บทที่ 1474 – พลังสัตย์ถวายชีพที่ยิ่งใหญ่ การป้องกันที่แข็งแกร่งของชิงสุ่ย

รูปร่างของอสูรรัตติกาลนรกนั้นไม่ได้งดงามแต่ก็ไม่ได้แย่สักเท่าไร แม้ว่าราชันย์หนูวชิระทมิฬ จะดำเหมือนหมึก แต่ดวงตาของมันนั้นก็น่าหลงใหล ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยเกลียดหนูมาก แม้กระทั่งคำว่า “หนู” เขาก็เกลียด แต่ตอนนี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปแล้ว  เพราะหนูทะลายปฐพีและราชันย์หนูวชิระทมิฬ นั้นงดงามจนชิงสุ่ยเกลียดไม่ลง

 

ชิงสุ่ยตรวจสอบความสามารถของอสูรรัตติกาลนรก เพียงแค่มองครั้งเดียว เขาก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีทั้งพลังของอสูรเกราะเหล็กมหากาฬ และราชันย์หนูวชิระทมิฬ น่าเสียดายตรงที่ความเร็วของมันไม่มากเท่าไรนัก

 

เมื่อคิดเช่นนั้น ก็ถือว่าเป็นไปตามกฎของคำว่า “สมดุล”  เพราะรูปร่างของอสูรรัตติกาลนรกนั้นมีขนาดใหญ่ พอ ๆ กับมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ถ้าหากมันได้รับพลังที่มีความเร็วพอ ๆ กับราชันย์หนูวชิระทมิฬ มันคงกลายเป็นสัตว์อสูรที่น่ากลัวมาก

 

อย่างไรก็ตามความเร็วในตอนนี้เร็วกว่าอสูรเกราะเหล็กมหากาฬ และพลังของมันแข็งแกร่งมากจนสามารถพุ่งชนได้ทุกอย่าง

 

ในตอนแรก ชิงสุ่ยต้องการสัตว์อสูรที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างอสูรเกราะเหล็กมหากาฬ เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้รับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่าง อสูรรัตติกาลนรก?

 

ลักษณะของอสูรรัตติกาลนรกคล้ายกับอสูรเกราะเหล็กมหากาฬตรงที่ความจงรักภักดีต่อเจ้านาย ความจงรักภักดีของมันนั้นอาจฟังดูโง่เขลา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อเจ้านายของตน

 

ถือเป็นเรื่องดีที่มีสัตว์อสูรประเภทนี้ในครอบครอง เมื่อต่อสู้กับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมันก็สามารถป้องกันตัวเองได้ เพราะอย่างไรแล้วพลังป้องกันของมันก็แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไป

 

นี่จึงถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนอกจากนี้ยังมีอีกคุณสมบัติหนึ่งที่จะทำให้คนอื่นอิจฉา เพราะมันยังทำให้พลังของผู้ครอบครองเพิ่มขึ้น 1 เท่า

 

พลังสัตย์ถวายชีพ: เพิ่มพลังของผู้ครอบครอง 1 เท่า โดยไม่ต้องการพลังงาน เป็นทักษะที่สืบทอดมาและคงอยู่ตราบเท่าที่ อสูรรัตติกาลนรก ยังมีชีวิตอยู่

 

พลังสัตย์ถวายชีพนับว่าเป็นพลังที่ยอดเยี่ยม ในตอนแรกที่สัตว์อสูรจงรักภักดีกับเจ้าของจนยอมตายนั้น ชิงสุ่ยคิดว่ามันไร้สาระ แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าเพราะความจงรักภักดีนั้นทำให้เกิดทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ถ้าเจ้าของสัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่ง ก็ไม่มีทางตายได้ง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นสัตว์อสูรนั้นก็ต้องอยู่รอดเช่นกัน

 

การเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่านั้นไม่เหมือนกับเกราะทองคำวชิระ มันอาจจะช่วยเพิ่มพลังป้องกันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าหลังจากสวมเกราะ  ดังนั้นพลังป้องกันจะยิ่งแข็งแกร่งมาก ขนาดที่ว่าถ้าสวรรค์ถล่ม เขาก็ยังรอด

 

ตอนนี้ทักษะที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกตนบางคนอาจจะทำอะไรเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย ด้วยพลังป้องกันที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และชิงสุ่ยก็มีพลังโจมตีที่สังหารศัตรูได้อีกมากมาย

 

ตอนนี้คงไม่มีใครในมหาทวีปมังกรอหังกาลที่สามารถฆ่าชิงสุ่ยได้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามีผู้ฝึกตนที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้นจะทำอะไรเขาได้หรือไม่ ถึงอย่างนั้นการการที่จะทะลวงการป้องกันที่แข็งแกร่งของชิงสุ่ยในตอนนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ตราบเท่าที่อสูรรัตติกาลนรกไม่ตาย ชิงสุ่ยก็จะใช้ทักษะนี้ได้ตลอด ดังนั้นชิงสุ่ยจึงรีบมองหาผลอสูรบรรพกาล และของอื่น ๆ ที่สามารถเอามาเลี้ยงอสูรรัตติกาลนรกให้มันกิน

 

การใช้ทักษะเพื่อสร้างทักษะใหม่นั้น ถือเป็นลาภลอยก็ว่าได้ และชิงสุ่ยก็กำลังรู้สึกเช่นนั้น ชิงสุ่ยยังเหลือเวลาอยู่บ้าง เขาจึงเลือกที่จะฝึกฝนต่อ..

 

………

 

หลังจากนั้น เขาก็ไปที่สนามหญ้าของนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ชิงสุ่ยมองเห็นห้องรับแขกที่เปิดไฟสว่างจ้า ชิงสุ่ยมุ่งหน้าไปที่นั่นซึ่งถานท่าย หลิงเยียนและ ฮัว รูเหม่ยนั้นนั่งอยู่ด้านใน

 

“เป็นอย่างไรบ้าง?” ถานท่าย หยวนถาม

 

โดยปกติมักจะเป็นฮัว รูเหม่ย ที่มักจะเริ่มบนสนทนา แต่ตอนนี้ฮัว รูเหม่ย กำลังส่งสายตาหยอกล้อไปให้ชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยใช้มือถูจมูกและมองถานท่าย หลิงเยียน ก่อนจะถามช้า ๆ “ก็คงจะเรียกว่าราบรื่น..เอาเป็นว่า..ในอนาคตข้าน่าจะเป็นโล่ให้เจ้าทุกคนได้”

 

ถานท่าย หลิงเยียนและฮัว รูเหม่ยประหลาดใจกับคำพูดนั้น ทั้งสองเอาแต่จ้องชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยจึงรีบอธิบาย “ข้าได้รับสัตว์อสูรที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่ง คราวหลังข้าจะแสดงให้ดู”

 

“หืม..ไม่ต้องรีบร้อนหรอกเพราะตอนนี้ข้ามีเรื่องอยากปรึกษา” ฮัว รูเหม่ยพยักหน้าและพูดต่อ

 

ชิงสุ่ยเดาว่าเธอกำลังจะพูดอะไร แต่เขาก็นิ่งและทำท่าตั้งใจฟังเธอ

 

“พวกเราจะไปจัดการนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณรึไม่? บางทีพวกเราอาจจะได้ของล้ำค่าติดไม้ติดมือกลับมา” ฮัว รูเหม่ยมองชิงสุ่ย

 

“แล้วพวกเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”ชิงสุ่ยถามหลังจากไตร่ตรองดู

 

“ถ้าพวกเราไม่ลงมือ คนอื่นจะชิงลงมือแน่ ข้าไม่อยากเสียดายโอกาสนี้” ฮัว รูเหม่ยขมวดคิ้วระหว่างที่พูดออกมา

 

“นิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณนั้นเป็นหนึ่งในทายาทของมรดกจอมอสูร ถึงพวกเราจะจัดการพวกเขาได้บางส่วน แต่แน่นอนว่าคงมีคนอื่น ๆ อาศัยอยู่ที่ใดสักที่และคงไม่ง่ายที่จะจัดการคนพวกนั้น  หากกระต่ายตกใจพวกมันยังจู่โจมได้ นับประสาอะไรกับหมาป่าอย่างเจ้าพวกนั้น..ตอนนี้คงกำลังหาทางทำอะไรสักอย่างแน่”

 

“หรือเราจะปล่อยพวกนั้นไว้อย่างนั้น?” ฮัว รูเหม่ย ถามอย่างอึดอัด

 

“แล้วพวกนั้นจะมีสมบัติอะไรบ้าง? ข้ามั่นใจว่าถึงแม้เราจะจัดการนิกายสาปอสูรทั้งหมด พวกเราก็ไม่มีทางได้ของมีค่าอะไรมาหรอก แต่เรื่องที่จะจัดการคนพวกนั้นในตอนนี้ ข้าก็เห็นด้วย เพียงแต่ห้ามประมาทเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นจะแว้งกัดพวกเราเอง”

 

เพราะการหลอมรวมอสูรของชิงสุ่ยสำเร็จด้วยดี และเขาได้รับอสูรรัตติกาลนรก ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเริ่มคลายกังวล

 

ความรู้สึกเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าชิงสุ่ยแข็งแกร่งมากเพียงใด เช่นเดียวกับคนในโลกก่อนหน้าของชิงสุ่ย หากใครก็ตามที่มีเงินทองมากมาย พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่ต้องกังวล แต่เพราะอย่างนั้น พวกเขาจะกลายเป็นพวกขี้เหนียว แม้จะมีเงินจำนวนมากก็ตาม และพวกเขามักจะคิดว่าเงินสำคัญกว่าชีวิตพวกเขาเสียอีก

 

ฮัว รูเหม่ยมองชิงสุ่ยอย่างปะหลาดใจ เธอสัมผัสได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับชิงสุ่ย เขาเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ภายในเวลาเพียงครึ่งวันได้อย่างไร ? แม้กระทั่งถานท่าย หลิงเยียนก็สัมผัสได้

 

“ก็ดี งั้นข้าเชื่อเจ้า แล้วท่านประมุขล่ะ.. ท่านว่าอย่างไรไง?” ฮัว รูเหม่ย พูดด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์

 

ถานท่าย หลิงเยียนทำเหมือนไม่รู้ว่าฮัว รูเหม่ยจะสื่ออะไร แต่เธอก็พยักหน้ารับในที่สุด “พวกเราควรกลับไปที่พระราชวังจอมอสูร พรุ่งนี้”

 

……….

 

ผ่านไปครึ่งเดือนตั้งแต่ที่พวกเขากลับมาที่พระราชวังจอมอสูร ชิงสุ่ยรู้สึกขี้เกียจมาก นอกจากจะฝึกฝนในดินแดนยุพราชอมตะ เขาใช้เวลาในการนั่งสมาธิหรือไปหาถานท่าย หลิงเยียน

 

ครึ่งเดือนที่ผ่านไปนี้ ชิงสุ่ยไม่ได้ตั้งใจเข้าใกล้ถานท่าย หลิงเยียน ความรู้สึกของชิงสุ่ยที่เปลี่ยนไป ทำให้เขาเองประหลาดใจเล็กน้อย เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่า ถานท่าย หลิงเยียนเป็นหญิงสาวธรรมดาที่ต้องการให้ใครสักคนมาดูแลเธอ และที่เธอชอบทำตัวดื้อรั้นนั้นก็ล้วนแต่เพื่อป้องกันตัวเอง

 

ระหว่างที่อยู่ที่นี้ ชิงสุ่ยได้ข่าวว่ามีผู้ฝึกตนจากทั้งสำนักที่ผดุงความยุติธรรมหรือฝ่ายมืดต่างก็มุ่งหน้าไปที่นิกายสาปอสูรและ หุบเขากระชากวิญญาณ น่าเสียดายที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดคิด  เพราะคนพวกนั้นบาดเจ็บและตายมากมาย แต่คนของนิกายสาปอสูรและ หุบเขากระชากวิญญาณยังปลอดภัย

 

สำหรับนิกายที่ได้รับพลังมาโดยเฉพาะการได้รับพลังจากมรดกจอมอสูรก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะถูกจัดการได้ง่าย ๆ ดังคำกล่าวที่ว่า แม้กระทั่งอูฐที่กำลังกระหายน้ำก็ยังตัวใหญ่เสียยิ่งกว่าม้า และในตอนนี้ถึงแม้ว่านิกายของพวกเขากำลังเข้าตาจล แต่ก็สามารถพลิกสถานการณ์และจัดการพวกที่จ้องจะแว้งกัดพวกเขาได้อย่างสบาย

 

ถานท่าย หลิงเยียนเองก็ดูเหมือนจะขี้เกียจเช่นกัน หลังจากฝึกฝนมาครึ่งวัน เธอใช้เวลาที่เหลือในการพูดคุยและดื่มช้ากับฮัว รูเหม่ย ซึ่งความจริงนั้นยังมีข่าวน่ายินดีอีกอย่างหนึ่งคือ..ฮัว รูเหม่ย ตั้งครรภ์แล้ว

 

ถานท่าย หลิงเยียนมาเยี่ยมฮัว รูเหม่ยหลังจากเธอทราบข่าว ประจวบเหมาะกับตอนที่ชิงสุ่ยกำลังคุยกับซาน ยู พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน..

 

ถานท่าย หลิงเยียนเริ่มเห็นท่าทางอ่อนแรงของ ฮัว รูเหม่ย  ใจของเธอก็ร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ชิงสุ่ยมองถานท่าย หลิงเยียน และอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะเป็นอย่างไรหากตั้งครรภ์

 

ไม่ใช่มั่งง คงไม่ใช่เพราะข้าอย่างแน่นอน…. ชิงสุ่ยคิด

 

 

แค่ก แค่ก!

 

ฮัว รูเหม่ย ไอเบา  ๆ จนชิงสุ่ยคืนสติ เขามองถานท่าย หลิงเยียนโดยพูดอะไรไม่ออก โชคดีที่เขาหน้าหนาพอ และไม่รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด ชิงสุ่ยยิ้มแสดงความยินดี “ยินดีด้วย พี่ชาย มานี้สิ..ข้ามีของขวัญให้ท่านกับพี่สาวด้วย”

 

ชิงสุ่ยหยิบของจำเป็นและยาบางอย่างออกมา อย่างไรซะเขาก็เป็นหมอ และของขวัญที่เขานำมาให้นั้นก็เพื่อฮัว รูเหม่ย สิ่งที่เขานำออกมาให้นั้นเป็นของมีค่ามากและเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ครอบครอง ทั้งยังช่วยเพิ่มพลังในการฝึกฝนและเพิ่มพลังในการโจมตีด้วย

 

ถานท่าย หลิงเยียนให้ของขวัญแก่พวกเขาเช่นกัน ฮัว รูเหม่ยรับมาด้วยความยินดีก่อนจะหัวเราะ “ชิงสุ่ย เจ้ากำลังคิดว่าตัวเองกับหลิงเยียนจะเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกอยู่สินะ?”

 

ฮัว รูเหม่ย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่สายตาของเธอนั้นกำลังหยอกล้อชิงสุ่ยอยู่

 

ถานท่าย หลิงเยียนไม่ทันคิดว่าในประโยคนั้นมีความหมายแอบแฝงอย่างไร เธอตอบรับเสียงดังฟังชัด “แน่นอน!”

 

ทันทีที่เธอพูดเช่นกัน เธอค่อย ๆ ตระหนัก ก่อนเธอหันไปมองฮัว รูเหม่ย โดยพูดอะไรไม่ออก

 

ชิงสุ่ยเกือบหลุดหัวเราะ  เขาไม่คิดเลยว่าถานท่าย หลิงเยียน เองก็จะมีด้านน่ารัก ๆ เช่นนี้ เขาชอบเธอที่มีนิสัยน่ารัก แต่เธอจะแสดงด้านนั้นให้เห็นก็ต่อเมื่อเธอรู้สึกสนิทกับคน ๆ นั้นจริง ๆ เท่านั้น

 

ในสายตาของฮัว รูเหม่ย เธอเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี เพราะเธอเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่น เธอไม่คิดว่าคนที่เคยช่วยรักษาเธอจะหวั่นไหวเพราะถานท่าย หลิงเยียน แม้ตอนนี้ระหว่างทั้งสองยังไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ คืบหน้า แต่เธออยู่กับถานท่าย หลิงเยียนมาหลายปี ดังนั้นเธอจึงเข้าใจความคิดของหญิงสาวเป็นอย่างดี ซึ่งเธอคิดว่าถานท่าย หลิงเยียนเองก็น่าจะมีใจให้ชิงสุ่ย

 

ลึก ๆ เธอรู้สึกดีใจ เพียงแต่เธอแค่ไม่พูดออกมา เธอและถานท่าย หลิงเยียน เปรียบเสมือนพี่น้องที่อยู่ร่วมกันมาหลายปี  เธอจึงหวังว่าจะมีชายที่ดูแลและรักเธอ

 

เมื่อชิงสุ่ยขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอก็ยืนดี เธอรู้ว่านี้เป็นสิ่งเดียวที่เธอสามารถช่วยได้ แต่จะสำเร็จรึไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวชิงสุ่ยเอง ถานท่าย หลิงเยียนไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เธอไม่ได้รู้สึกชอบชิงสุ่ย แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น  เพราะถานท่าย หลิงเยียน ก็เริ่มมีความรู้สึกของหญิงสาวที่ต้องการพึ่งพาชายหนุ่ม..

 

“ชิงสุ่ย เจ้าควรจะพยายามมากกว่านี้แล้วล่ะ” ฮัว รูเหม่ย ยิ้ม เธอไม่ได้พูดให้ชัดเจนว่าเธอกำลังสื่อถึงอะไร แต่ทุกคนเข้าใจดี

 

“ตอนนี้ ข้าจะไม่ทำอะไรนอกเสียจากการกินและนอน เพราะข้าพยายามอย่างหนักมามากแล้ว”ชิงสุ่ยพูดด้วยท่าทางจริงจัง

 

“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้นนะ….” ฮัว รูเหม่ยยิ้มและมองถานท่าย หลิงเยียน

 

“เริ่มดึกแล้วล่ะ..ข้าขอตัวกลับก่อน แล้วจะมาเยี่ยมท่านใหม่” ถานท่าย หลิงเยียนส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้วจริง ๆ เธอควรจะกลับได้แล้ว

 

“แน่นอน ถ้าอย่างนั้นชิงสุ่ย…เจ้าช่วยไปส่งหลิงเยียนที่ห้องหน่อยสิ” ฮัว รูเหม่ยหัวเราะและยืนขึ้น