ตอนที่ 608 ทะลายค่ายกลหวนกลับ

พันธกานต์ปราณอัคคี

จวนถ้ำของเวินหนิง ต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนอื่น อาคารไม้ไม่กี่หลังสร้างขึ้นท่ามกลางป่าเขียวขจีและสายน้ำมรกต ให้ความรู้สึกเย็นสบายราวกับสวรรค์บนดิน ทั้งไม่เหมือนกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญเพียรอย่างขมขื่นเหล่านั้น ที่เลือกถ้ำซึ่งยกภูเขาและแยกเสาหินออกจากกัน แล้วขุดห้องหินเพียงไม่กี่ห้อง ยิ่งไม่ใช่จวนถ้ำของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สร้างขึ้นเสียโอ่อ่าอัดแน่นไปด้วยกลิ่นของเซียน จนคล้ายกับวิมานบนสรวงสวรรค์

ตรงกันข้าม หลังคาของจวนถ้ำปูด้วยกระเบื้องเคลือบหยกเขียว เสาทาสีแดง จันทันสลักลวดลายวิจิตรการตา ราวกับจวนหลังใหญ่ของคหบดีในโลกฆราวาส บรรยากาศแวววาวระยิบระยับดูแปลกตา

เพียงแต่ ด้านนอกประตูทางเข้าห้องสมบัติหอล้ำค่าแห่งนี้พังทลายลงไปทั้งผืน ปิดตายทางเข้าจวนถ้ำไปโดยปริยาย

“บรรพชนของเจ้าผู้นี้ รสนิยมช่างเป็นเอกลักษณ์…” หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าค้ลายจะยิ้มแต่ไม่ใช่

“ขอบคุณมาก” มั่วชิงเฉินลอบกลอกตา จากนั้นก็จ้องไปยังซากปรักหักพังอันงดงามแห่งนี้ “เมื่อครู่ข้ากับพี่เก้าเข้ามาดูแล้ว ทางเข้าจวนถ้ำหลังนี้น่าจะมีค่ายกลหวนกลับติดตั้งเอาไว้ หากคิดอยากเข้าไปต้องคุ้นเคยและรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี หากบุ่มบ่ามเข้าไปหรือแตะอะไรเข้า ทางเข้าถ้ำจะพังลงมาเอง หรือหากพยายามเข้าไปจากทางอื่น เกรงว่าจวนถ้ำทั้งหลังคงจะถล่มลงมาหลายเป็นเศษซาก”

“ค่ายกลหวนกลับรึ” หลัวอวี้เฉิงแตะคางราวกับใช้ความคิดพักหนึ่ง ก่อนตอบว่า “สหายมั่ว เจ้าพาข้าขึ้นไปดูจากด้านบนของจวนหน่อย”

แม้มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าหลัวอวี้เฉิงมีแผนอะไร แต่กลับจับมือเขาบินขึ้นไปอย่างช้าๆ

หยุดอยู่กลางอากาศสักพักใหญ่ หลัวอวี้เฉิงจ้องมองหลุมที่ยุบลงไปตรงหน้าปากทางเข้าจวนถ้ำอย่างไม่วางตา

มั่วชิงเฉินเห็นเขามีสีหน้าจริงจัง แววตาลึกล้ำเป็นประกาย ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

หรือว่า เขาต้องการซ่อมแซมทางเข้าของจวนถ้ำที่พังทลายให้กลับเป็นดังเดิม

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว

มั่วชิงเฉินตกใจ นึกได้ว่าคนที่ชอบคิดและรนหาที่ตายนับครั้งไม่ถ้วนผู้นี้กำลังบาดเจ็บสาหัสอยู่ จึงรีบดึงแขนเสื้อเขา “สหายหลัว ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ มิเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าอาชิงอสูรวิญญาณของเจ้า คงถูกพี่สิบของข้าถลกหนังออกมาแล้วกระมัง”

หลัวอวี้เฉิงหันกลับไปมองมั่วชิงเฉิน ริมฝีปากที่ซีดเผือดยิ้มตอบน้อยๆ “เจ้าไม่อยากเข้าไปดูสักหน่อยรึ”

มั่วชิงเฉินสะดุ้งตกใจ “เจ้าหมายถึง…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ค่ายกลหวนกลับเป็นค่ายกลที่อหังการที่สุด นอกเสียจากว่าจะทำให้ตรงจุดที่พังทลายลงเพราะโดนสัมผัสนั้นกลับคืนมาเป็นอย่างเดิมไม่ผิดเพี้ยน มิเช่นนั้นก็ไร้หนทางแล้ว อย่าคิดจะเข้าไปข้างในเลย ผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้ค่ายกลหวนกลับป้องกันจวนถ้ำส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก หลายปีมานี้ยังไม่เคยได้ยินว่าหลังจากค่ายกลหวนกลับทำงานจะสามารเข้าไปต่อได้ นอกเสียจากว่าจะคุ้นเคยกับเจ้าของจวนถ้ำนี้เป็นอย่างดี”

หากเจ้าของจวนถ้ำอนุญาตให้ผู้บำเพ็ญเพียรเข้าไป แน่นอนว่าสามารถบอกเส้นทางหรือเคล็ดวิชาลับสำหรับเข้าไปได้ และค่ายกลหวนกลับจะไม่ทำงาน แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่รู้จักมากระตุ้นการทำงานของค่ายกลหวนกลับ ต้องตามหาที่อยู่ของเจ้าของจวนถ้ำ หรือไม่ก็ดูว่าเจ้าของจวนถ้ำรับปากไว้เช่นไร

นี่เป็นหนทางที่นำไปสู่ความตาย

หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว ชำเลืองมองมั่วชิงเฉินก่อนยิ้มด้วยรอยยิ้มเกียจกร้าน “บนโลกใบนี้มีทางตันที่ไหนกันเล่า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้มั่วชิงเฉินก็กำลังจะพยักหน้าเห็นด้วย

แต่ได้ยินประโยคที่เขาเอ่ยตามหลังมาติดๆ เสียก่อน “นั่นเพราะยังไม่ได้พบข้าต่างหาก…”

มุมปากมั่วชิงเฉินโค้งลง “สหายหลัว เจ้าถ่อมตัวสักนิดจะตายหรือไม่”

หลัวอวี้เฉิงที่โดนนางสบประมาท เพียงหัวเราะเสียงต่ำ แต่มุมปากที่ยิ้มอยู่กลับมีเลือดพรั่งพรูออกมา

มั่วชิงเฉินตกใจเล็กน้อย ก่อนจะวางนิ้วบนข้อมือของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อใช้จิตสัมผัสสำรวจภายใน ก็อดไม่ได้ที่รู้สึกโกรธ “จะทำลายค่ายกลหวนกลับที่ทำงานไปแล้วได้รึเปล่าข้าไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่าเจ้าเริ่มสูญเสียจิตวิญญาณแล้ว อยู่ห่างจากความตายจริงๆ ไม่ไกลแล้ว!”

“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้ามีแผนในใจ…” หลัวอวี้ยังคงไม่แยแสกับการเช็ดเลือดที่มุมปากแม้แต่น้อย

มั่วชิงเฉินเบิกตาโพลง “แผนบ้าแผนบอของเจ้านะสิ จะคิดเรื่องค่ายกลหวนกลับย่อมได้ รอแผลเจ้าหายก่อนค่อยว่า!”

หลัวอวี้เฉิงยังคงเปิดปากจะพูดต่อ ทว่าสายตาของมั่วชิงเฉินราวกับใบมีดโผทะยาน “หากเจ้าพูดแม้แต่คำเดียว ข้าจะใช้ระเบิดสะท้านฟ้าทำลายจวนถ้ำนี้เสีย ตอนนี้หุบปากเงียบได้แล้วใช่หรือไม่”

หลัวอวี้เฉิงมุมปากกระตุก

“เจ้ากล้าพูด?” มั่วชิงเฉินกัดฟัน

หลัวอวี้เฉิงจ้องตากลับ

ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินควักระเบิดสะท้านฟ้าลูกหนึ่งออกมา

หลัวอวี้เฉิงยิ้มมุมปาก คว้ามือมั่วชิงเฉิงไว้ เขียนบางอย่างลงบนฝ่ามือมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว “แท้จริงแล้วข้าอยากถามเจ้าว่า เจ้าโกรธข้าเพราะข้าฉลาดกว่าเจ้าใช่หรือไม่”

มั่วชิงเฉินหมดคำจะพูด…

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะสะใจ

เสียดายก็เพียงด้วยสภาพร่างกายแสนอ่อนแอของเขา เมื่อหัวเราะออกมาเช่นนี้เลือดก็เริ่มออกมาอีก

มั่วชิงเฉินต้องร้อนรนพาเขาบินลงจากยอดน้ำตก

หลังจากนั้น มั่งชิงเฉิงก็เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บให้หลัวอวี้เฉิง ทุกวันจะช่วยเขาชำระล้างและซ่อมแซมเส้นลมปราณ ปกติจะให้กินโอสถ หรือฝึกบำเพ็ญเพียรเล็กน้อย

ระหว่างนี้ ก็กลับไปยังหมู่บ้านที่นางเกิดรอบหนึ่ง พบกับหัวหน้าหมู่บ้านหลิ่วสอบถามเรื่องรางราวในอดีต เมื่อนับย้อนไปที่แท้ประมุขสกุลหลิ่วผู้นี้ก็คือลูกหลานของท่านอานางดังคาด

บัดนี้สกุลหลิ่วไม่เหมือนกับในความทรงจำวัยเด็กของนางซึ่งเป็นสถานที่เคร่งครัดไม่ยอมให้ใครผ่านเข้าออกโดยง่ายอีกแล้ว แต่บัดนี้กลายเป็นครอบครัวขนาดไม่น้อยไม่ใหญ่ที่ขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีประชากรสามในสี่ส่วนของหมู่บ้าน

น่าเสียดายก็แต่ หลังจากทุกคนในตระกูลได้รับการทดสอบ ตั้งแต่ผู้มีอายุแปดสิบปีลงไป ไปจนถึงทารกแรกเกิด กลับไม่มีผู้ใดมีรากวิญญาณเลยสักคน

มั่วชิงเฉินไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงทิ้งวิชายุทธ์ห้าธาตุที่ฝูเฟิงเจินจวินเป็นคนมอบให้ โอสถต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้อยู่ในระดับหลอมลมปราณ รวมถึงยันต์โจมตี ป้องกัน และหลบหนีอีกเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ที่โถงบรรพชนสกุลหลิ่ว ทั้งยังทิ้งข้อความเกี่ยวกับพรรคเหยากวงเอาไว้อีกด้วย

นางใช้คาถาผนึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้ สร้างค่ายกลขนาดเล็กขึ้นมาอันหนึ่ง หากเป็นผู้ที่มีรากวิญญาณจะสามารถกระตุ้นการทำงานของค่ายกล และจะได้รับสิ่งของที่อยู่ด้านในเหล่านั้น

หลังจากนั้นก็กำชับหัวหน้าหมู่บ้านหลิ่วว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไปเด็กตระกูลหลิ่วที่เกิดใหม่ หลังจากอายุครบหกปีไม่ว่าชายหรือหญิง สามารถเข้ามาห้องโถงบรรพชนเพื่อทดสอบได้

ท่ามกลางคำขอบคุณของหัวหน้าหมู่บ้านหลิ่ว นางทิ้งผลไม้วิญญาณที่มนุษย์ธรรมดาสามารถทานได้ไว้จำนวนหนึ่ง แล้วหันกายจากไป

สมบัติล้ำค่าของสกุลมั่วที่ทำให้บิดามารของนางได้ผสานวาสนาต่อกันอย่างคัมภีร์โอสถนพเก้านั้น ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรแม้แต่น้อย มั่วชิงเฉินอยู่ที่จิ่วโจวคงได้พบกับของมั่วถงแล้ว ยังได้รับมุกกลั่นทะเลแดงจากนาง บันทึกล้ำค่าที่ต้องใช้พลังกายและใจทั้งชีวิตเขียนออกมา แน่นอนว่าคัมภีร์โอสถนพเก้าไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

เมื่อเรื่องโลกิยะจบลงแล้ว มั่วชิงเฉินก็กลับไปยังสถานที่ที่พลังหยินเข้มข้นอย่างเงียบสงบ

หลังจากนั้น วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน พริบตาก็ผ่านไปห้าปีแล้ว อาการบาดเจ็บของหลัวเฉิงอวี้ในที่สุดก็หายดีทั้งหมด

ห้าปีมานี้ มั่วเฟยเยียนมุ่งมั่นสู่เส้นทางพรต ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างไม่แบ่งแยกกลางวันกลางคืน ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ใจไขว้เขว

ส่วนวันเวลาของมั่วหร่านอีดูครึกครื้นกว่าผู้อื่นมาก

นางและอาชิงกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ในทุกๆ สองสามวันล้วนจะสู้กันยกหนึ่ง เหมือนไก่บินหมากระโดด[1] โดยนางไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพลังในการต่อสู้ได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด

มั่วชิงเฉินมองด้วยสายตาเย็นชา แต่กลับรู้สึกว่าเจ้าเสือขนสีน้ำเงินฝีมือไม่เลว เห็นชัดว่าในบางครามีโอกาสทำร้ายมั่วหร่านอีจนบาดเจ็บได้ แต่กลับเปลี่ยนกระบวนท่า มีศัตรูที่มีโอกาสฆ่าได้แต่ไม่ลงมือเช่นนี้ เห็นแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย จึงถอนหายใจได้อย่างไร้กังวล

หลัวอวี้เฉิงที่เห็นเหตุการณทั้งหมดตรงหน้า ก็ลอบถอนใจยืดยาว

พี่น้องตระกูลมั่วช่างมีนิสัยแปลกประหลาดโดยแท้

ชิงเฉินมีความคิดเฉียบแหลม มีหลายสถานการณ์เพียงมองแค่ครั้งเดียวก็สามารถจับใจความสำคัญได้ แต่เรื่องความสัมพันธ์ชายหญิงกลับเหมือนคนตาบอดก็ไม่ปาน ถึงกับมองไม่เห็นสายตาของอาชิงที่มองมั่วหร่านอีที่แปรเปลี่ยนเป็นความรักของหนุ่มสาวอย่างช้าๆ เลยหรือ

ยังมีมั่วเฟยเยียน เป็นคนเย็นชาคนหนึ่ง ชิงเฉินเป็นคนที่ความรู้สึกเชื่องช้า ส่วนนางนั้นไม่แยแสแม้แต่น้อย

มีอะไรในใจก็พูดออกมาจนหมด มองคนเช่นใดก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีความรู้สึกเห็นใจสักนิด แน่นอนว่าย่อมมองแววตาขุ่นเคืองของผู้อื่นไม่ออกเป็นแน่

ส่วนมั่วหร่านอีนั้น…

พูดถึงนาง หลัวอวี้เฉิงไม่รู้จะอธิอบายเช่นไรดี

ทั้งสองรู้จักกันเพียงผิวเผิน เพียงน่าเสียดายที่เจอกันครั้งแรก เขาที่ทำตัวเหมือนคนป่วยคนหนึ่ง ส่วนนางก็เป็นสตรีที่หยาบคาย เพียงคราแรกที่เห็น ก็รู้แก่ใจดีว่าอีกฝ่ายไม่เหมาะกับตน ทั้งสองไม่ชอบหน้ากันเป็นเวลานานหลายปี แต่ก็นับว่าเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยที่สุด

แต่คนที่ฉลาดหาผู้ใดเปรียบไม่ได้อย่างเขา กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้จะสนิทสนมกับเจ้าเสือขนสีน้ำเงินได้ อาจเป็นเพราะอาศัยอยู่กลางหุบเขา ยังไม่ได้เห็นอะไรที่ชัดเจนขึ้นก็เท่านั้น

ในวันนี้ มั่วเฟยเยียนกักตนฝึกบำเพ็ญเพียร มั่วหร่านอีวิ่งฟัดเหวี่ยงกับอาชิงที่ด้านนอกหุบเขา ที่เหลือมีแค่มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย

“สหายหลัว เจ้าไม่คิดว่าตัวเองลืมเรื่องอะไรไปรึ”

“หือ อวี้เฉิงไม่ทราบจริงๆ ว่าลืมเรื่องอะไรไป สหายมั่วลองพูดดู” หลัวอวี้เฉิงยิ้มอ่อน

มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างเอาใจ “ก็เรื่อง…ค่ายกลหวนกลับ เจ้าไม่ใช่บอกว่ามีแผนแล้วรึ”

หลัวอวี้เฉิงทอดมองมาโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

ในใจของมั่วชิงเฉินรู้สึกกระสับกระสับส่าย ไม่ใช่ว่าตอนนั้นคนผู้นี้พูดจาไร้สาระอะไรอีก ช่างไม่มีค่าให้คนนึกถึงเลย

อีกฝ่ายผิวปาก ก่อนตอบว่า “อ้อ เหตุใดเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้เล่า แกล้งลืมเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะ อืม เรื่องนี้ พวกที่เก่งแต่ใช้กำลังบางครั้งก็น่าสงสาร ข้านั้นเข้าใจอย่างลึกซึ้ง…”

หลัวอวี้เฉิงที่เห็นใบหน้าหงิกงอของมั่วชิงเฉินก็หัวเราะออกมา หัวเราะจนสาแก่ใจแล้วก่อนตอบว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะถามตั้งแต่สองปีก่อนหน้านี้แล้วเสียอีก ไปเถอะ พวกเราไปทำลายค่ายกลหวนกลับกัน”

มั่วชิงเฉินพยักหน้าก้วยความปลื้มปีติ สองทั้งบินขึ้นพร้อมกัน

ระหว่างทาง ทันใดนั้นหลัวอวี้เฉิงหัวหน้าถามมั่วชิงเฉินว่า “สหายมั่ว เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องความรักต้องห้ามของโลกผู้บำเพ็ญเพียร”

มั่วชิงเฉินซวนเซเกือบตกลงไป โชคดีที่หลัวอวี้เฉิงคว้ามือนางเอาไว้ได้ทัน ก่อนมองนางด้วยความสงสัย

มั่วชิงเฉินชาไปทั้งตัว นางเข้าใจความน่ากลัวของชายผู้นี้แล้ว บางครั้งที่สายตาของคนผู้หนึ่งเคลื่อนไหวโดยไม่ตั้งใจ แต่เขาล้วนเดาออกมาได้เกือบหมด

เมื่อครู่ตนเสียกริยาไปเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขารู้อะไรเข้าแล้วกระมัง

พอคิดย้อนกลับไป ความรู้สึกในใจเมื่อตนยังเด็กเหล่านั้นล้วนตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับศิษย์พี่กลายเป็นคู่บำเพ็ญ เป็นตายก็ฝังศพเคียงคู่กัน

ในฐานะวิญญาณดวงหนึ่งในโลกอันแปลกประหลาดนี้ อันที่จริงความรักของนางในฐานะลูกศิษย์และอาจารย์ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจแต่อย่างใด หากทุกวันนี้จะถูกผู้คนประนาม ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เพราะมีเรื่องหนักหนากว่านี้มากนัก

ทว่าสุดท้ายแล้วท่านอาจารย์จะมีชื่อเสียงด่างพร้อย หากทุกคนบนโลกรู้ว่าศิษย์เพียงคนเดียวของเหอกวงเจินจวินเคยตกหลุมรักเขา เช่นนั้นจะมองเขาอย่างไร

บางที นั่นอาจจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยเดียวของเหอกวงเจินจวินผู้อ่อนโยนสง่างามดั่งเทพเซียนในสายของผู้คนกระมัง

“ความรักต่องห้ามรึ อืม ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องราวที่บริสุทธิ์แต่วุ่นวายเช่นนี้ น้อยนักที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่นเพราะไม่อยากให้เกิดข้อครหากับตนกระมัง” มั่วชิงเฉินตอบอย่างใจเย็น ก่อนเพิ่มความเร็วบินขึ้นไป

“เช่นนั้นรึ…” หลัวอวี้เฉิงยิ้มอย่างมีเลศนัย บินตามขึ้นไป

ถึงยอดน้ำตกจวนถ้ำของเวินหนิง มั่วชองเฉินพูดขึ้น “สหายหลัว รบกวนเจ้าแล้ว จะสำเร็จหรือไม่พวกเราก็ควรออกจากที่นี่”

“หากไม่สำเร็จ เท่ากับว่าเจ้าทำเรื่องที่ฝูเฟิงเจินจวินฝากฝังให้ไม่ได้ เช่นนั้นยังกลับจงหลางอีกหรือ”

มั่วชิงเฉินหัวเราะ “มนุษย์ไม่สามารถดันทุรังทำเรื่องทั้งหมดได้ เรื่องราวบนโลกไหนเลยจะสมบูรณ์แบบ อย่างไรเสียพวกเราก็มีบันทึกที่คนรุ่นก่อนถ่ายทอดไว้ให้ ไปจงหลางเพื่อเปิดหูเปิดตาก็ดี ยังสามารถส่งกระดูกของฝูเฟิงเจินจวินกลับไปได้”

“ไม่ว่าอย่างไร อวี้เฉิงจะฝืนทดลองดูสักครา”

“สหายหลัวไม่ต้องกดดันจนเกินไป เพียงสุดความสามารถก็พอแล้ว” มั่วชิงเฉินรีบเตือน เพราะกลัวว่าเขาจะทุ่มเทมากจนเกินไปจนสูญเสียดวงจิตและพลังชีวิตได้

หลัวอวี้เฉิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนตอบว่า “ขอบใจ แต่ว่า ข้าแค่ลองถ่อมตัวสักหน่อยก็แค่นั้น…”

มั่วชิงเฉินไร้คำตอบโต้…

[1] เป็นสำนวน หมายถึง สถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายมากจนไก่บิน หมากระโดด