ชายสวมหน้ากากทั้ง 2
ต้วนหลิงเทียนพบว่าตอนนี้ทะเลปราณของเขา คล้ายแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นทะเลสาบเล็กๆ ซึ่งแตกต่างจากทะเลปราณก่อนหน้ามากมายนัก
ทะเลปราณก่อนหน้านั้น อย่างดีคงเรียกได้ว่าแอ่งน้ำขังขนาดใหญ่เท่านั้น
และจากที่เขารู้มา กระทั่งทะเลปราณของผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋า ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนอกจากกระแสน้ำสายหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นทันทีที่เขาส่องภายในสำรวจทะเลปราณของเขารอบนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเขาได้ทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นกลางแล้ว…ถึงแม้เรื่องราวจะน่าเหลือเชื่อ แต่มันเป็นความจริง!
“ผู้เฒ่าหั่ว…เรื่องนี้”
ต้วนหลิงเทียนมองผู้เฒ่าหั่วเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น ในใจมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย จนถึงขั้นที่เขาไม่รู้จะถามอะไรออกมาก่อนดี!
“มีอันใดค่อยถามภายหลัง…ที่สำคัญตอนนี้ เจ้าออกไปจัดการผู้สอดแนมทั้ง 2 นั่นก่อนเถอะ”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะลงจากชั้น 3 กลับไปยังชั้นที่ 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
ใบหน้าซีดเซียวคล้ายชราลงไปหลายปีของผู้เฒ่าหั่ว ไหนเลยต้วนหลิงเทียนยังไม่เห็นได้ กระทั่งยังเห็นได้ชัดเจน เขาจึงรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะไปเซ้าซี้ถามหาความจริงอะไรจากผู้เฒ่าหั่ว
“ไอ้พวกสกุลโอวหยาง…พวกเจ้ามันแส่หาเรื่องเอง”
ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มที่มุมปาก
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รีบร้อนออกไป แต่เริ่มทดสอบพลังของเขาอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสียก่อน
ตอนนี้ปราณแท้ในร่างของเขามหาศาลดั่งน้ำในทะเลสาบ ยามเร่งเร้าใช้ออก พวกมันแล่นพล่านผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายด้วยความเร็วอันน่ากลัว
“ตอนนี้ต่อให้เทียบกับสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถในการปะทุพลังของพวกมัน ไม่เว้นการจ่ายปราณแท้ออกไป เพื่อใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา สรรพสัตว์ กระทั่งก่อเขตแดน พวกมันก็เทียบข้าไม่ได้”
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนมั่นใจนัก
หากเขาจะเปรียบเทียบปราณแท้ของเขาเป็นดั่งรถยนต์ในชีวิตที่แล้ว ชีพจรเซียนนั้นก็เสมือนถนนหนทาง
ตอนนี้เขาสามารถขับรถยนต์หลายคัน ไปตามถนนหนทางหลายสายได้พร้อมๆกัน!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีแก่ใจ ว่าพลังฝีมือของตัวตนสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการปะทุจ่ายพลัง ยึดติดกับชีพจรเซียนอะไร ต้องมองถึงความสามารถในการใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา และปราณแท้ก่อเขตแดนอีกด้วย
ทั้ง 3 กลวิธีนั้นต้วนหลิงเทียนเคยเห็นมาแล้ว ย่อมทราบความสูงต่ำของพวกมันดี
“แต่ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนไม่ว่าจะยุทธ์หรือเต๋าในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็ไม่อาจเอาชนะข้าได้ ถึงพวกมันจะใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราก็ตาม!”
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญจะเสมือนอยู่กับคนละโลกกับสู่เซียนขั้นกลางเพราะความสามารถปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา แต่พลังอำนาจก็ยังมีขีดจำกัด
ด้วยพลังที่เขามีตอนนี้เขาสามารถสยบสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญได้ไม่ยากเย็น เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นตัวตนผิดแปลกอย่างสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญที่สามารถเอาชนะศัตรูที่มีระดับเหนือกว่าได้!
แน่นอนว่าหากเป็นสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ เขาไม่กล้ารับประกันว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ
เพราะสุดท้ายแล้วสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบไม่ได้เหนือกว่าสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญในแง่ของพลังเท่านั้น พวกมันยังมีกลวิธีใช้พลังอย่างปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์เพิ่มขึ้นมา!
หลังจากใช้เวลาในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปไม่กี่ชั่วยาม ต้วนหลิงเทียนก็ทำความคุ้นเคยกับระดับพลังในร่างของเขา ก่อนที่จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปในที่สุด
‘จริงสิพอระดับพลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้า พลังวิญญาณของข้าเองก็ก้าวหน้าเพิ่มพูนขึ้นตามไปด้วย…ข้าสามารถจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้แล้ว!’
เมื่อกลับมายืนอยู่ในห้องหับของโรงเตี๊ยมที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็คิดในใจอย่างยินดี
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินออกจากห้อง กระทั่งออกจากโรงเตี๊ยมมาเดินในถนนยามค่ำคืน
“หืม? นั่นมันคิดไปที่ใดกัน?”
เมื่อต้วนหลิงเทียนออกมาถึงถนนหน้าโรงเตี๊ยม มุมหนึ่งด้านหน้าโรงแรมห่างออกไปไกลๆ ปรากฏร่าง 2 ร่างในชุดโม่งดำจับตาดูอยู่
ร่างสองร่างนี้สวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้ามิดชิด
ตอนนี้เองถนนหนทางก็มืดมิด ไร้ผู้ใดสัญจรไปมา
“ท่านปู่ชาน รีบตามมันไปดูกันเถอะ”
ชายในชุดโม่งดำสวมหน้ากากคนหนึ่งกล่าวกับอีกคนด้วยความกระตือรือร้น
ชายในชุดโม่งดำสวมหน้ากากอีกคนไม่กล่าวคำใด เพียงพยักหน้าและนำพาร่างข้างกายติดตามต้วนหลิงเทียนไปอย่างเงียบงัน
‘มีสองคนจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนที่เดินนำอยู่จับสัมผัสได้ทันทีว่ามีร่าง 2 ร่างกำลังลอบสะกดรอยตามเขามา ถึงแม้จะไม่ได้หันหลังกลับไปมองก็ตามที
แน่นอนว่าถึงแม้ตอนนี้เขาจะหันหลังกลับไปมอง แต่เกรงว่าคงไม่อาจสังเกตเห็นร่าง 2 คนที่กำลังสะกดรอยตามเขามาได้
เพราะทั้ง 2 คนนั้นมันลอบเร้นติดตามเขามาในมุมอับ ที่สำคัญถนนหนทางยังมืดมิดไร้แสงเทียนโคม
‘ตอนนี้พอด่านพลังฝึกปรือของข้าทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นกลาง และด้วยทักษะวิญญาณลี้ลับเนตรเทวะ ข้าสามารถตรวจสอบพลังฝึกปรือรวมถึงอายุพวกมันได้ง่ายๆ โดยที่พวกมันไม่รู้สึกตัวแล้วสินะ!’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนลอบแผ่พลังวิญญาณออกไปทันทีโดยยังไม่ได้ใช้เนตรเทวะแต่อย่างไร ไม่นานเขาก็ค้นพบพลังฝึกปรือของผู้ที่กำลังสะกดรอยตามเขา
‘อะไร? สู่เซียนขั้นต้น? นี่มันกล้าสะกดรอยตามข้ามาทั้งๆที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยแบบนี้นี่นะ?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง เมื่อรู้ถึงพลังฝึกปรือของคนที่สะกดรอยตามมา
‘ไม่สิ! เจ้านี่มันถูกอีกคนซ่อนตัวเอาไว้…ข้าคงไม่อาจสัมผัสถึงมันได้ด้วยซ้ำหากด่านพลังฝึกปรือของข้ายังไม่บรรลุถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นกลาง…หากไม่ใช่เพราะมันเองมีวิชาเร้นกายชั้นยอด ก็ต้องอาศัยยอดฝีมือช่วยปกปิดมันเอาไว้เท่านั้น’
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบสิ่งผิดปกติ
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนจึงเริ่มใช้เนตรเทวะตรวจสอบ คนอีกคนทันที
ทันทีที่ค้นพบพลังฝึกปรือของอีกคน ใจต้วนหลิงเทียนก็เต้นรัวขึ้นทันใด
‘สู่…สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ!’
ใจต้วนหลิงเทียนจมลงโดยพลัน ‘กระทั่งพ่อบ้านตระกูลโอวหยางยังมีพลังฝึกปรือเพียงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ…ตัวตนที่มีพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบในตระกูลโอวหยางสมควรมีน้อยคน…มันสมควรเป็นผู้อาวุโส!’
‘ตระกูลโอวหยาง…พวกเจ้านับว่าเอาเรื่องนัก ถึงกับใช้สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบมาสอดแนมข้า!’
ตอนนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ!
เขาไม่ได้คิดจะข้องเกี่ยวอะไรกับตระกูลโอวหยางแล้วแท้ๆ หาไม่แล้วเขาคงไม่เลือกปฏิเสธคำเชิญของผู้นำตระกูลโอวหยางแต่แรก
แต่ใครจะไปคิดว่าตระกูลโอวหยางกับกล้าทำเรื่องแบบนี้ลับหลัง!
ดึกๆดื่นๆแบบนี้ กลับส่งยอดฝีมือมาทำลับๆล่อๆสอดแนมทั้งสะกดรอยตามผู้คน เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?
คิดฆ่าชิงทรัพย์งั้นเหรอ?
สูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ที ต้วนหลิงเทียนก็ระงับเพลิงโทสะที่ลุกโชนในใจ หวนคืนสู่ความสงบ และเริ่มคิดว่าจะจัดการพวกมันอย่างไรดี
ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเลี้ยวและเดินไปยังถนนสายหนึ่ง
ถนนสายนี้ยังเป็นเส้นทางสายหลักของเมืองหานเหอ แม้จะดึกดื่นมืดค่ำแล้ว แต่ยังพบเห็นผู้คนสัญจรอยู่บนถนนบ้างประปราย
“นั่นมันคิดไปที่ใดกัน?”
หนึ่งใน 2 ร่างโม่งดำหน้ากาที่ลอบติดตามมา อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามขึ้นมาลอยๆด้วยความร้อนใจ
“ลองตามไปดูก่อนเถอะ”
โม่งดำสวมหน้ากากอีกคนยังคงสงบ และจากเสียงชราที่กล่าวออก เผยให้เห็นว่ามันมีอายุไม่น้อยแล้ว
“หืม? นี่มันทิศทางไปยังที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตรมิใช่หรือ…เจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนของ 9 พันธมิตรจริงๆ?”
มันเดินตามต้วนหลิงเทียนมากว่า 2 เค่อแล้ว เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตามถนนสายหลัก ชายโม่งดำคนหนึ่งกล่าวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงชรา ในน้ำเสียงยังแฝงความหวั่นเกรงไม่น้อย ฝีเท้าชะลอลงเผยความลังเล
“ท่านปู่ชานสำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตรยังอยู่อีกไกล บางทีนี่อาจเป็นทางผ่านของมันเฉยๆก็ได้”
ชายในโม่งดำอีกคนกล่าว “ลองตามมันไปดูก่อนเถอะ”
โม่งดำคนก่อนหน้าที่ยังคงลังเลไม่น้อย แต่ในที่สุดก็พยักหน้าและลอบติดตามต้วนหลิงเทียนไปต่อ มันยังคงหอบหิ้วร่างโม่งดำอีกคนไปด้วยเหมือนแต่แรก
และพอมันเห็น ‘เป้าหมาย’ หยุดร่างลงที่แยกหนึ่ง ไม่เดินไปยังถนนมุ่งทิศเหนือสืบต่อ แต่เลี้ยวออกไปทางตะวันตก โม่งดำที่มีน้ำเสียงชราแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจทันที เพราะมันกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนของ 9 พันธมิตรจริงๆ
คนของ 9 พันธมิตรนั้น ล้วนมาจากขุมพลังชั้น 7 ทั้งสิ้น!
หากมันฆ่าอีกฝ่ายโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
แต่หากเรื่องแดงขึ้นมา ย่อมเป็นหายนะสำหรับตระกูลที่อยู่เบื้องหลังแน่นอน
“ข้าบอกท่านแล้วอย่างไรเล่า อย่างมันน่ะหรือจะมีสัมพันธ์กับ 9 พันธมิตรได้”
ชายในชุดโม่งดำอีกคนที่เสียงหนุ่มกล่าวออก
‘ยังดีที่พวกมันตามมาอย่างที่คิด…เมื่อกี้ถ้าข้าเลือกเดินต่อมุ่งหน้าไปทาง 9 พันธมิตรเกรงว่าพวกมันคงไม่กล้าตามมาแน่’
อย่างไรก็ตามชายในชุดโม่งดำสวมหน้ากากทั้ง 2 ไม่รู้เลย ว่าต้วนหลิงเทียนเป้าหมายของพวกมันนั้น ได้สัมผัสถึงความลังเลที่เพิ่มขึ้นทุกขณะจากพวกมัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนทางไปยังทิศตะวันตกแทน…
ถนนมุ่งตะวันตกนั้นเป็นถนนที่เปลี่ยวร้างมาก ยิ่งมาก็ยิ่งมีอาคารบ้านเรือนน้อยลง สุดท้ายก็มาถึงสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
สถานที่ห่างไกลนี้ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง เพราะมันเป็นสถานที่ทิ้งขยะของเมืองหานเหอ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดจะมาเยือนสถานที่แห่งนี้ เว้นแต่จะเป็นผู้ที่มีหน้าที่กำจัดขยะของเมืองหานเหอแทบไม่มีใครเฉียดกราย
และสถานที่แห่งนี้ยังมีพื้นที่กินอาณาบริเวณไปกว่า 2 ลี้
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงใจกลางของพื้นที่ทิ้งขยะ ก่อนที่ร่างจะหยุดลง
ขณะเดียวกันเขาก็หันหลังกลับมา
ทันใดนั้นชายในชุดโม่งดำสวมหน้ากากทั้งสอง ก็เร่งวูบร่างไปหลบหลังกองขยะกองโตกองหนึ่งทันที
‘มันนับว่าระวังตัวนัก’
หนึ่งในสองร่างที่แอบซอนหลังกองขยะ ลอบมองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ห่างไกลจากช่องเล็กๆ มันครุ่นคิดกับตัวเอง ประกายตายังทอแสงเย็นออกมาวูบหนึ่ง
“จึกๆๆ…”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ก่อนที่จะมองไปยังกองขยะที่ร่างโม่งดำสวมหน้ากากทั้ง 2 ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง “พวกเจ้า 2 คนลอบสะกดรอยตามข้ามาตั้งแต่หน้าโรงเตี๊ยม ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเจ้าก็สมควรออกมาได้แล้วมั้ง นี่พวกเจ้าคิดจะตามข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
หากต้วนหลิงเทียนไม่กล่าวคำว่า ‘2 คน’ ออกมา ชายโม่งดำหน้ากากทั้ง 2 คงคิดว่าเขาแค่กล่าวหลอกล่อ
เพราะสุดท้ายแล้ว ก็มีคนมากมายนัก ที่ชอบกล่าววาจาทำนอง “ข้าพบเจ้าแล้ว” หรือ “โผล่หัวออกมาอย่าได้ซ่อนตัวอยู่อีกเลย” เพราะมีความกังวลว่าจะมีคนลอบติดตามมา ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครติดตามมาหรือไม่!
ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับกล่าวออกมาชัดเจนว่า ‘พวกเจ้า 2 คน’ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดเจน…ว่าอีกฝ่ายรู้แต่แรกแล้วจริงๆว่ามีคนลอบสะกดรอยตามมา!
“เฮอะ! ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้ตัวได้!”
ในขณะที่โม่งดำเสียงชรายังประหลาดใจไม่หาย โม่งดำอีกคนพลันพ่นลมกล่าวพร้อมก้าวออกมาจากด้านหลังกองขยะ
โม่งดำหน้ากากเสียงชราก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามออกมา ทว่าแลดูแล้วอาการมิค่อยสู้ดีสักเท่าไร
โม่งดำหน้ากากที่ตามออกมาภายหลังนั้นยังมีท่าทางปลอดโปร่งเหมือนโม่งดำหน้ากากที่ออกมาคนแรก แต่ในแววตาของมันเผยความจริงจังไม่น้อย
นั่นเพราะมันมั่นใจในวิชาปกปิดตัวเองมาก
ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์กลับค้นพบมันได้?
ทันใดนั้นสองตาของโม่งดำหน้ากากคนหลังก็ทอแสงเรืองวูบ เร่งใช้ทักษะวิญญาณลี้ลับออกมาทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็สัมผัสได้ทันทีถึงพลังวิญญาณขุมหนึ่งที่พุ่งเข้ามาหมายตรวจสอบพลังฝึกปรือของเขา
“เหอะ!”
ต้วนหลิงเทียนแค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์คำหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ลงมือเพื่อหยุดอีกฝ่าย ปล่อยให้มันสำรวจพลังฝึกปรือของเขาได้ตามใจ
ถึงแม้ว่าวิชาเนตรเทวะที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดให้เขา นั้นยังมีเคล็ดลับที่ไว้ใช้ระงับพลังวิญญาณของผู้อื่นที่แผ่พุ่งมาหมายสำรวจตัวเอง อย่างไรก็ตามเคล็ดลับดังกล่าวจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อพลังวิญญาณของเขาอยู่ในขอบเขตเซียนขึ้นไป
ตอนนี้เขายังไม่อาจใช้ได้
“สู่เซียนขั้นกลาง!”
หลังจากค้นพบพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียน โม่งดำหน้ากากคนนั้นพลันกล่าวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบชราทันที…