บทที่ 968 ร้านโฉมเมฆา โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากสั่งลูกน้องที่เป็นกำลังหลักแล้ว โค่วเหวินหลานก็ออกจากจวนผู้บัญชาการและมุ่งตรงสู่ร้านสมาคมวีรชน
เจอศัตรูบนทางแคบ คนที่เข้าประตูกับคนที่ออกประตูเจอกันแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะออกมาจากข้างใน พอเห็นเขาก็ขยับตัวขวาง จงใจขวางทางโค่วเหวินหลาน แล้วแสยะยิ้มทักทาย “ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ข้าอยากจะไปไหนมันก็เรื่องของข้า เจ้าเป็นคนเปิดร้านสมาคมวีรชนรึไงล่ะ?”
“อย่าลืมนะว่าที่นี่คืออาณาเขตของใคร!”
“ไอ้หมีควายเน่า เห็นแก่หน้าท่านแม่ทัพ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าแส่หาเรื่องจะดีกว่า”
“ยังไม่รู้เลยว่าใครปล่อยใครกันแน่!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดเหยียดหยามแต่กลับต้องหลีกทาง จากนั้นเดินก้าวยาวออกไป ก็ช่วยไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ปี้เยว่ฮูหยินลั่นวาจาแล้ว ว่าให้พวกเขาสองคนแสดงฝีมือที่แท้จริงกับเรื่องเฮยหวัง ห้ามทั้งสองก่อเรื่องทะเลาะกันที่นี่อีก ทั้งสองตอบตกลงไปแล้วด้วย
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะออกไป โค่วเหวินหลานก็มาอีกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวปวดหัวนิดหน่อย แต่ยังใช้ใบหน้ายิ้มรับแขก หลังจากนั่งลงในศาลาและวางน้ำชาแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ถอนหายใจแล้วถามว่า “ผู้บัญชาการโค่วให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”
โค่วเหวินหลานตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าหมีควายนั่นมาเพราะเรื่องอะไร ข้าก็มาเพราะเรื่องนั้น จวินโหรว ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกันแล้ว ข้าจะเปิดอกพูดตรงๆ นะ ใช้กำลังของสมาคมวีรชนช่วยข้าหาที่กบดานของเฮยหวังหน่อย!”
“เจ้ามาหาผิดคนแล้วรึเปล่า คนที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์ยังหาไม่เจอ พวกเราจะไปหาเจอได้อย่างไร” หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้วตอบ
โค่วเหวินหลานจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “รู้อยู่แจ่มแจ้งทำไมต้องแกล้งโง่ สมาคมวีรชนของพวกเจ้าทำงานอะไร เจ้ารู้ ข้าก็รู้เหมือนกัน ตำหนักสวรรค์อยู่ในที่แจ้ง พวกเจ้าอยู่ในที่ลับ ในมุมมืดที่ตำหนักสวรรค์มองไม่เห็น สมาชิกจากสามลัทธิเก้านิกายของสมาคมวีรชนเกรงว่าจะอยู่ในนั้นด้วย เห็นแก่ที่เป็นสหาย ช่วยเหลือนิดหน่อยเท่านั้นเอง!”
“ในเมื่อเจ้าพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีนะ ถ้าต้องใช้งานสมาคมวีรชนเพื่อหาเฮยหวังจริงๆ คงไม่ถึงคราวที่เจ้าต้องเอ่ยปากหรอก เบื้องบนคงเอ่ยปากตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องที่โดนบีบจนหมดหนทาง เบื้องบนก็ไม่เคยใช้งานสมาคมวีรชนเลย ไม่อย่างนั้นถ้าใช้งานสมาคมวีรชนไปเสียทุกเรื่อง แล้วจะมีทหารสวรรค์อย่างพวกเจ้าไว้ทำอะไรล่ะ? ถ้าใช้งานสมาคมวีรชนทุกเรื่อง แล้ววุ่นวายจนทั้งใต้หล้ารู้เบื้องลึกของสมาคมวีรชน แบบนั้นสมาคมวีรชนก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว แทนที่จะไปขอให้อำนาจของตระกูลโค่วช่วยหา เจ้ากลับมาหาข้า เจ้ามาหาผิดคนแล้วจริงๆ” หวงฝู่จวินโหรวกล่าว
“มีกำลังช่วยเพิ่มอีกแรง โอกาสที่จะหาพบก็เร็วขึ้นอีก จวินโหรว เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?” โค่วเหวินหลานถาม
หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “โค่วเหวินหลาน เจ้าประเมินข้าสูงเกินไปจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องแบบนี้ ต่อให้ข้ามีอำนาจตัดสินใจ แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า… ในเมื่อเจ้ารู้ว่าสมาคมวีรชนฟังคำสั่งใคร ถ้าแม้แต่ตระกูลโค่วของเจ้ายังใช้งานสมาคมวีรชนได้ ถ้ายั่วให้ท่านนั้นระแวง อย่าว่าแต่สมาคมวีรชนของข้าที่จะซวย เกรงว่าแม้แต่ตระกูลโค่วของเจ้าก็จะเจอหายนะเหมือนกัน เจ้ามีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่ คงจะเคยได้ยินผลลัพธ์ของการทำผิดข้อห้ามมาบ้าง อำนาจสวรรค์ยากที่จะคาดเดา เจ้าอยากจะแบกผลลัพธ์แบบนี้จริงเหรอ? ถ้าเปลี่ยนให้ท่านผู้เฒ่าตระกูลเจ้าทำเรื่องนี้ เขาจะไม่มาหาสมาคมวีรชนแน่นอน เจ้า… เห็นแก่ที่เป็นสหายกัน ขอโทษที่ข้าพูดตรงๆ นะ เจ้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เกรงกลัวสิ่งใดจนกลายเป็นนิสัย พอก้าวออกจากบ้านก็ได้เป็นผู้บัญชาการเขตเลย ยังขาดประสบการณ์ ขนาดปี้เยว่ฮูหยินที่เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยังกล้ามองข้ามหัว ต่อให้พวกเจ้าจะมีคนหนุนหลังยังไง แต่ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกอยู่ดี ไม่ผิดหรอก ปี้เยว่ฮูหยินทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้ แต่คนทั้งตำหนักสวรรค์ไม่มีใครชอบคนไม่สนกฎระเบียบแบบนี้ ถึงอย่างไรท่านผู้เฒ่าของตระกูลเจ้าก็ปิดบังความจริงไม่ได้ คำพูดของคนน่ะน่ากลัว คำพูดของฝูงชนพลิกดำเป็นขาว พลิกขาวเป็นดำได้ อย่าทำลายอนาคตของตัวเอง ดังนั้นประสบการณ์ในด้านนี้ของพวกเจ้ายังน้อยไปหน่อย ควรเรียนรู้จากท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าให้เยอะๆ เรื่องที่ไม่ควรไปแตะต้องก็อย่าไปแตะต้อง ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าเรื่องนี้ไม่ได้!”
คำพูดตอนท้ายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนให้โอวาท แต่โค่วเหวินหลานกลับตกอยู่ในความเงียบแล้ว หลังจากผ่านไปนานถึงได้พยักหน้าบอกว่า “ได้รับบทเรียนแล้ว คิดเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้!” พูดจบก็กุมหมัดคารวะ แล้วลุกขึ้นเดินจากไป…
โค่วเหวินหลานจะหาข่าวเฮยหวังได้เมื่อไร เหมียวอี้ก็ไม่รู้ หลังจากนั้นหนึ่งเดือนอวิ๋นจือชิวกลับพาคนมาแล้ว
นางพาบัณฑิต พ่อครัว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ แล้วก็คนงานไม่กี่คนของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ทั้งหมดเป็นคนที่ค่อนข้างไว้ใจได้ ถึงแม้คนงานคนอื่นจะเชื่อใจได้มาก แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะพามาด้วยทั้งหมด ทางพิภพเล็กยังต้องมีคนเฝ้า ส่วนคนที่พามาก็เตรียมจะเฝ้าอยู่ที่นี่ในระยะยาว
เยารั่วเซียนออกจากดาวไร้ลักษณ์มาที่นี่เช่นกัน หลังจากได้ข่าวว่าอวิ๋นจือชิวจะมา เหมียวอี้ก็ให้สำนักลมปราณพาตัวเยารั่วเซียนมาส่งที่อวกาศ จากนั้นตอนที่พวกอวิ๋นจือชิวเดินทางผ่านมา ก็ถือโอกาสพาตัวมาด้วยอย่างเงียบๆ
การซ่อมแซมตกแต่งร้านค้าใหม่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เหมียวอี้ย่อมต้องวิ่งมาดูสักหน่อย พอเข้ามาในร้านค้าก็เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังชี้ไม้ชี้มือ สั่งว่าตรงนี้ต้องทำอยางไร ตรงนั้นต้องทำอย่างไร สรุปก็คือนางเป็นเถ้าแก่เนี้ย ทุกอย่างต้องจัดการตามความชอบของนาง
คนอื่นๆ มองเหมียวอี้ด้วยปฏิกิริยาที่ชื่นชมปนสับสน บัณฑิตกับพ่อครัวทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี เจ้าเด็กนี่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ที่พิภพเล็ก ที่แท้ก็มาหากินที่พิภพใหญ่ในตำนานตั้งนานแล้วนี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เป็นทหารเลวสามแถบของตำหนักสวรรค์ด้วย
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยิ่งทำสีหน้าเคารพนับถือ ถึงอย่างไรในสายตาพวกนาง ก็ไม่เคยมีอะไรที่เหมียวอี้ทำไม่ได้ พวกนางยังเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเหมียวอี้จะต้องมีอนาคตที่สดใสที่พิภพใหญ่แน่นอน
แต่ระหว่างทางที่มา อวิ๋นจือชิวก็ได้อธิบายไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าสถานการณ์ของพิภพใหญ่ซับซ้อน ต้องรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้ไว้ตลอด
เหมียวอี้เพียงพยักหน้ายิ้มบางๆ ให้ทุกคน ตอนที่เห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ในใจเขากลับรู้สึกสับสนนิดหน่อย เพราะที่พิภพใหญ่ไม่มีความนิยมเรื่องหญิงรับใช้ประจำตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าทั้งสองอยู่ที่พิภพใหญ่นานไป แล้วจะเกิดความคิดอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า
“ผ่านไปไม่นาน งานยุ่งขนาดนี้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ แล้วพาอวิ๋นจือชิวหลบมาจากกลุ่มคน
เมื่อขึ้นมาบนตึก อวิ๋นจือชิวก็นับนิ้วพร้อมบอกว่า “มีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก จุดที่ต้องใช้เงินก็มีเยอะมาก ข้าพาเฮยทั่นกับตั๊กแตนพวกนั้นมาแล้ว ไม่สะดวกจะเลี้ยงพวกมันที่นี่ ถ้าแยกพวกมันให้คนอื่นเลี้ยงก็ไม่ดีอีก เกรงว่าจะต้องซื้อ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ แล้วก็ทางด้านเยารั่วเซียนอีก ตอนที่หลอมสมบัติที่นี่ เกรงว่าบ้านหลายหลังคงไม่พอให้เขาเผา ถ้าไม่ซื้อ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ คงไม่ได้ ข้าเคยเห็นของแบบนั้นที่ตลาดสวรรค์ ค่อนข้างเปลืองเงิน”
เหมียวอี้พยักหน้า สิ่งที่เรียกว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ เขาเองก็เคยเห็นเหมือนกัน เป็นของประเภทที่มีพื้นที่ว่างให้เก็บสมบัติ แต่ไม่ใช่สิ่งที่พวกแหวนสมบัติจะเทียบติด ใน ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ คนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างเช่นยามตำหนักสวรรค์แต่งตั้งให้ไปเป็นขุนนางคุมอาณาเขต ต่อให้เป็นพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมือง ก็ล้วนได้รับความร่วมมือจากตำหนักสวรรค์ ดังนั้น อย่าไปมองว่าศาลของเทพแห่งผืนดินเล็กๆ ใหญ่สู้ห้องครัวไม่ได้ ที่จริงแล้วข้างในเหมือนมีโลกอีกใบหนึ่ง
ทว่าของแบบนั้นมีเพียงขุนนางที่คุมอาณาเขตเท่านั้นที่มี ระดับของเหมียวอี้สูงกว่าเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง แต่กลับไม่มี โค่วเหวินหลานกลับผู้บัญชาการพวกนั้นมี
เขาเคยคิดว่าควรจะปล้น ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ มาจากเทพเจ้าที่ผีหลักเมืองดีไหม แต่ตอนหลังพอสืบข่าวมาถึงได้รู้ ว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ของขุนนางตำหนักสวรรค์กับ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ร้านค้าขายไม่เหมือนกัน พวกนั้นคือสิ่งที่สั่งทำเป็นพิเศษ พวกลูกแก้วพลังปรารถนาที่แจกก็ไม่ต้องส่งให้ต่อหน้า ข้างในมีเครื่องมือแจกจ่ายลูกแก้วพลังปรารถนาที่รวบรวมได้ เล็กใหญ่ตามยศขุนนาง มากน้อยตามสวัสดิการ ส่วนพลังปรารถนาของสาวกที่แจกจ่ายให้ ทางตำหนักสวรรค์ย่อมโอนไปยังดินแดนใต้อาณัติแต่ละแห่ง ให้รวมเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาเองโดยกลไกของมันเอง
ก็เพราะสาเหตุที่กล่าวมา ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ประเภทนี้ หากแย่งมาไว้ในมือก็ไม่มีทางใช้งานได้เลย ตำหนักสวรรค์สามารถรู้ได้ทุกเมื่อว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ถูกปล้นไปอยู่ที่ไหน สามารถหาเจ้าพบได้อย่างแม่นยำ นอกเสียจากเจ้าจะนำ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ปล้นได้มาหลอมสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ถ้ามีความสามารถที่จะหลอมสร้างใหม่ได้ ใครจะยังไปเสี่ยงอันตรายปล้นมาล่ะ
ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ก็มีขายเหมือนกัน เพียงแต่ราคาแพงไปหน่อย ถ้าเป็นขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่ ราคาก็หนึ่งแสนล้านผลึกแดง แบบพื้นที่กว้างขึ้นมาหน่อยก็แพงกว่า มีนักพรตหลายคนที่ทั้งชีวิตนี้ก็หาเงินไม่ได้มากขนาดนั้น ดังนั้นผู้ที่ใช้ของสิ่งนี้ไหวจึงมีไม่เยอะ
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ของที่ใช้งานได้ ซื้อเตรียมไว้หลายๆ ชิ้นแล้วกัน ไม่อย่างนั้นตอนที่พวกเราแอบทำจะไม่สะดวก ถึงอย่างไรร้านค้านี้ก็ไม่ใหญ่ ทั้งยังอยู่ในย่านการค้าที่เจริญคึกคักด้วย”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขาอย่างหยาดเยิ้ม “ยังจะซื้อหลายชิ้นอีก เจ้าซื้อไหวเหรอ?”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งโยนให้นาง “เงินเล็กน้อยแค่นี้ ช่วงนี้ยังพอหามาได้”
พออวิ๋นจือชิวเห็นของในกำไลเก็บสมบัติ นางก็อ้าปากร้อง ‘อ้อ’ ทันที พบว่าข้างในมียาแก่นเซียนและผลึกแดงจำนวนมหาศาล จึงถามอย่างตกตะลึงว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าหาของมาไหนมากมายขนาดนี้?”
เหมียวอี้เล่าเรื่องที่สำนักลมปราณชำระบัญชีให้ในปีนั้น และของที่เพิ่งได้มาในช่วงนี้ รวมทั้งของที่ได้ส่วนแบ่งมาจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก่อนหน้านี้ด้วย
อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างระแวดระวังทันที “นี่คือการปล้นชัดๆ งั้นพวกเราต้องซื้อค่ายกลคุ้มกันขนาดเล็กด้วยแล้ว”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “โดยทั่วไปต้านทานนักพรตบงกชทองไม่ได้ แบบขั้นสูงก็แพงเกินไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ถึงราคาค่ายกลแปดทิศ”
อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “อันที่ราคาถูกก็ต้องซื้อไว้สักอัน คงดีกว่าเวลามีคนแอบเข้ามาเงียบๆ แล้วไม่รู้ ที่นี่มีผู้หญิงหลายคน เจ้าไม่เป็นห่วงเหรอ? ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว เดี๋ยวข้าจัดการเองตามเห็นสมควร เออใช่ เจ้าเก็บเงินติดตัวไว้สักหน่อยแล้วกัน เอาไว้ใช้เวลาเข้าสังคมกับคนของตำหนักสวรรค์ เจ้าต้องมั่นคงในตำแหน่งของตำหนักสวรรค์เท่านั้น พวกเราถึงจะมั่นคงได้” พูดจบก็แบ่งสมบัติส่วนหนึ่งจากกำไลเก็บสมบัติออกมา
เหมียวอี้โบกมือ “ข้าไม่สะดวกจะพกเงินติดตัวเยอะ ดีไม่ดีอาจจะโดนคนอื่นแย่งไป เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน ข้าเก็บติดตัวไว้แค่พอใช้ก็พอ”
มอบทรัพย์สินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ให้นางจัดการเอง แบบนี้ต้องใช้ความเชื่อมั่นและวางใจขนาดไหน รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวช่างงดงาม แววตาค่อนข้างออเซาะ แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้กำลังตกแต่งร้าน ไม่สะดวกเพราะมีคนเข้าคนออก ไม่อย่างนั้นนางคงโผเข้าไปกอดเขาแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งเดือน ก็เปิดร้านค้าแล้ว ชื่อว่า”ร้านโฉมเมฆา” ขายเครื่องประดับกับพวกผลึกบริสุทธิ์โดยเฉพาะ
พวกเครื่องประดับที่ขายตอนร้านขายของชำซื่อตรงเพิ่งเปิด ตอนนี้นำมาขายอีกครั้ง อาศัยความนิยมที่เหลือในปีนั้น สร้างยี่ห้อโฆษณานิดหน่อย ก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวได้เหมือนกัน วันเปิดร้านดึงดูดลูกค้าผู้หญิงได้ไม่น้อยเลย เพียงแต่ราคาแพงจนไร้เหตุผล แค่ต่างหูคู่เดียวก็กระเด็นไปแล้วเป็นล้านผลึกแดง ทำให้คนมากมายดูเสร็จแล้วต้องถอย
เหมียวอี้วิ่งมาแสดงความยินดีวันเปิดร้านก็เป็นเรื่องปกติมาก สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจก็คือ พวกทหารในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกถือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาประสมโรงด้วย ทหารเลวทั้งเจ็ดมากันครบแล้ว เป็นเพราะคนปากมากอย่างสวีถังหรานปล่อยข่าว บอกว่าเหมียวอี้กำลังจีบเถ้าแก่เนี้ยของร้านนี้ ทำเอารู้กันทั้งจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก คนกลุ่มนี้มาก็นับว่าสร้างกระแสให้เหมียวอี้
จากสิ่งนี้ทำให้ดูออกว่าช่วงนี้เหมียวอี้มีความสัมพันธ์อันดีกลับกลุ่มนี้ แต่ในใจเหมียวอี้รู้ชัด ประการแรกเป็นเพราะตนไม่มีตำแหน่งในจวนผู้บัญชาการ ถึงขั้นไม่มีลูกน้องเลยสักคน ในกลุ่มทหารเลวตนมีวรยุทธ์ต่ำสุด ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับพวกเขา ประกอบกับโค่วเหวินหลานเป็นคนพาเข้ามาเอง ไม่รู้แน่ชัดว่ามีความสัมพันธ์กับโค่วเหวินหลานอย่างไรกันแน่ คนยศเท่ากันย่อมยินดีสานสัมพันธ์อันดีกับตน
“เถ้าแก่เนี้ย น้องหนิวของพวกเราจริงใจต่อเจ้านะ ถ้าไม่มีงานก็วิ่งมาหาเจ้าตลอด” สิ่งที่สวีถังหรานพูดกับอวิ๋นจือชิวเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ กล่าวให้คล้อยตามอยู่อย่างนั้น บอกว่าเหมียวอี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ พยายามเป็นพ่อสื่อเต็มที่
ขณะที่เหมียวอี้กำลังกลุ้มใจ จู่ๆ ก็หนังตากระตุก มีคนคนหนึ่งเดินเข้าประตูร้านมา ไม่ใช่ใครที่ไหน หวงฝู่จวินโหรวนั่นเอง
…………………………