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเตือนบางอย่างแก่ชายชรา

แม้ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องเข้าไปยุ่งด้วยก็ตาม แต่เพราะชายชราช่วยซ่อมนาฬิกาทรายที่แตกไม่มีชิ้นดีให้เป็นอย่างดี เธอจึงอยากแสดงความขอบคุณเท่านั้น

“ใบประมูลสินค้านั่นน่ะ ขายคืนไปจะดีกว่านะ มันไม่มีประโยชน์หรอก”

“มะ…หมายความว่าอย่างไรหรือครับ“

“เท่านั้นแหละที่ฉันจะบอก ส่วนจะทำอย่างไร ลุงก็ตัดสินใจเองแล้วกัน”

ในชั้นใต้ดินของคาสิโนมีการค้ามนุษย์อย่างลับๆ และยังมีการประมูลสินค้าหลายอย่างที่ได้มาจากต่างประเทศอีกด้วย

ใบประมูลมีราคาแพงเกินกว่ากำลังที่คนทั่วไปจะซื้อได้ แต่ช่วงสองสามวันก่อนการประมูลจะเริ่มขึ้นก็จะมีคนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อแย่งกันซื้อใบประมูลกันเลยทีเดียว

นั่นเพราะมีข่าวลือว่าจะมีการประมูลของหายากได้ในราคาถูกนั่นเอง อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าหากนำของที่ซื้อจากที่นั่นมาขายต่อข้างนอกแล้วก็จะได้กำไรงามอีกด้วย

ชายชราเองคงซื้อใบประมูลมาด้วยเหตุนั้นเป็นแน่

แต่สุดท้ายแล้วเจ้าชายก็จะนำกำลังเข้าไปรื้อค้นและสั่งปิดคาสิโนในที่สุด แล้วใบประมูลที่มีราคามหาศาลก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษในพริบตา เช่นนั้นแล้วชายชราก็จะขาดทุน

ชายชราทำหน้างุนงงกับสิ่งที่อาเรียพูด และดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่มีความคิดที่จะขายใบประมูลตามคำแนะนำของเด็กอย่างอาเรียอีกด้วย

‘ถึงจะเสียดายฝีมือ แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ’

ในตอนที่อาเรียพูดจบและตั้งใจจะเดินออกจากร้านสารพัดสิ่ง ชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ตรงมุมร้านเมื่อสักครู่ก็เข้ามากระชากแขนเล็กของอาเรียไว้

ส่วนผู้ชายอีกคนก็ชักดาบมาสกัดผู้คุ้มกันทั้งสองคนของอาเรียไว้อย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไงราวกับแสง

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว อาเรียและผู้คุ้มกันของเธอถูกชายสองนั้นเข้าถึงตัวโดยที่ไม่ได้ใช้แม้แต่กำลังเลยสักนิดเดียว

ตุ๊บ เจสซี่ตกใจล้มลงไปนั่งที่พื้น เธอสะดุ้งตกใจพร้อมกับกรีดร้องแบบไม่มีเสียงออกมา

หากขยับตัวแม้แต่นิดได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่ อาเรียที่เคยพบเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อน ตัวสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด

“…ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น“

ผู้ชายที่จับข้อมืออาเรียไว้ถามขึ้นมา

ดวงตาสีฟ้าและผมสีดำที่โผล่พ้นออกมาให้เห็นเล็กน้อยจากช่องว่างของผ้าคลุม เทียบกับความสูงที่ดูเหมือนผู้ใหญ่แล้ว ร่างกายเพรียวบางและใบหน้าอ่อนเยาว์นั่น อย่างมากก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับเคน

อาเรียหรี่ตาพยายามนึกเธอรู้สึกเหมือนกับเคยเห็นใบหน้าอ่อนโยนนั้นจากที่ไหนสักแห่ง เธอรู้สึกถึงแรงบีบข้อมือที่แน่นมากขึ้น

“ฉันถามว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นกับเจ้าของร้าน”

“หมายถึงเรื่องอะไรกัน ไม่เห็นจะเข้าใจเลย!“

เธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่ เธอกวาดตามองไปรอบๆ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้เลย

ชายคนนั้นถามซ้ำอีกครั้ง

“ฉันถามว่าทำไมเธอถึงบอกว่าใบประมูลนั่นมันไม่มีประโยชน์”

ในตอนนั้นเองที่อาเรียเข้าใจคำถามของเขา แต่แล้วอาเรียจะบอกเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร  แล้วทำไมถึงต้องเข้ามาถามเธออย่างพรวดพราดขนาดนี้ หรือว่าเขาเองก็ตั้งใจจะเข้าร่วมการประมูลนั่นเช่นกัน อาเรียคิดแล้วมองพินิจดูจากสภาพการแต่งกายของเขา

เพราะเขาใช้คลุมผ้าสีดำคลุมตัวอยู่จึงมองไม่ค่อยเห็นอะไรนัก แม้กระทั่งเสื้อผ้าข้างในที่เธอเห็นจากช่องว่างเล็กๆ ของผ้าคลุมก็เป็นสีดำด้วย จึงไม่สามารถเดาอะไรได้เลย

อย่างเดียวที่เธอรู้ คือเขามีผิวพรรณที่ดูดีต่างจากสามัญชนทั่วไปที่ต้องทำงานหนัก

‘…ขุนนางรึเปล่านะ’

แต่ดูแล้วคงจะเป็นขุนนางที่ยศไม่สูงสักเท่าไหร่ อาเรียจำหน้าตาของขุนนางและคนชนชั้นสูงที่เธอพบเจอในงานเลี้ยงต่างๆ ที่เคยเข้าร่วมได้ แต่สำหรับเขาคนนี้เธอไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย ดูแล้วคงเป็นขุนนางจากชนบทที่ไหนสักแห่งที่ตั้งใจมาเข้าร่วมงานประมูล

หลังจากที่คิดได้ดังนั้นชิ้นส่วนปริศนาก็ต่อติดกันพอดี อุตส่าห์ซื้อใบประมูลราคาแพงแล้วยังขึ้นมาที่เมืองหลวงพอได้ยินว่ามันไม่มีประโยชน์ก็คงจะตกใจสินะ

แม้เธอจะข้องใจที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างน่าประหลาดและยังพูดจาไม่เป็นทางการกับเธอก็ตาม แต่เธอก็คิดถึงความน่าจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

“ข้อมือฉันโดนนายจับอยู่ มันเจ็บนะ ปล่อย”

“ตอบคำถามฉันมา”

“ถ้านายปล่อยมือฉันก่อนล่ะก็”

“…”

เขาไม่ปล่อยข้อมือของเธอแถมยังจ้องหน้าเธออีกด้วย ใบหน้าของเขาบอกว่าไม่เชื่อใจเธอ ในตอนนั้นเองที่อาเรียตั้งสติและกลับมาคิดได้ ดูภายนอกแล้วเขาอาจจะอายุมากกว่าอาเรีย แต่ที่จริงนั้นอาเรียคือฝ่ายที่อายุมากกว่า

แม้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอจะเอาแต่เที่ยวเล่นสนุกไปวันๆ ก็ตาม แต่นั่นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เธอสามารถเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ และมองผู้ชายออก ถ้าเป็นคนที่ใช้ชีวิตมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงไม่มาเค้นหาคำตอบได้เงอะงะแบบที่เขาทำหรอก

อาเรียยิ้มเยาะเล็กน้อยแล้วพูดกระซิบเบาๆ ต่อผู้ชายที่กำลังข่มขู่เธอ

“ดูเหมือนจะมีฝีมือมากกว่าผู้คุ้มกันของฉันเสียอีกนะ คุณคงไม่ได้กำลังคิดว่าถ้าปล่อยมือไปแล้วเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอแบบนี้จะหลุดมือไปได้หรอกใช่ไหม แล้วข้อมือฉันก็เจ็บมากเช่นนี้”

ในตอนนั้นเองที่เขาได้ก้มลงมองดูข้อมือของอาเรีย มือสีซีดที่ถูกบีบจนสีเลือดจางไปกำลังถูกแทนที่ด้วยสีน้ำเงินจางๆ ราวกับสีของศพ

เขาส่งสายตาให้กับชายที่มาด้วยกัน ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมืออาเรียช้าๆ

ผู้คุ้มกันของเธอยังอยู่ในสภาพที่ขยับไม่ได้ อาเรียที่แม้ข้อมือของเธอจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว แต่ก็ถูกชายคนดังกล่าวขวางทางไว้จึงไม่สามารถหนีไปทางไหนได้

อาเรียสะบัดข้อมือที่รู้สึกชาแปลบๆ หลายครั้งก่อนจะกำมือแล้วปล่อย ประสาทสัมผัสของมือที่ถูกบีบอย่างแรงนั้นทื่อลง ช่างเป็นคนไร้มารยาทไม่มีที่เปรียบเสียจริง

“ตอนนี้ก็ตอบฉันมาได้แล้ว”

“ฉันได้ยินข่าวลือมา”

“ข่าวลืออะไร“

“ข่าวลือที่ว่าคาสิโนจะล้มละลายในไม่ช้าน่ะสิ”

อาเรียไม่ได้สัญญาว่าจะบอกความจริงและมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะต้องพูดความจริงด้วย เธอจึงพูดโกหกไป

เขาทำหน้าเคร่งเครียด ไม่ว่าจะดูยังไงก็คงจะซื้อใบประมูลมาแล้วแน่ๆ

อาเรียโกหกเพิ่มเข้าไปอีก

“มีข่าวลือว่าไวเคานต์ลูฟร์ขาดทุนจากธุรกิจหลายอย่างที่เขาเข้าไปลงทุนน่ะ เขาจะขายคาสิโนและยอมทิ้งยศ ไม่แน่ว่าอาจจะลักลอบหนีไปตอนกลางคืนด้วยนะ”

ไวเคานต์ลูฟร์เป็นเจ้าของคาสิโน และยังเป็นขุนนางที่ต้องโทษประหารสามชั่วคนหลังจากที่ถูกเปิดโปงเรื่องการค้ามนุษย์

เขาทำเรื่องชั่วช้าคนเดียวไม่พอ ยังนำความพินาศเข้ามาในตระกูลทำให้ลูกหลานเดือดร้อนไปด้วย

“คำตอบของฉันก็มีเพียงเท่านี้ ฉันจะกลับแล้วช่วยหลีกทางด้วย”

“…ถ้าเรื่องที่เธอพูดมาเป็นเรื่องโกหกล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”

ดวงตาสีฟ้าจ้องหน้าอาเรีย ใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยความน่ากลัว อาเรียรู้สึกเสียวสันหลังวาบและขนลุก เธอรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่กำลังไหล

ถึงจะรู้ว่านั่นเป็นแค่คำขู่ แต่เธอก็ไม่สามารถวางเฉยต่อสัตว์ร้ายตรงหน้าที่กำลังข่มขู่เธอได้ อาเรียไม่สามารถเก็บอาการปากสั่นได้เธอฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

“…คุณจะตัดสินข้อเท็จจริงจากข่าวลือได้ยังไงกัน“

“นั่นสินะ”

เขาตอบอย่างเห็นด้วย แต่การกระทำไม่เป็นเช่นนั้น เขาจดจ้องอาเรียอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังบอกเธอว่าเขาจะจำหน้าเธอไว้ให้ขึ้นใจแล้วจะตามหาตัวเธอแน่ๆ

โดยจุดที่เขาจ้องมองนานเป็นพิเศษก็คือพลอยทับทิมรูปดอกกุหลาบที่ติดอยู่ตรงหน้าอกเสื้อของเธอ สายตาที่เขามองมัน ราวกับรู้ถึงที่มาของมันว่ามาจากที่ไหน อาเรียหน้าซีดเผือด

‘ต้องหนี…! ฉันต้องเลี่ยงเขา’

เธออยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก เธอรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่าง คำขู่จากคนที่เธอไม่เคยพบเจอในอดีต อาจจะกลายเป็นคมดาบที่ฟาดฟันคอของเธอก็เป็นได้

“…ในเมื่อฉันตอบคำถามจบแล้ว ช่วยปล่อยคนคุ้มกันของฉันด้วย”

หลังจากที่อาเรียพูดออกไปด้วยสีหน้าราวกับว่าเธอพร้อมจะทรุดลงไปได้ในทันที  เขาก็ส่งสัญญาณมือให้กับชายอีกคนที่มาด้วยกัน ชายคนนั้นยอมปล่อยทหารผู้คุ้มกันของอาเรียอย่างสุภาพ

แม้จะถูกปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว แต่ทหารคุ้มกันของอาเรียก็ยังไม่เคลื่อนไหวได้ พวกนั้นเอาแต่จ้องตาชายที่ข่มขู่พวกตน อาเรียรีบพาเจสซี่และทหารคุ้มกันที่ไม่มีประโยชน์ของเธอออกจากร้านสารพัดสิ่งไปอย่างรวดเร็ว

* * *

“จะเอาอย่างไรต่อขอรับ”

ผู้ชายที่ใช้ดาบข่มขู่ผู้คุ้มกันของอาเรีย ถามเขาขึ้นมาหลังจากตรวจสอบรถม้าของอาเรียที่หายไปอย่างรวดเร็ว

“…รถม้าของตระกูลโรสเซนต์อย่างงั้นหรือ”

“ใช่แล้วขอรับ”

“ท่านเคานต์มีบุตรสาวอายุประมาณนั้นด้วยงั้นเหรอ”

“มีบุตรธิดาชื่อว่ามิเอลหนึ่งคนขอรับ เห็นว่าหลังจากแต่งงานใหม่ก็มีบุตรสาวเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่งขอรับ แต่ได้ยินว่าเป็นคนเสเพลไม่รู้จักมารยาทที่ถูกที่ควรเท่าไหร่ กระหม่อมเลยคิดว่าเลดี้เมื่อสักครู่น่าจะเป็นเลดี้มิเอลขอรับ”

“มิเอล…”

ชื่อที่มีความหมายว่าน้ำผึ้งรึเปล่านะ ช่างเป็นชื่อที่ไม่เข้ากับหน้าตาเย็นชาของเธอเลยจริงๆ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวก็ยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้ แถมยังรับมือได้อย่างมั่นใจอีกด้วย ช่างใจกล้านัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุสิบปีต้นๆ เท่านั้น

เขามองมือข้างที่ใช้จับข้อมืออาเรียไว้อย่างนิ่งๆ ข้อมือของเธอบอบบางและดูอ่อนแอมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กสาวอายุเท่าเธอจะเป็นเช่นนั้น แต่เธอกลับดูอ่อนแอและบอบบางกว่านั้นมาก

‘มันคืออะไรกันแน่ความรู้สึกแบบนี้’

ยิ่งไปกว่านั้น ไออุ่นของเธอที่ยังเหลืออยู่ที่ฝ่ามือของเขานั้น ให้ความรู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่เหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคย ความรู้สึกเบาบางเหมือนกับว่าเคยสัมผัสจากที่ไหนสักแห่ง

‘เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนงั้นหรือ…’

เพราะไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโรสเซนต์ จึงไม่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้ได้ ชายอีกคนถามขึ้นมาหลังจากเห็นเขาเหม่อมองมือของตนเอง

“จะทำอย่างไรดีขอรับ ให้ส่งคนไปติดตามดูหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ล่ะ แค่รู้ว่าเป็นบุตรสาวตระกูลไหนก็พอแล้ว ก่อนอื่นเราต้องไปตรวจค้นคาสิโนก่อน ถ้าหากข่าวลือถูกแพร่งพรายออกไปจริง ไวเคานต์อาจจะหลบหนีไปได้ ต้องรีบจัดการเขาก่อน”

“แต่ว่า…เรายังมีข้อมูลไม่พอนะขอรับ อีกอย่างในตอนนี้แผนการของเราก็ยังไม่สมบูรณ์เลย”

“ถึงจะไม่มีแผนการที่สมบูรณ์ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ไวเคานต์ลูฟร์หลบหนีไปได้แล้วกัน”

หากว่าหนีออกไปนอกประเทศได้แล้วล่ะก็จะทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยากขึ้นไปอีก ทางที่ดีหากเกิดอะไรผิดพลาดไป ก็ขอให้เกิดภายในประเทศดีกว่า

“มันอาจจะเป็นแค่เรื่องแต่งที่ไม่มีมูลความจริงของเลดี้คนเมื่อกี้ก็ได้ขอรับ ”

“ถึงมันจะเป็นเรื่องแต่งของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้รู้เรื่องจริงก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็ต้องคิดถึงเรื่องที่ควรจะทำได้สิ”

สมมุติว่าข่าวลือที่แพร่ออกไปเป็นเรื่องโกหกแล้วล่ะก็ ความเสี่ยงเดียวที่พวกเขาจะได้รับจากการบุกค้นคาสิโนโดยไม่มีแผนการและขาดข้อมูลที่เพียงพอนั้น ก็แค่จะทำให้เจอเรื่องยุ่งยากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่นนั้น หากคำพูดของอาเรียนั้นเป็นความจริงขึ้นมา และไวเคานต์เกิดหลบหนีไปในขณะที่พวกเขาหาข้อมูลและวางแผนแล้วล่ะก็

สุดท้ายก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากประเทศใกล้เคียง ซึ่งถือเป็นเรื่องยุ่งยากน่าเบื่อและยังน่าอับอายอีกด้วย หากเป็นไปได้ ควรจะทำให้เรื่องมันจบลงในประเทศดีกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น เธอคนนั้นยังรู้ด้วยว่าคาสิโนจะล้มละลายในอนาคต ทั้งที่ดูภายนอกแล้วคาสินั่นทำยอดขายได้สูงขึ้นในแต่ละวันแท้ๆ แต่เธอกลับรู้ว่ามันจะล้มละลายลง ทั้งที่มันเป็นความจริงที่ไม่มีใครรู้เลยนอกจากตัวเขาคนเดียว

แม้เธอจะบอกว่าได้ยินข่าวลือของไวเคานต์ลูฟร์มาจากที่ไหนสักแห่งก็ตาม แต่เมื่อดูจากรายละเอียดที่เธอเล่าแล้ว แน่นอนว่าเธอต้องรู้เบื้องหลังของมันแน่ จะช้าอยู่ไม่ได้ต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

“ถ้าอย่างนั้น จะให้เริ่มเมื่อไหร่ดีขอรับ”

“วันนี้”

“วันนี้…หรือขอรับ”

“ใช่ ระดมคนแล้วกำหนดตำแหน่งภายในหนึ่งชั่วโมง เราจะบุกเข้าไปในทันที เพราะไม่รู้ว่าเขาจะหลบหนีไปตอนไหน”

จะให้ทำวันนี้เลยมันก็ค่อนข้างยุ่งยากไปหน่อยนะครับ… ชายคนนั้นได้แต่พร่ำบ่นกับตัวเอง แต่เมื่อเขาสังเกตสีหน้าของผู้ที่ออกคำสั่งแล้ว แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกับพยักหน้าน้อมรับคำสั่งทันที

“…เข้าใจแล้วขอรับ กระหม่อมจะรีบไปเตรียมการทันทีขอรับ”

ชายผู้นั้นรับคำสั่งแล้วทำการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหายไปในพริบตา เขาก้มลงมองไออุ่นที่หลงเหลือในมืออีกครั้ง ในตอนนี้มันแทบจะไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว มีเพียงสีหน้าของอาเรียตอนหันหลังกลับเท่านั้นที่ยังคงแจ่มชัดอยู่

‘ต้องไม่ใช่ตอนนี้สิ’

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะจมอยู่ในความรู้สึกหวั่นไหว เขาควรจะรีบจับตัวไวเคานต์แล้วยืนยันถึงสถานะในปัจจุบันของไวเคานต์ให้เร็วที่สุด

เขาปัดเรื่องสัมผัสอุ่นและใบหน้าของอาเรียออกไปจากความคิด แล้วพรางตัวหายเข้าไปในความมืด

…………………………………………….