บทที่ 13 Ink Stone_Romance

เมื่องานเลี้ยงน้ำชาดำเนินมาจนถึงจุดอิ่มตัว เหล่าบุตรสาวต่างให้ความสนใจกับอาเรียอย่างเต็มที่ และเอาแต่ถามคำถามทั่วๆ ไปกับเธอ อย่างเช่น ปกติแล้วตระกูลท่านเคานต์ใช้ชีวิตกันอย่างไร ตอนที่เธอเป็นสามัญชนนั้นเธอรู้สึกแบบไหน และถามเกี่ยวกับชุดที่เธอใส่มาในวันนี้ด้วย

แม้การถามถึงชีวิตส่วนตัวจะถือเป็นการกระทำที่เสียมารยาทอย่างมาก แต่ด้วยท่าทีของอาเรียที่ตอบคำถามเหล่านั้นทั้งหมดเท่าที่เธอจะสามารถตอบได้โดยไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเลยทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปโดยปริยาย

“ตายจริง ถ้าอย่างนั้นชุดที่ใส่มาในวันนี้ก็คือชุดที่เพิ่งซื้อมาใหม่เพราะเสื้อผ้าทั้งหมดถูกไฟไหม้ไปเหรอคะ”

“ใช่ค่ะ… เพราะฉันรู้สึกผิดเกินกว่าจะซื้อของแพงๆ มาใส่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไปซื้อมาจากร้านเสื้อบูติกที่ฉันเคยใฝ่ฝันตอนที่ยังเป็นสามัญชนนะคะ อีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่ามันมีที่ไหนอีกบ้าง… แต่แค่นี้ก็ดีใจมากที่ได้เข้าไปที่นั่นเป็นครั้งแรกค่ะ”

เหล่าสาวๆ ต่างพากันเล่าให้เธอฟังอย่างยินดีว่าพวกเธอได้ซื้อเสื้อผ้ามากว่า 10 ตัว มันเป็นร้านเสื้อบูติกของสามัญชน ดังนั้นต่อให้พวกเธอซื้อเสื้อผ้ารวมกันทั้งหมด 10 ตัว ราคาของมันก็ยังไม่เท่าเครื่องประดับผมง่ายๆ แค่ชิ้นเดียวเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นพอเห็นพวกเธอพากันเล่านั่นนี่อย่างมีความสุขจนสองแก้มแดงระเรื่อก็พาให้อบอุ่นหัวใจตามไปด้วย

“แล้วไม่มีใครแนะนำร้านบูติกร้านอื่นให้เลยเหรอคะ อย่างเช่น… เลดี้มิเอลน่ะค่ะ”

หญิงสาวที่หวีผมปัดไปด้านหนึ่งแล้วปล่อยยาวสยายลงมาอย่างสวยงามเอ่ยถามขึ้น

เธอเฝ้าสังเกตอยู่พอสมควรก่อนจะเอ่ยชื่อมิเอลออกมาอย่างระมัดระวัง

อาเรียที่เปี่ยมล้นไปด้วยความปลื้มปีติที่ในที่สุดก็มีคนเอ่ยถึงมิเอลเสียทีแสดงสีหน้าเศร้าใจเสียเต็มประดาออกมา

ภาพนั้นทำให้เธอดูเหมือนลูกนกตัวน้อยที่เจ็บปวดเพราะพลัดตกลงมาจากรังจนทำให้หญิงสาวผู้เอ่ยถามยกมือขึ้นปิดปากอย่างรู้สึกผิด

ถึงเวลาก่อเชื้อไฟเล็กๆ แล้วล่ะ เชื้อไฟที่เล็กเสียจนไม่มีเศษเล็กเศษน้อยออกมาเลย

แม้จะเป็นเชื้อไฟเล็กๆ ราวเม็ดทรายแต่ไม่นานมันจะใหญ่ขึ้นจนกลืนกินลูกใหญ่ได้ทั้งลูกเลยล่ะ

“ก็ฉันไม่อาจทำให้น้องมิเอลรำคาญใจได้นี่คะ ถึงยังไงเสีย… เราทั้งคู่ก็ต่างกัน…”

อาเรียก้มหน้าลงเล็กน้อย เธอหยุดพูดไปชั่วครู่พลางยกชากุหลาบขึ้นจิบ สีหน้าของเธอที่หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยนั้นช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน

“ถึงตอนนี้ฉันจะเข้ามาอยู่ในตระกูลท่านเคานต์แล้ว… แต่ชาติกำเนิดฉันก็ยังต่างยังต่างกัน มิเอลทั้งฉลาด หน้าตาก็สะสวยแถมทั้งยังน่ารักอีก หากฉันไปอยู่กับเธอคงกลายเป็นตัวปัญหาให้เธอเสียเปล่า ฉันเองก็ต้องเจียมตัวเพราะกลัวไปขัดแข้งขัดขามิเอลเข้าน่ะค่ะ”

อาเรียลูบไล้คุกกี้ไปมาพลางพูดต่อจนจบ

ทุกคนในที่นี้ต่างก็เคยคิดว่าเธอไปขัดแข้งขัดขามิเอลอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง จึงไม่มีใครสามารถเอ่ยปากพูดอะไรออกมาได้เลย

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะข่าวลือก็แพร่สะพัดออกไปว่าแบบนั้น อีกทั้งพวกเธอทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เคยเชื่อข่าวลือนั่นจนกระทั่งได้เจอกับอาเรียจริงๆ

มากไปกว่านั้นทุกคนที่เคยเจออาเรียต่างก็พากันวิจารณ์เธอไปในทางเสียๆ หายๆ ข่าวลือจึงได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา หากได้กลับมาเจอเธออีกครั้งพวกเขาจะต้องข้องใจก่อนที่จะยอมรับได้ว่าอาเรียเปลี่ยนไปแล้วแน่นอน

‘เพราะฉะนั้นพวกเธอก็ต้องทำงานหนักหน่อยนะ’

หลังจากงานเลี้ยงน้ำชานี้จบลง พวกเธอควรรีบกลับไปยังคฤหาสน์ของตัวเองและนำเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ได้เจอมาในวันนี้ไปบอกต่อ แต่แค่ความจริงว่าเธอเป็นคนจิตใจดีนั้นยังไม่เพียงพอ เธอต้องเพิ่มความอยากรู้เข้าไปให้พวกหล่อนอีกข้อหนึ่งด้วย

เหตุใดมิเอลผู้สูงส่งและมีเมตตากรุณาจึงไม่เป็นฝ่ายยื่นมือมาหาอาเรียผู้น่าสงสารก่อนกันล่ะ ทั้งที่อาเรียก็ออกจะน่ารัก ใจดี และใสซื่อบริสุทธิ์ต่างจากข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปจนทั่วเสียขนาดนี้

เพราะหากเป็นมิเอลที่ทั้งสุขุมและใจดีมีเมตตาไม่เหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันแม้จะยังอายุน้อยอยู่ล่ะก็ มันก็ดูน่าสงสัยที่เธอทอดทิ้งพี่สาวคนใหม่ของเธอแบบนี้ ครอบครัวไม่มีทางเชื่อได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเธอยังต้องการหลักฐานอีกเล็กน้อย

“ฉันเลิกคุยเรื่องพวกนี้กันดีกว่านะคะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาเจอกับทุกๆ คนที่อายุเท่าๆ กัน ทำให้ฉันได้มีช่วงเวลาดีๆ ฉันก็เลยอยากคุยแต่เรื่องที่มีความสุขมากกว่าน่ะค่ะ”

อาเรียพยายามยิ้มออกมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ก่อนจะหันไปขอผ้าเช็ดหน้าจากเจสซี่ที่ยืนคอยอยู่ด้านหลังเธอ

เจสซี่แจกกล่องใส่ผ้าเช็ดหน้าที่อาเรียปักเองกับมือให้แก่เด็กสาวแต่ละคน คนละหนึ่งผืน เมื่อเปิดกล่องที่ดูสะอาดบริสุทธิ์พอๆ กับชุดกระโปรงของอาเรียออกดูก็พบกับผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกทิวลิปแสนสวย

“ฉันทำเองหลังจากได้เรียนกับอาจารย์ซาร่าค่ะ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะชอบหรือเปล่านะคะ”

คำว่าอาจารย์ที่เธอพูดออกมาทำให้ซาร่าหน้าแดง

ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกทิวลิปสีแดงมีชีวิตชีวาพาให้บรรยากาศในสวนที่แสนคลุมเครือเต็มไปด้วยไมตรีจิตได้ในพริบตา

ช่างไม่น่าเชื่อเลยที่เธอสามารถปักลายที่ยากขนาดนี้ได้ทั้งที่เธอยังเด็กและเพิ่งเข้ามาอยู่ในตระกูลท่านเคานต์ได้เพียง 1 ปีเท่านั้น

ทุกคนต่างอุทานออกมาและมองดูดอกทิวลิปปักลายตรงนั้นทีตรงนี้ทีพร้อมรอยยิ้มสดใสที่เบ่งบานเต็มใบหน้าไม่แพ้ดอกทิวลิปเลยทีเดียว อาเรียเองก็เบาใจเช่นกันเมื่อคิดว่าเธอได้ทำสิ่งที่ต้องทำในวันนี้เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว

ความจริงแล้วความพยายามเล็กน้อยพวกนี้ไม่ได้ตรงกับความชอบเธอเลย และเธอเองก็รู้สึกเบื่อที่ต้องใช้เวลากับมันอยู่นานจนพาลให้ไม่อยากทำ แต่พอนึกว่ามิเอลเองก็ผ่านหลักสูตรที่แสนยุ่งยากเหล่านี้มาได้ทั้งหมดก็ทำให้เธอมีแรงใจฮึดสู้ขึ้นมา

มิเอลมักจะเข้าร่วมงานสมาคมระหว่างพวกสาวๆ อย่างกระตือรือร้น จนพวกเธอเหล่านั้นกลายมาเป็นผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งและพาลให้ชื่อของมิเอลขจรขจายไปในวงสังคม

‘ใครกันนะ’

หากเธออยากได้มันเธอก็ควรจะได้เขาหรือเธอมาเป็นพวกเธอก่อน เพราะมันคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เธอขัดขวางไม่ให้มิเอลคลานตามขึ้นมาได้

อาเรียพยายามนึกให้ออกว่าใครกันที่เคยเป็นผู้หนุนหลังคนนั้นทำให้เธอไม่ทันได้ยินเสียงที่กำลังเรียกชื่อเธอ

“…คะ”

“มัวคิดอะไรอยู่หรือ ฉันถามว่าเธอใช้เวลาเรียนงานฝีมือนี้นานแค่ไหนเหรอจ๊ะ”

“อ้อ ประมาณเดือนหนึ่งเห็นจะได้ค่ะ”

“ตายแล้ว อย่างนั้นก็แสดงว่าเธอเรียนเรื่องนี้เพียงเดือนเดียวก็สามารถทำได้แล้วเหรอจ๊ะ”

“ฉันขอแก้ให้นะ ที่จริงแล้วใช้เวลาเพียง2 สัปดาห์เท่านั้นแหละจะ”

ซาร่าแทรกขึ้นมาหลังจากเก็บผ้าเช็ดหน้าลงกล่องตามเดิมแล้วส่งต่อให้สาวใช้ของตน สีหน้าของเธอกำลังบอกว่าเธอภูมิใจมาก นั่นเพราะเด็กสาวที่เธอรักและเอ็นดูกำลังได้รับคำชื่นชมนั่นเอง

ตอนนี้เด็กน้อยน่ารักและใจดีที่เคยถูกทุกคนเข้าใจผิดกำลังได้รับการวิจารณ์ที่เหมาะสมแล้ว นั่นทำให้เธอเริ่มรู้สึกหนักใจ

“หากทุกท่านชอบ คราวหน้าฉันจะปักลายอื่นมาให้อีกนะคะ”

“จะไม่รบกวนใช่ไหมจ๊ะ”

“ไม่เลยค่ะ! ไม่รบกวนเลย ก็นี่เป็นงานอดิเรกเดียวของฉันนี่คะ”

ฉันดีใจด้วยซ้ำไปค่ะ หรือถ้าให้ถูกต้องคือเธอดีใจที่สามารถก่อเชื้อไฟร้อนระอุขึ้นในใจของเหล่าบุตรสาวด้วยคำพูดน่ารักๆ ได้ รูปลักษณ์ภายนอกของอาเรียยังเด็กและตัวเล็กจนทำให้เกิดสัญชาตญาณแห่งการปกป้องขึ้นมา และเหล่าบุตรสาวเองก็ยังอายุไม่มากนักนั่นจึงสามารถเป็นตัวช่วยให้แก่เธอได้

เด็กสาวที่อายุอยู่ในช่วง 10 กว่าปีมักจะหลงเชื่อคำพูดที่เขาพูดกันและข่าวลือต่างๆ ได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันหากพวกเธอได้มั่นใจอะไรแล้ว พวกเธอก็จะดื้อดึงและไม่เปลี่ยนใจอีก

และในครั้งนี้ก็คือความเชื่อมั่นที่พวกเธอจะมีต่ออาเรียนั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าฉันขอรบกวนด้วยนะจ๊ะ”

“แน่นอนค่ะ”

“อ้อ แล้วถ้าครั้งหน้าเธอมีเรื่องให้ต้องซื้อเสื้อผ้าอีก ไปกับฉันก็ได้นะ ฉันรู้จักกับดีไซเนอร์ที่ทำเสื้อผ้าสวยมากๆ เป็นอย่างดีเลย มันจะต้องมีชุดที่เหมาะกับเลดี้อาเรียเยอะมาแน่ๆ เลยจะ”

“ฉันขอไปด้วยคนได้ไหมจ๊ะ ฉันเองก็มีร้านบูติกที่รู้จักกันดีอยู่เหมือนกันน่ะ”

คำว่าบุตรสาวแห่งโรสเซนต์ที่เคยใช้เรียกเธอ ตอนนี้ได้กลายเป็นเลดี้อาเรียเป็นที่เรียบร้อย และเหล่าบุตรสาวที่เข้าร่วมงานทุกคนต่างก็อยากทำอะไรให้แก่อาเรียผู้น่าสงสาร ช่างโง่เขลากันเหลือเกิน

“งานเลี้ยงครั้งหน้าจัดข้างนอกก็ไม่เลวนะ ฉันมีร้านขนมที่ไปบ่อย ที่นั่นขึ้นชื่อมากเรื่องมาการองที่หวานจนละลายในปากได้เลยน่ะ”

“ฉันคิดว่าฉันก็น่าจะรู้จักนะ ฉันเคยได้เป็นของขวัญแล้วพอลองทานก็อร่อยจริงๆ จะ”

เสียงหัวเราะผลิบานไปทั่วทั้งสวนด้วยเรื่องราวขนมหวานที่เหล่าเด็กสาววัยเดียวกันชื่นชอบ

พวกเธอต่างสอบถามตารางชีวิตของกันและกันเพื่อตกลงวันนัดครั้งหน้าให้ได้เร็วที่สุด อาเรียเองก็เข้าร่วมด้วยความเต็มใจ

ระหว่างที่กำลังพูดเรื่องวันเวลากันอยู่นั้น บุตรสาวคนหนึ่งที่นั่งฟังอยู่เฉยๆ มาตลอดก็เอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ถ้าไปเจอกันข้างนอกจะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอจ๊ะ ช่วงนี้ยิ่งมีเรื่องไม่ค่อยดีอยู่ด้วยนะ”

“เรื่องไม่ค่อยดีเหรอจ๊ะ”

“ยังไม่ได้ยินกันเหรอ ก็เรื่องท่านไวเคานต์ลูฟร์ยังไงล่ะ”

ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังบุตรสาวที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเป็นประเด็นที่ยังไม่มีใครรู้

หากพูดถึงท่านไวเคานต์ลูฟร์ล่ะก็ จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่ได้ผลกำไรเป็นกอบเป็นกำจากการเปิดคาสิโนคนนั้นไม่ผิดแน่

“ฉันได้ยินมาว่าท่านถูกเปิดโปงว่ามีการค้ามนุษย์ในชั้นใต้ดินของคาสิโนเมื่อไม่กี่วันก่อน และเจ้าชายก็ทรงเป็นผู้สืบค้นด้วยพระองค์เองอีกด้วยนะ”

“พระเจ้า! ว่าแต่ทำไมพวกฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้กันล่ะ”

“นั่นน่ะสิจ๊ะ เป็นไปได้ยังไงกัน”

อาเรียเองก็ตั้งใจฟังอยู่เช่นกัน หากมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งอดีต หลังจากองค์รัชทายาททรงเข้าจับกุมท่านไวเคานต์ลูฟร์แล้ว ผลงานของพระองค์ก็เป็นที่รับรู้ไปทั่วทั้งแผ่นดินทันที แต่ก็น่าสงสัยว่าทำไมรอบข้างยังเงียบอยู่ทั้งที่เรื่องนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้วแท้ๆ

บุตรสาวที่เป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมามองไปรอบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นป้องปากเพื่อบอกข่าวลับนี้ให้ทุกคนฟัง

“ฉันก็ไม่ทราบว่าเป็นไปได้ยังไง แต่ว่ากันว่าองค์รัชทายาททรงปล่อยให้ไวเคานต์ลูฟร์หลุดมือไปได้! ฉันได้ยินมาว่าพระองค์ทรงดูรีบร้อนแปลกๆ ไม่สมกับพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ทรงรอบคอบและทรงใส่พระทัยกับทุกเรื่องเลยนะ”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ยังจับไม่ได้เหรอ”

“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”

“ให้ตายเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคนร้ายค้ามนุษย์ยังลอยนวลอยู่นี่!”

ทุกคนต่างตกอยู่ในอาการตกใจเมื่อได้ยินว่าอาชญากรที่น่ากลัวคนนั้นยังลอยนวลอยู่

และอาเรียคือผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุดในบรรดาบุตรสาวทุกคน ทำไมอดีตส่วนที่ไม่สำคัญถึงเปลี่ยนไปล่ะ ทำไมกัน ทำไมไวเคานต์ลูฟร์ถึงยังไม่โดนจับอีก

ในอดีตนั้นเขาถูกจับได้ในสถานที่เกิดเหตุและต้องรับโทษเป็นเวลากว่าสามชั่วอายุคน ตอนนั้นเธอได้ยินว่าเขาวางแผนหลบหนีไว้ล่วงหน้า แต่แล้วก็ต้องจนมุมเพราะแผนการลับอันแยบยลของเจ้าชายผู้รอบคอบ มกุฎราชกุมารผู้สูงศักดิ์ได้ลั่นวาจาเอาไว้หลายครั้งว่าพระองค์จะทรงช่วยเหลือราษฎรของพระองค์

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แผนการขององค์รัชทายาทถึงได้ผิดพลาดไปแบบนี้

ซาร่าสังเกตเห็นอาเรียที่หน้าซีดและมือสั่นเพราะตกใจที่อดีตเกิดเปลี่ยนไปจึงถามเธอว่าเธอเป็นอะไรหรือไม่แล้วกอดเธอเอาไว้ ริมฝีปากของเธอซีดเผือดอย่างน่าตกใจ

ไม่มีทางที่เธอจะไม่เป็นไร ถ้าแม้แต่เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ไม่เกี่ยวกับตัวเธอยังเปลี่ยนไปได้ ทุกสิ่งที่เธอรู้ก็อาจเปลี่ยนไปได้ในอนาคตเช่นกัน

ความคิดของอาเรียกำลังพันกันจนยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้ายที่แก้ปมไม่ออกเพราะการอุบัติขึ้นของอดีตที่เธอคาดไม่ถึง

ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นไร

เธอเอาแต่พูดกับตัวเองซ้ำๆ อย่างเอาเป็นเอาตายว่าเรื่องราวเล็กน้อยขององค์รัชทายาทเพียงเรื่องเดียวไม่ได้มีผลอะไรกับการแก้แค้นของเธอ

งานเลี้ยงน้ำชาเดินทางมาถึงตอนจบด้วยประเด็นที่น่าขนลุก อาเรียเองก็กลับสู่ตระกูลท่านเคานต์พร้อมกับข้อตกลงของพวกเธอที่ว่าจะงดการรวมตัวไปสักพักจนกว่าไวเคานต์ลูฟร์จะถูกจับได้

เมื่อมาถึงคฤหาสน์อาเรียก็เรียกจอห์นซึ่งเป็นหนึ่งในสองผู้คุ้มกันที่กำลังกลับไปยังตำแหน่งของตนเอาไว้ แล้วสั่งให้เขาเล่าเรื่องของเจ้าชายรัชทายาทให้เธอฟังอย่างละเอียด

เพราะคิดว่าเธออาจจะสบายใจขึ้นหากได้รู้เหตุการณ์ทั้งหมด

…………………………………………….