กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ ตอนที่ 649
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นอย่างมีเงื่อนไข แต่กลับพบว่าเยี่ยจิ่งหานในมือถือขลุ่ยหยกขาวกำลังพุ่งเข้ามา ราวกับอสูรร้ายอย่างไรอย่างนั้น จิตสังหารล้นเหลือ

ด้านหลังของเยี่ยจิ่งหาน ยังมีบ่าวรับใช้สีชิ่น ไป๋จิ่นและคนอื่นๆของนางอีกด้วย

เยี่ยจิ่งหานเห็นว่านางตกลงไปยังก้นหน้าผา ความดุร้ายของนางรุนแรงราวกับจอมมาร และสู้กับชายชราชุดดำอย่างดุเดือด

กู้ชูหน่วนมิสนใจการต่อสู้บนยอดหน้าผาแล้ว นางจับหน้าผาไว้ไม่หยุดหย่อนและพยายามคว้าบางสิ่งบางอย่าง เพื่อทรงตัวให้มั่นคง

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์…เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์…”

กู้ชูหน่วนตะโกนและสะบัดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้อมือของนางอย่างต่อเนื่อง หากมิใช่เพราะมืออีกข้างหนึ่งของนางกำลังดึงท่านอาจารย์ซั่งกวนอยู่ มิเช่นนั้นกู้ชูหน่วนคงหยิบเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ขึ้นมาได้แล้ว

สิบเมตร ยี่สิบเมตร สี่สิบเมตร หกสิบเมตร…

ความเร็วของการตกลงไปนั้นรวดเร็วมาก แต่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที กู้ชูหน่วนจึงทำได้เพียงคำราม “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ข้าย่างหมูไว้หนึ่งร้อยตัว เจ้าจะกินหรือไม่”

เมื่อได้ยินคำว่าหมู เสี่ยวจิ่งเอ๋อร์ที่กำลังหลับใหลก็ตื่นขึ้นมาทันที และลืมตาขึ้นกว้างมองซ้ายมองขวา ราวกับกำลังหาว่าหมูย่างอยู่ที่ใด แต่ก็ดูเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น

กู้ชูหน่วนหมดหนทางจริงๆ

งูไร้ประโยชน์หวงแต่กินตัวนี้…

ไม่รอให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้สติดี กู้ชูหน่วนก็พูดตะโกนว่า “มัวทำอะไรอยู่ รีบพาพวกข้าไปเร็ว มิเช่นนั้นข้าจักย่างเจ้าเสีย”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตัวสั่นเทา เพิ่งจะได้สติรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ทว่าเวลาผ่านไปนานเกินไปดูเหมือนพวกเขาจะตกลงไปยังก้นหน้าผาแล้ว เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงฟู่ๆ ออกมา “ยอดหน้าผาสูงเกินไป ขึ้นไปไม่ได้ในทันที”

“เช่นนั้นก็พาพวกข้าลงไปยังก้นหน้าผาอย่างปลอดภัยด้วย”

“ฟู่ๆ…ตรงก้นหน้าผาก็มิรู้ว่าลึกมากเพียงใดเช่นกัน”

สีหน้ากู้ชูหน่วนแย่ลงทันที เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หดคอลงแล้วกลายร่างเป็นงูเหลือมใหญ่เก้าหัว ห่อตัวกู้ชูหน่วนและท่านอาจารย์ซั่งกวนลงไปยังก้นหน้าผา

ท่านอาจารย์ซั่งกวนถอนหายใจ “เลี้ยงงูน้อยตัวหนึ่งก็ดีเหมือนกัน”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

เลี้ยงมันต้องเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

แต่มันมิใช่งูน้อยนะ

มันคือราชางูต่างหาก

“ฟู่ๆๆๆ…”

ระหว่างที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยังคงนึกย้อนเรื่องในอดีตนั้น กู้ชูหน่วนและคนอื่นๆ ก็ลงมาถึงก้นหน้าผาแล้ว

ตรงก้นหน้าผาเป็นป่าทึบ ที่นี่เต็มไปด้วยพุ่มไม้และมีภูเขาเชื่อมกันหลายลูก ราวกับว่าอยู่ในภูเขานับแสนลูกอย่างไรอย่างนั้น

กู้ชูหน่วนรีบพยุงท่านอาจารย์ซั่งกวนและตรวจชีพจรให้กับเขา

ซั่งกวนฉู่บาดเจ็บหนัก เส้นลมปราณทั้งหลายในร่างกายดูเหมือนผิดตำแหน่งไปหมด เส้นลมปราณทั้งห้าก็บาดเจ็บหนักเช่นกัน หากมิใช่เพราะเขาโชคดี มิเช่นนั้นคงตายไปตั้งแต่แรกแล้ว

“ก่อนหน้านี้ท่านได้รับบาดเจ็บ? และยังเจ็บหนักอีกด้วย?”

ท่านอาจารย์ซั่งกวนพยักหน้ายอมรับ

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงร้องฟู่ๆ ต้องการกินอาหารอย่างน่าสงสาร

กู้ชูหน่วนส่งสายตาน่ารำคาญให้กับมัน “ไปหาน้ำมาเร็วเข้า”

“นายท่าน แล้วหมูย่างของข้าล่ะ?”

“ติดไว้ก่อน”

“ท่านติดข้าไว้กี่ตัวแล้วนั่น”

“เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?”

“ท่านมิควรโกหกงูตลอดนะ”

“เช่นนั้นเจ้ามารักษาซั่งกวนฉู่ให้หายก่อน ข้าจักย่างให้เจ้าเลยทันที”

“ฮึ เขาเจ็บหนักเพียงนี้ รอให้บาดแผลของเขาหายขาดนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายเดือดสิท่า”

“เช่นนั้นก็ไปตามหาเส้นทางสิ หากเจอทางออกแล้วก็พาพวกข้าออกไป”

“นี่มัน…ที่นี่มันรกร้างเกินไป ไม่มีคนเข้าออกมาอย่างน้อยก็จวบร้อยปีแล้ว หากต้องการตามหาทางออก คงจะมิง่ายนัก”

“เจ้านี่มัน นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ข้าให้เจ้าทำอะไร”

“ข้าเพิ่งช่วยชีวิตท่านเมื่อครู่นะ”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกว่าข้าเลี้ยงดูเจ้ามานานเท่าไรกัน?”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยังอยากพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของกู้ชูหน่วนไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก จึงทำได้เพียงออกไปอย่างเงียบๆ

จริงๆ เลย

มันช่วยนายท่านไว้ เหตุใดสีหน้าของนายท่านถึงได้แย่เพียงนี้เชียวล่ะ?

กู้ชูหน่วนทำการรักษาเบื้องต้นให้กับท่านอาจารย์ซั่งกวนก่อน แล้วหาท่อนไม้ท่อนหนึ่งประคองมือที่หักของท่านอาจารย์ซั่งกวนไว้

ท่าทีของนางหยาบคาย ทำให้ท่านอาจารย์ซั่งกวนถอนหายใจเล็กน้อย

“เบามือหน่อย”ซั่งกวนฉู่กล่าว

กู้ชูหน่วนฉีกผ้าบนเสื้อของตนลงมา และล้อมไม้บนข้อศอกให้มั่นคงไว้ แล้วพูดเหน็บแนมว่า “ท่านอาจารย์ ท่านโชคดีเพียงนี้ บาดแผลแค่นี้จะทำอะไรท่านได้กัน”

เพียงแค่คนที่มีตาก็สามารถมองออกได้ว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนนั้นเจ็บหนักมาก นางเป็นถึงหมอรักษา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้

นอกจากนั้นคำพูดของนางยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ ท่านอาจารย์ซั่งกวนเหล่มองไป “เป็นอาจารย์ของเจ้า โชคไม่ดีหน่อยจะได้ได้อย่างไรกัน”

ความหมายของเขาคือ กู้ชูหน่วนนั้นเกเรนัก หากโชคไม่ดีหน่อยคงตายเพราะนางตั้งนานแล้ว

กู้ชูหน่วนแสร้งฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งยังถามอย่างใสซื่อว่า “ท่านอาจารย์ ก่อนหน้านั้นท่านออกจากสำนักศึกษาไปแล้วมิใช่หรือ? ท่านไปที่ใดกัน?”

“ทำไมงั้นหรือ จะเริ่มตรวจสอบอาจารย์แล้วอย่างนั้นรึ”

“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกัน ข้าน่ะเป็นห่วงท่านต่างหาก ดูท่านสิเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ครอบครัวของท่านคงเก่งกาจยิ่งกว่าแน่ๆ มาวันนี้ท่านได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จักให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พาท่านกลับไปอย่างปลอดภัยให้ได้”

“ครอบครัวของข้าก็คือสำนักศึกษา เจ้าส่งข้ากลับสำนักศึกษาได้ นอกจากนี้ การศึกษาของเจ้ายังไม่จบสิ้น จะได้กลับไปร่ำเรียนกับข้าซะ”

กู้ชูหน่วนมองบน ใช้โอกาสที่ซั่งกวนฉู่ไม่ทันสังเกต ต้องการจะเปิดเสื้อของเขาออก เพื่อดูบาดแผลด้านใน

นางจำได้ เมื่อครั้นที่นางได้รับบาดเจ็บหนักที่ทางเหนืออันไกลโพ้นนั้น บนร่างกายนางก็เต็มไปด้วยรอยแผลเช่นกัน

แต่ความเร็วของซั่งกวนฉู่ไวกว่านาง ดูเหมือนช่วงที่นางกำลังลงมือ เขาเปลี่ยนตำแหน่งไปในพริบตา หลบจากมือของนางได้สำเร็จ

กู้ชูหน่วนเปลี่ยนจากจับกุมเป็นนักสืบ ดูเหมือนจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ

ระหว่างสู้กัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กู้ชูหน่วนมิได้เปิดเสื้อของเขาออก แต่กลับดึงกางเกงของเขาแทน

ถึงแม้นท่านอาจารย์ซั่งกวนจะสวมกางเกงไว้ด้านในก็ตาม แต่กู้ชูหน่วนก็อดไม่ได้ที่จะอายไปครู่หนึ่ง

ข้างหูเป็นเสียงแผ่วเบาของท่านอาจารย์ซั่งกวน “คุณหนูสาม ข้ารู้มาตลอดว่าเจ้ามีรสนิยมที่ไม่เหมือนใคร แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะชื่นชอบแบบนี้”

“แบบนี้หรือ? แบบไหนกัน?”

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ จะเป็นแบบไหนได้กัน”

ซั่งกวนฉู่หน้าไม่แดง เสียงหายใจก็ปกติและไม่ดึงกางเกงของเขาขึ้นด้วย

แต่มุมปากของเขายังมีความหัวเราะปะปนอยู่ และมองนางอย่างไม่ละสายตา

ถูกคนจ้องเขม็งเช่นนี้ และภาพตรงหน้าก็ยังไม่ดีเท่าไรนัก

แน่นอนว่ากู้ชูหน่วนต้องหน้าแดงอย่างอดไม่ได้

คนคนนี้ คือเหวินเส่าอี๋จริงๆ หรือ?

เหวินเส่าอี๋เพียงแค่หยอกล้อเล็กน้อยก็หน้าแดง

ใสซื่อเหมือนดั่งกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง?

แต่เขา…

มองอย่างไรเขาก็ดูเหมือนเป็นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

และยังเป็นสุนัขจิ้งจอกที่ไร้คุณธรรมอีกด้วย