แม้ว่าจะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศก็ยังหนาวมากอยู่ดี บวกกับตอนนี้อยู่บนภูเขาด้วย อากาศก็หนาวกว่าเป็นธรรมดา
อาการของหยาดฝนแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าตอนนี้เธอสลบลงไปอีก อาการก็คงแย่กว่าเดิม
ดังนั้น ออกัสก็เลยคอยพูดกับเธออยู่ตลอด พยายามให้เธอตอบและตั้งสติเอาไว้……
เชอร์รีนกัดริมฝีปาก ปล่อยให้ความเจ็บปวดวนเวียนอยู่ในใจแบบนั้น ต่อมาเธอก็เงยหน้าแล้วมองไปที่เขา
เธอคิดว่า มีบางอย่างที่เธอจำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจน และเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองด้วย แม้กลับไปแล้ว จะต้องหย่ากันก็ตาม
สุดท้าย เธออยากแก้ต่างให้ตัวเองครั้งหนึ่ง……
เขาพูดกับหยาดฝนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยเงยหน้าขึ้นมามองเธอเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้อาการของหยาดฝนแย่ลงกว่าเดิม ก็จริง เวลานี้ไม่เหมาะสมกับการพูดเรื่องนี้สักเท่าไหร่
แต่ นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้อธิบายกับเขา……
มือที่แนบข้างลำตัวก็กำหมัดไว้แน่น เธอลังเลและสับสนอยู่นานมาก ในที่สุดก็พูดขึ้น: “ฉัน——”
แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไปและพูดจนจบ หยาดฝนก็คลื่นไส้ สองมือจับหน้าไว้ และร้องเจ็บอยู่ตลอดเวลา ท่าทางดูจะทรมานมาก
เธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้เวลา สถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ จะพูดต่อไปได้ยังไง
เขากวาดตามองเธออย่างเย็นชา พอได้ยินเสียงไอแล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ตอนแรกยังเย็นชาและดุร้าย แต่ตอนที่มองหยาดฝน กลับอ่อนโยนมาก
เชอร์รีนเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจ เธอเงยหน้ามองออกไปยังนอกถ้ำเงียบๆ
ฝนยังคงตกหนักอยู่เรื่อยๆ แม้จะนั่งอยู่ในถ้ำ ก็ได้ยินเสียงฝนเหมือนกัน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ น่าจะสองชั่วโมง หรือสามชั่วโมงได้ ก็มีเสียงเท้าใกล้เข้ามาที่นี่เรื่อยๆ
ออกัสขมวดคิ้วเป็นปม ร่างสูงโปร่งของเขาลุกขึ้น อุ้มหยาดฝนที่สลบไปแล้วเดินออกไปนอกถ้ำ
จะต้องเป็นกู้ภัยแน่ๆ สองมือพยุงตัวขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก เชอร์รีนลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ แล้วเดินตามไปทีละก้าว
ออกัสชะงักฝีเท้า ได้ยินเสียงเท้าเดินตามหลังมา เขาถึงก้าวเดินต่อไป
บวกกับร่างกายที่ปวดเมื่อย เชอร์รีนก็เลยเดินช้ามาก สักพัก ทั้งสองก็ดึงระยะห่างกันไกลมาก
นอกถ้ำ มีคนมารออยู่เพียบ พอเห็นพวกเขาเดินออกมา ก็รีบเอาผ้าห่มเข้าไปคลุมตัวพวกเขาไว้
จนกระทั่งขึ้นรถแล้ว ความหนาวเหน็บนั้นจึงค่อยๆสลายหายไป มือเท้าที่หนาวเหน็บก็เริ่มมีความรู้สึก
รถพยาบาลจอดอยู่ข้างๆ หยาดฝนถูกส่งตัวขึ้นรถพยาบาล และออกัสก็เดินตามหลัง ก่อนจะไป เขาเหลือบตามองมาที่เธอ
เห็นเธอยังเดินไปตามปกติ สีหน้านอกจากซีดไปบ้างๆ ก็ดูจะไม่มีที่ไหนไม่สบายเลย
เห็นแบบนี้แล้วเขาก็ค่อยโล่งอก จากนั้นก็ถึงลดสายตาลง
เชอร์รีนนั่งอยู่ในรถสีดำ มองรถพยาบาลขับออกไปผ่านหน้าต่างรถ
ต่อมา รถก็ขับไปทางคฤหาสน์ ระหว่างทาง ความเจ็บก็พรั่งพรูขึ้นมาอีกครั้ง เธอกอดท้องตัวเองไว้แน่นและขดตัวเอาไว้
ความเจ็บปวดนี้หนักกว่าเมื่อกี้อยู่มาก ทำเอาสีหน้าของเชอร์รีนซีดเซียวกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น หน้าผากยังมีเหงื่อไหลออกมาอีก
มือยุบลงไปยังเบาะรถ เธอหายใจหอบแล้วพูดกับคนขับรถว่า: “ไป……โรงพยาบาล……”
คนขับรถไม่รอช้า รีบขับรถไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เปิดประตูรถออก เชอร์รีนก้าวไปข้างหน้าช้าๆทีละก้าว
ยิ่งไปกว่านั้น เธอรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ไหลออกมาจากท่อนล่าง ร่างกายเธอสั่นเทาไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เธอกลัวว่าเด็กจะเป็นอะไรจริงๆ……
“ตายแล้ว! ผู้หญิงคนนั้นเลือดไหลเยอะเลย!” คนรอบข้างอุทานขึ้น
คนรอบข้างต่างก็มองมาทางนี้ หนึ่งในนั้นยังมีคนใจดี มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอุ้มเธอไว้ แล้วรีบพุ่งเข้าไปในโรงพยาบาล
หมอกับพยาบาลก็รีบเข็นเธอเข้าไปในห้องผ่าตัดทันที
ระหว่างทาง เชอร์รีนจับมือหมอไว้ ใบหน้าของเธอซีดเซียวจนไม่มีเลือด เธอร้องขอหมออย่างจริงใจและร้อนรน: “หมอคะ ช่วยลูกของฉันด้วย……รักษาเด็กไว้ด้วยนะคะ……”
ตอนนี้ เธอขอร้องคนอื่นไม่ได้เลย นอกจากหมอ……
เธอไม่มีที่พึ่ง เลยต้องพึ่งแค่ตัวเอง พึ่งความมุ่งมั่นและความแน่วแน่ของตัวเอง!
ยิ่งเป็นเวลานี้ เธอก็ยิ่งกว่า ถ้าเธอกลัว แล้วลูกจะเป็นยังไงล่ะ?
ลูกของเธอมีแค่เธอคนเดียว เธอก็พึ่งได้แค่ลูกในท้อง ในตอนที่นึกถึงร่างสูงโปร่งของชายหนุ่ม เธอก็เจ็บปวด และจับผ้าห่มเอาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาจากหางตาเป็นสาย……
“พวกเราจะพยายามนะ!” หมอพูดได้แค่นี้แล้วเริ่มทำการผ่าตัดทันที
หลังจากได้รับยาสลบแล้ว สักพัก เธอก็หลับใหลลงไป หมอเริ่มทำการช่วยเหลือ ไฟสีแดงนอกห้องผ่าตัดสว่างขึ้น
อีกด้าน
ไฟสีแดงนอกห้องผ่าตัดยังคงสว่างอยู่
ร่างสูงโปร่งของออกัสนั่งลงบนเก้าอี้ยาว สายตามองไปที่ห้องฉุกเฉินไม่หยุด พนักงานเอาเสื้อสูทใหม่เอี่ยมมาให้เขา: “ประธานออกัส”
เขาตอบรับเสียงเบา จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อบนตัวทันที ทันใดนั้นตรงหน้าก็มีภาพแผ่นหลังเรียวบางของหญิงสาวปรากฏขึ้น
เขาเม้มปากบางอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เขาปัดมือให้พนักงานไปได้ จากนั้นก็แสยะยิ้มเยาะเย้ย
ตอนไป เขาเห็นว่าเธอยังเดินได้ตามปกติ อีกอย่าง ผู้หญิงแบบนั้น เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาด้วยเลย?
พยาบาลที่เดินผ่านมาเห็นแผ่นหลังเขา ก็พูดขึ้นว่า: “คุณคะ แผ่นหลังคุณเลือดไหลเยอะเลย เสื้อเชิ้ตเปื้อนเลือดหมดเลยค่ะ”
ตอนนี้เอง เขาถึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่นหลัง
หมอถอดเสื้อเขาออก เห็นบาดแผลที่หลัง เหมือนโดนหินคมบาด มีรอยขีดข่วนหลายรอยเลย
ตอนที่ตกลงมาจากหน้าผา เพื่อปกป้องเธอไว้ จึงพลิกตัวและกอดเธอเอาไว้ ตอนนั้นเอง แผ่นหลังเขาเลยถูกหินคมบาดเข้า……
……
เวลาผ่าตัดนานมาก ตั้งแต่เริ่มจนจบ ก็ใช้เวลาไปตั้งแปดชั่วโมง
ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มีแสงทิ่มเข้าตาอย่างจัง สมองของเชอร์รีนว่างเปล่าไปหมด
วินาทีนั้น เธอกลับไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงนอนอยู่ที่นี่!
สักพัก สติค่อยๆกลับมาเรื่อยๆ เธอหลับตาลงอีกครั้ง กัดฟันให้กำลังใจตัวเอง เธอยกมือขึ้นสัมผัสท้องตัวเองเบาๆ
ในตอนที่มือสัมผัสหน้าท้องที่ยังนูนขึ้นมาอยู่ เชอร์รีนก็ตะลึง จากนั้นก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ เธอที่ไม่เคยร้องไห้มาก่อนเลย ตอนนี้น้ำตากลับไหลออกมาเหมือนสายน้ำ
ไม่มีใครเข้าใจความหวาดกลัวของเธอได้ เหมือนโลกทั้งใบของเธอได้หายสาบสูญไป!
แต่พอสัมผัสไปที่ท้องกลมๆนั้น เธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจและดีใจ ความหวาดกลัวทุกอย่างก็ได้หายไปทั้งหมด
ตอนนี้หมอก็เดินเข้ามา ตรวจสอบร่างกายเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “คุณโชคดีมากนะ เขาก็แข็งแกร่งด้วย คุณยังไม่เสียเขาไป”
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอหัวเราะแล้วร้องไห้ ร้องไห้แล้วหัวเราะต่อ ดวงตาเธอแดงก่ำจนเหมือนกระต่าย
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ คุณกับลูกในท้องมีสติที่แน่วแน่และแข็งแกร่งมากกว่า ในตอนที่เห็นคุณมีอาการตกเลือด พวกเราก็คิดว่ารักษาไม่ได้แล้วเสียอีก แต่หัวใจของเด็กกลับเต้นได้อย่างแข็งแรงและทรงพลังมาก” หมอพูดไปด้วยและจดบันทึกไปด้วย: “ดูบาดแผลคุณแล้วน่าจะกระแทกมานะครับ ใช่ไหม?”
“ตกลงมาจากหน้าผาน่ะค่ะ จากนั้นก็ตกลงน้ำ” มือเธอลูบท้องตัวเองเบาๆอย่างอ่อนโยน
หมอได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจมาก ตกมาจากหน้าผาที่สูงขนาดนั้น แถมยังกระแทกลงน้ำอีก กระแทกแรงขนาดนี้ คนปกติยังรับไม่ไหวเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนท้องอีกเนี่ยนะ?
หรือว่า ตอนที่ตกลงมาจากหน้าผา มีคนปกป้องเธออยู่?