ภาคที่ 4 บทที่ 14 หลัวช่าน้อยดุร้าย เอ้อร์เป่าผู้วิเศษ

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

โจวจิ่นจ้องมองสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยตรงหน้าไม่ละสายตา

บัดนี้ในสายตาเขา สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยดูเหมือนเด็กสามขวบธรรมดาๆ คนหนึ่ง เพียงแต่มีร่างกายผอมแห้งกว่า ดวงตาที่โตกว่าและผมที่สั้นกว่า แน่นอนว่าไม่ได้สั้นเกินไป เพียงแต่ไม่ยาวพอที่จะมัดให้เรียบร้อย ปล่อยกระเซอะกระเซิงปรกหน้าผากและหู

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดดูน่ากลัว ทว่าความอบอุ่นในดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นกลับชวนให้รู้สึกว่าค่ำคืนช่างสงบสุข

ความรู้สึกเช่นนี้อธิบายยากสักหน่อย เปรียบได้กับหลังสงครามใหญ่จบสิ้น จู่ๆ ทหารผู้ทำศึกตาแดงคนหนึ่งก็นั่งลงบนพื้นทราย แสงอาทิตย์อัสดงสีเหลืองนวล ปักดาบลงบนพื้นข้างกาย ความสงบเช่นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ

สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยจ้องมองดวงตาของเด็กน้อย

เผ่าพ่อมดเน้นฝึกคาถาและศาสตร์กู่ ร่างกายจึงมักจะไม่แข็งแรงเพียงพอ เพื่อปกป้องเผ่านี้ให้ดียิ่งขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องฝึกกองทัพหลัวช่าให้แข็งแกร่ง ด้านการทำลายล้าง หลัวช่าโลหิตเป็นตัวเลือก ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันไม่เพียงแต่มีวิชาต่อสู้ที่ทรงพลัง แต่พลังการฟื้นฟูก็ยังน่าทึ่ง ตราบใดที่ตันโลหิตไม่ถูกทำลาย ร่างกายก็เป็นอมตะ แต่เหตุผลที่เผ่าพ่อมดไม่ทำเช่นนี้ก็เพราะหลัวช่าโลหิตเป็นสิ่งชั่วร้าย

ตั้งแต่การฝึกฝนไปจนถึงการเลื่อนขั้น หลัวช่าโลหิตจำเป็นต้องดูดซับเลือดจำนวนมหาศาล ผลที่ตามมาคือ พวกเขาสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปได้ง่าย และไม่อาจควบคุมยิ่งกว่าซิวหลัวที่กลายเป็นบ้า ดังนั้นเผ่าพ่อมดจึงเลือกหลัวช่าทหารแทน

แน่นอน หลัวช่าทหารก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่ไม่แปลกเท่าหลัวช่าโลหิต

ทว่าสิ่งชั่วร้ายตรงหน้าเขาไม่เหมือนกับสิ่งชั่วร้ายที่โจวจิ่นเข้าใจเลย กล่าวให้ถูกคือ เมื่อครู่ยังเหมือนกัน แต่หลังจากพบกับทารกผู้นี้ สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยก็ดูมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา

โจวจิ่นสังเกตดูอย่างละเอียด และแน่ใจว่าไอโลหิตที่จางหายไปไม่ใช่ภาพลวงตาของตน กายภายในของสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยตนนี้แผ่ไอปราณเย็นยะเยือกออกมาเบาๆ พัดพาไอโลหิตจนสลายไป หรืออาจจะกดกลับสู่กายภายในแล้ว

ไอปราณเย็นยะเยือกนี้ มิใช่โจวจิ่นไม่รู้จัก เขาเคยสัมผัสมันจากร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉา มันมีชื่อที่ไพเราะว่าวิชาอายุวัฒนะ

หรือว่า…เจ้าสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยก็ฝึกวิชาอายุวัฒนะ?

กระบวนท่าเฉพาะของวิชาอายุวัฒนะ โจวจิ่นไม่เคยศึกษา แต่ดูจากพลังทำลายล้างของเยี่ยนจิ่วเฉา วิชาอายุวัฒนะน่าจะสามารถต้านทานสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ได้

ตามหลักแล้ว สิ่งชั่วร้ายไม่มีทางฝึกวิชาอายุวัฒนะและไม่อาจฝึกได้ เว้นแต่ในร่างกายของสิ่งชั่วร้ายนั้นจะมีตันภายในที่สามารถต้านทานวิชาอายุวัฒนะอยู่

ทว่าเมื่อครู่ปล่อยไอโลหิตน่ากลัวเช่นนั้นได้ ทำให้รู้ว่าแท้จริงในร่ายกายของมันเป็นตันโลหิต

“คงมิใช่…เจ้าสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยตนนี้มีตันภายในสองดวงกระมัง?”

ดวงหนึ่งคือตันภายในของวิชาอายุวัฒนะ อีกดวงหนึ่งคือตันโลหิตของวิชามารโลหิต

การคาดเดานี้ไร้สาระยิ่งนัก อย่างไรจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดมีตันภายในสองดวง นับประสาอะไรกับตันภายในสองดวงที่ต่อต้านกัน ทว่าหากรวมกับคำพูดของทหารเผ่ามารแล้ว โจวจิ่นรู้สึกว่าสมมติฐานนี้อาจเป็นความจริงก็ได้

เหล่าทหารเผ่ามารเรียกมันว่าร่างรวมของเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมาร บางทีอาจหมายถึงสิ่งนี้?

แม้ว่าโจวจิ่นอยากเข้าใจความลึกลับของสิ่งชั่วร้ายตัวน้อย ทว่าบัดนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีนัก ทหารเผ่ามารสี่คนตายที่นี่ ไม่รู้ว่าเสียงเคลื่อนไหวเมื่อครู่ดังออกไปหรือไม่ ทว่าต่อให้ไม่ดังออกไป หากสหายของทหารทั้งสี่รู้ว่าพวกเขาเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ต้องพบว่าพวกเขาหายตัวไปด้วยมิใช่หรือ?

ตัวประกันสำคัญอย่างทั้งสองถูกพวกเขาสี่คนนำเข้ามา เห็นได้ว่าทั้งสี่มิใช่คนเกียจคร้าน ไม่นานวังมารก็คงรู้ว่าพวกเขาหายตัวไป

โจวจิ่นใช้พลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ย้ายศพคนทั้งสี่เข้าไปในโลงศพหยกแล้วปิดฝา เอ่ยกับหลัวช่าน้อยว่า “ข้าจะไปแล้ว เจ้าจะไปหรือไม่?”

หลัวช่าน้อยไม่ตอบ แต่มองทารกหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนอย่างเชื่อฟัง

โจวจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เจ้ารู้จักนางหรือ?”

หลัวช่าน้อยเรียนรู้คำพูดของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ “อูว้าอูว้า”

โจวจิ่น “…”

จู่ๆ โจวจิ่นก็คาดเดาว่า “นางคงไม่ใช่น้องสาวเจ้ากระมัง?”

ไม่เช่นนั้นจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันอย่างไร?

หลัวช่าน้อยอ้าปาก “น้อง สาว”

โจวจิ่นตกตะลึง “เป็นน้องสาวของเจ้าจริงๆ ด้วยรึ!”

หลัวช่าน้อยแค่กำลังเป็นนกแก้วเรียนภาษาเท่านั้น แต่โจวจิ่นกลับเข้าใจว่าเขาเป็นพี่ชายของทารกหญิงจริงๆ จะว่าไปข้อสรุปนี้ก็ค่อนข้างน่าเชื่อถือ คนเราจะสามารถกลับเนื้อกลับตัว ก็ยามอยู่ต่อหน้าญาติสนิทของตนมิใช่หรือ

ห่วงใยน้องสาวตนเช่นนี้ ทำให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ของมันก็มิได้หายไปโดยสิ้นเชิง

โจวจิ่นเดินไปหาหลัวช่าน้อย เอื้อมมือออกไปกอดเยี่ยนเสี่ยวซื่อ “เอาละ ส่งน้องสาวมาให้ข้าเถอะ พวกเราต้องไปจากที่นี่ก่อน”

ทันใดนั้นหลัวช่าน้อยก็กลายร่างเป็นถังเล็กๆ พุ่งใส่โจวจิ่น!

ฉากนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป โจวจิ่นไม่ทันตั้งตัว รู้สึกตัวอีกทีจะใช้พลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็สายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงรีบขว้างอาวุธเวทป้องกันตัว มันคือเจดีย์ที่ชาวนิกายศักดิ์สิทธิ์มอบให้เขาไว้

กล่าวว่าหากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายก็อย่าได้นำออกมาใช้ เพราะมันสามารถป้องกันการโจมตีรุนแรงของผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารได้

แต่แล้ว ของช่วยชีวิตเช่นนี้ก็ถูกพับไว้ในมือของหลัวช่าน้อย

โจวจิ่นไม่คิดว่าหลัวช่าน้อยจะดุร้ายถึงเพียงนี้ แม้เจดีย์จะไม่แตก แต่ก็ถูกชนจนร้าว บางทีเจดีย์เช่นนี้อาจจะใช้ทีหลังได้ แต่ไม่อาจใช้กับยอดฝีมือระดับสูงได้

“ข้า…” โจวจิ่นปวดฟันเหลือเกิน “ข้าแค่กลัวเจ้าอุ้มไม่ไหว เลยจะช่วยเจ้าอุ้มเท่านั้น”

หลัวช่าน้อยอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อเหาะไปบนโลงศพหยก ก้มลงมองโจวจิ่นและแยกเขี้ยวใส่อย่างดุร้าย!

โจวจิ่นกุมขมับอย่างหมดหนทาง

ปีนี้จะเป็นคนดียากเย็นเช่นนี้เชียวหรือ?

แน่นอนว่ากำลังของหลัวช่าน้อยอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อได้ แต่เขาตัวเล็ก แขนสั้น เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็อวบอ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่าทางอุ้มคนของเขาจึงดูตลกยิ่งนัก

โจวจิ่นเดินอยู่ด้านหน้า เหลือบมองสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉยเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังคงกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว

หลัวช่าน้อยเห็นสายตาของเขา พลันแยกเขี้ยวใส่อย่างดุดัน!

ทั้งสามออกจากเขตหวงห้ามโดยไร้อุปสรรคขัดขวาง

“เจ้ามีครอบครัวอยู่ที่นี่อีกหรือไม่?” โจวจิ่นถามหลัวช่าน้อย

หลัวช่าน้อยยังคงไม่ตอบ

โจวจิ่นสูดหายใจและเอ่ยว่า “ข้ามีคนติดตามถูกขังอยู่ที่นี่ ข้าต้องไปตามหาเขา หรือไม่พวกเจ้ามากับข้า หลังจากหาเขาเจอแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าออกไป ข้าจำทางเข้ามาได้”

โจวจิ่นไม่แน่ใจว่าสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยจะเข้าใจคำพูดของตนหรือไม่ แต่เมื่อเขาเลี้ยวขวาไปตามหาคน สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยก็อุ้มทารกตามไป

โดยธรรมชาติ หลัวช่าน้อยไม่เดินตามถนนเช่นคนปรกติ เขาอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ใช้วิชาตัวเบากระโดดเหาะเหินไปในความมืดด้วยความเร็วที่มองไม่เห็น

กลับคาดไม่ถึงว่า หลังพวกเขาออกมาจากโถงมืดไม่นาน ไข่น้อยทั้งสามกับนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ก็มาตามหา

ไข่น้อยทั้งสามโผล่หัวเล็กๆ จากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ก็โผล่หัวนกของตนมองไปทางโถงมืดอย่างลับๆ ล่อๆ

“ปลอดภัย!” เสี่ยวเป่ากล่าว

ต้าเป่าพยักหน้า ก้าวออกมาอย่างระมัดระวัง

เสี่ยวเป่ากับเอ้อร์เป่าก็ตามหลังไปติดๆ

นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ก็เดินตามไป

ชายชรามองดูไข่น้อยทั้งสามเข้าใกล้โถงมืดอย่างไม่มีสิ่งใดที่แย่ไปกว่านี้ “บอกตามตรงนะ พวกเจ้าไม่ต้องไปที่นั่นหรอก ไอมารที่นั้นรุนแรงมาก ข้าสงสัยว่าด้านในนั้นจะมียอดฝีมือเผ่ามารที่ดุร้ายยิ่งนัก ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้า…แค่ก ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะสามารถจัดการได้”

“ขี้ขลาด!” เสี่ยวเป่าสะบัดหน้าเอ่ย

“แบร่!” เอ้อร์เป่าแลบลิ้นใส่เขา

ชายชรา “…”

เอาเลยๆๆ เข้าไปเลย พวกเจ้าคงเข้าไปได้กระมัง?

แน่นอน ไข่น้อยทั้งสามพุ่งเข้าไปข้างในอย่างกล้าหาญ เพื่อน้องสาว แม้แต่เอ้อร์เป่าที่กล้าหาญน้อยที่สุดก็ยังไม่ทำตัวเป็นเด็ก

ทว่าสิ่งที่ทั้งสามไม่คาดคิดคือ เมื่อพวกเขาเดินไปได้ครึ่งทางก็ถูกวัตถุที่มองไม่เห็นขวางไว้

“โอ้ย หัวข้า” เอ้อร์เป่ากุมหน้าผากที่เจ็บปวด

เสี่ยวเป่ายื่นนิ้วออกมาจิ้มเกราะกำบังที่คล้ายคลื่นน้ำตรงหน้าเขา ยามไม่สัมผัสมองไม่เห็น ต้องจิ้มดูเท่านั้นจึงเผยรูปร่าง

“นี่มันอะไร?” เสี่ยวเป่าถาม

ต้าเป่าก็ไม่รู้

ต้าเป่ามองไปที่ชายชรา

ชายชราไอเบาๆ “นี่เป็นม่านพลังของเผ่ามาร เทียบได้กับระฆังทองขนาดใหญ่ ซึ่งครอบคลุมทั่วทั้งวัง ไม่สามารถเข้าไปได้หากไม่มีกุญแจ”

ซึ่งก็หมายความว่า การขี่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์เข้าไปก็ไม่อาจทำได้

เสี่ยวเป่าอ้าปากจะกัด แต่ก็ลื่นจนกัดไม่เข้า

ต้าเป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดึงมีดสั้นจากเอวฟันฉับ!

นี่เป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่ถูกหลอมขึ้นโดยสกุลซาง หากเรียกว่าเป็นอาวุธเทพก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง แต่แล้วมันก็ไม่อาจทำอะไรม่านพลังได้

เมื่อแทงมีดสั้นเข้าไป ราวกับแทงเข้าไปในกลุ่มก้อนน้ำที่เคลื่อนไหว น้ำสามารถตัดให้เป็นรูได้หรือ? คำตอบคือไม่

เอ้อร์เป่าร้อนใจจนร้องไห้ “ทำอย่างไรดีละ? หาน้องสาวไม่เจอ…ฮือๆๆ…”

เขาเกาะม่านพลังระเบิดเสียงร้องไห้ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มหยดลงมา ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ม่านพลังที่เคยดื้อดึงไม่เปลี่ยนแปลงเปิดออกอย่างไม่รู้สาเหตุ

ไม่มีใครเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ม่านพลังด้านหน้าเอ้อร์เป่าสลายออกเป็นจุดแรก เขารีบถลาเข้าไป “โอ๊ย!”

………………………