นักเวทวัยกลางคนมองไปรอบๆ ห้องโถงและเซ็นชื่อด้วยความเห็นใจเล็กน้อย “เบอร์ทเรินด์ ช่างโชคร้าย เขาเพิ่งจะอัญเชิญปีศาจสองสามตนมาทดลอง โดยที่ไม่รู้ว่านักเรียนคนล่าสุดของตัวเองกำลังทำพิธีอัญเชิญอย่างลับๆ มีหรือที่นักเวทผู้มีประสบการณ์จะไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในปราสาทของเขาในเวลานั้น”
“อืม… ทอมป์สัน ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นแค่เรื่องโชคร้าย” มังกรดึงถุงขนาดใหญ่ออกมาจากใต้ท้องของมันอย่างพึงพอใจ และเริ่มนับเหรียญทองคำ และวัตถุเวทมนตร์อันมีค่า “จากประสบการณ์ของข้า เมื่อเด็กที่มีความพยายามที่จะแสวงหาพลังจาก ‘นิทานแห่งความโศก’ ปีศาจจะฉายภาพในใจของคนๆ นั้นออกมา และมันจะส่งผลกระทบต่อวิธีการคิด และพฤติกรรม รวมทั้งอารมณ์ของคนคนนั้น ส่วนพิธีกรรมที่ตามมาคือการเสริมสร้างพลังให้แก่ปีศาจ”
เสียงของมังกรที่พูดออกมานั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะมันเหมือนเสียงของเด็กๆ ที่ตรงกันข้ามกับพลังอันยิ่งใหญ่ของมัน
ทอมป์สันมองไปที่มังกรที่ซึ่งกำลังนับสมบัติของเขาอยู่ “แอตฟอร์เรส ประสบการณ์ของเจ้าที่ว่า หมายถึงอะไร”
“ข้าหมายถึงมัน ทุกครั้งที่ข้าเห็นสมบัติที่เปล่งประกาย ภาพของปีศาจจะฉายชัดขึ้นมาในใจข้า ปีศาจที่เรียกว่าความโลภ” มังกรกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ปีศาจมีผลกับข้ามากจนข้าไม่สามารถต้านทานตนเองต่อสมบัติทั้งหมดได้ มันไม่ใช้ความผิดของข้าจริงๆ นะ”
“ปีศาจมาจากไหน” ทอมป์สันรู้สึกสนุกเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าก็สามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังได้แล้ว ข้าแน่ใจว่าตอนนี้เจ้าสามารถควบคุมความคิดได้แล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่คืนสมบัติทั้งหมดมาล่ะ”
“แต่… แต่เจ้าสัญญากับข้าแล้ว นี่คือรางวัลของข้า” มังกรส่ายหัว “และข้าไม่รู้ว่ามันมาจากไหน… อาจจะเป็นนรกโบราณ… ข้าไม่รู้ มันอยู่ที่นั่น”
เรื่องไร้สาระของทอมป์สันทำให้ แอตฟอร์เรสคิดว่า “มหาจอมเวทหลายคนได้ไปสำรวจนรก และได้พบกับดยุกและเคานต์ที่นั้น จากการผจญภัยของพวกเขาและตำนานเก่าแก่ที่มหาจอมเวทเคยได้ยินว่าครั้งหนึ่งในนรกมีปีศาจที่ลึกลับ และทรงพลังเจ็ดตน พวกมันเป็นตัวแทนของ ‘ความชั่วร้ายทั้งเจ็ดประการ’ ประกอบไปด้วย ความเย่อหยิ่ง ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความเจ็บปวด ราคะ และความเจ้าเล่ห์ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับเรื่องนี้ และยังมีคำกล่าวอีกด้วยว่า บางคนเชื่อว่า ‘ความชั่วร้ายทั้งเจ็ด’ นั้นเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจผู้มีไหวพริบ และความชั่วร้ายจากนรก และปีศาจแต่ละตนก็จะมีคุณสมบัติดังกล่าวอย่างน้อยหนึ่งอย่าง”
“ข้าเข้าใจ…” แอตฟอร์เรสไม่สนใจคำพูดของทอมป์สัน มันแอบเก็บของมีค่าขนาดเล็กบางชิ้น จากกระเป๋าของเขา ท้ายที่สุด แอตฟอร์เรสรู้ว่าบางคนเป็นสมาชิกสภา
ทอมป์สันแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่า แอตฟอร์เรสกำลังทำอะไรอยู่ และพูดต่อไปว่า “เราน่าจะต้องให้ความสำคัญกับหนังสือ ‘นิทานแห่งความโศก’ มากขึ้น เพราะมันอาจเกี่ยวข้องกับความลับของโลก พลังของปีศาจ และแม้แต่การดำรงอยู่ของมันภาพแปลกและลึกลับ หากไม่มีเจ้าข้าก็อาจจะล้มเหลวในภารกิจและปีศาจก็อาจจะหนีไปได้ ความสามารถของเจ้าในการร่ายเวทมนตร์วิญญาณมีความสำคัญมาก”
นักเวทระดับสูงก็รู้สึกว่าปีศาจมันแปลก และลึกลับมาก
จากนั้น ทอมป์สันก็นำเหรียญตราของเขาออกมาและวางไว้บนหน้าอก
…
ในห้องโถงเป็นเพราะลูเซียนโจมตีกำแพงอย่างฉับพลัน ทำให้ชาร์ลี ซานดร้า และซูซานก็รู้สึกประหม่าอีกครั้งโดยเฉพาะซูซานที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังก้องกังวานขึ้นมาผ่านตามทางเดินความตึงเครียดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งท่าทางดูดีและมีสง่าราศี เขาสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์ลายเปลวเพลิงเดินเข้ามาหาพวก เขาชายคนนี้มีผมสีดำและดวงตาสีฟ้า และเขายังสวมแว่นที่ทำจากทองคำอีกด้วย
“สวัสดี ข้าคือทอมป์สัน สมาชิกคณะกรรมการกิจการ ข้าบังเอิญอยู่ที่เมืองกัสปาร์ ดังนั้นสภาจึงส่งข้ามาจัดการกับเรื่องที่เหลือ” ทอมป์สันกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาในขณะที่เขายืนอยู่ต่อหน้าวงแหวนเวทมนตร์ และกำแพงป้องกัน เห็นได้ชัดว่านักเวททั้งสามคนยังคงระมัดระวังและตื่นตัวอยู่
ทำฐานติดเหรียญตราบนหน้าอกของเขาสามชิ้น ประกอบไปด้วยเหรียญตราอาร์คานาหกดาว เหรียญตราเวทมนตร์แปดวงแหวน และ เหรียญตราเพลิงสีดำที่เป็นตัวแทนของคณะกรรมการกิจการ
ลูเซียนหยุดซูซานที่เพิ่งจะก้าวออกจากวงแหวนเวทมนตร์ และกำแพงป้องกันเนื่องจากความตื่นเต้นของหล่อน และเขาก็พูดกับชายคนนั้นว่า “ท่านทอมป์สัน ข้าไม่ได้จะอะไรหรอกนะ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเราปลอดภัย ดังนั้นเราต้องขอตรวจสอบเหรียญตราของท่าน พวกปีศาจนั้นน่าขนลุกและคาดเดาไม่ได้”
ทั้งชาร์ลี และซานดร้า พยักหน้าเห็นด้วย เพราะพวกเขาเคยได้ยินมาว่า มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นเมื่อนักเวทลดความระมัดระวังลงต่อหน้าปีศาจที่แปลงร่างมา
ทอมป์สันไม่ได้คิดอะไรมาก เขายิ้มและถอดเหรียญตราของเขาให้ตรวจสอบ
หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจว่าเหรียญตรานั้นไม่ใช่ของปลอม ชาร์ลีก็เดินออกจากวงแหวนเวทมนตร์และรายงานต่อทอมป์สันโดยตรงว่า “นายท่าน ปีศาจนั้นประหลาดมาก เมื่อเราเข้าปราสาทครั้งแรก…”
มันควรจะเป็นงานของลูเซียนที่รายงานต่อทอมป์สัน แต่อย่างไรก็ตามเขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะพูดในตอนนี้
หลังจากฟังชาร์ลีรายงานอย่างระมัดระวังทอมป์สันก็พยักหน้า “งานนี้ดูท่าว่าจะยากกว่าที่เราคิด และงานควรจัดอยู่ในระดับที่ถูกต้องซึ่งมันควรจะเป็นระดับ ’อันตราย’ พวกเจ้าทุกคนจะได้รับคะแนนอาร์คานามากกว่าในสัญญาที่ระบุไว้ อุปกรณ์เวทมนตร์ และน้ำยาเวท ที่ใช้ในภารกิจนี้ทางสภาจะชดเชยให้ เพียงแค่เขียนรายงานและส่งไปยัง ‘เขตภารกิจ’ มันจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์”
“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น” ซานดร้ารู้สึกโล่งอก เห็นได้ชัดว่าเครื่องรางที่หล่อนสวมใส่นั้นมีค่า และจะต้องสำคัญมาก
ชาร์ลีก็ดีใจเช่นกันที่ได้ยินว่า เขาจะได้รับเสื้อคลุมเวทมนตร์แบบเดียวกันกลับมา
ทอมป์สันปิดกั้นปราสาทด้วยเวทมนตร์ และเขาก็ตัดสินใจส่งนักเวทกลับไปที่ ‘หมู่บ้านเฟรเซอร์’
…
ภายในรถมาที่มุ่งหน้าไปยังเมืองของคาปัส หลังจากที่เงียบกันมานาน ซานดร้าก็พูดกับคนอื่นๆในรถมาด้วยความลังเลว่า ภารกิจนี้น่าขนลุกและลึกลับ และสิ่งเดียวที่เรามั่นใจได้คือนักเวทฝึกหัดอัญเชิญปีศาจร้ายที่น่ากลัว และทรงพลังผ่านพิธีกรรมที่ไร้สาระ ซึ่งยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยศาสตร์การอัญเชิญของอาร์คานา เรื่องทั้งหมดมันกวนใจข้ามาก”
ในหมู่พวกเขาซานดร้าเป็นเพียงคนเดียวที่เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การอัญเชิญ ดังนั้นหล่อนจึงเป็นคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
‘สำนักการอัญเชิญ’ เมื่อเทียบกับสำนักอื่นๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในการศึกษาอาร์คานาศาสตร์ มันค่อนข้างจะล้าหลังกว่าด้านอื่นๆ แต่มันก็ยังคงความแข็งแกร่งของอาณาจักรเวทมนตร์โบราณไว้ได้ ซึ่งพิธีอัญเชิญที่บิลล์ได้ทำลงไปนั้นค่อนข้างจะน่าหัวเราะ ตามการเข้าใจของจักรวรรดิโบราณในด้านการอัญเชิญ
หากนักเวทฝึกหัดสามารถเรียกปีศาจที่อยู่ในระดับห้าเป็นอย่างน้อยออกมาได้ นักเวทจากสำนักอื่นๆ ควรจะทำอย่างไรกับตัวเองดีล่ะ ทั้งหมดนี้มันเกินความเข้าใจของซานดร้า และสำหรับนักอัญเชิญเก่าแก่ พิธีอัญเชิญแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องตลก
ชาร์ลีพยักหน้า “เหลือคำสั่งอัญเชิญบางส่วนเท่านั้น เราไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนก่อนที่จะเห็นรูปแบบที่สมบูรณ์ อันที่จริงเรื่องทั้งหมดมันน่ากลัวมาก”
“ข้ารู้สึกว่าปีศาจก็คือตัวบิลล์เอง” ซูซานแสดงความคิดเห็นเช่นกัน ถ้าพูดอย่างจริงใจก็คือถ้าพิธีกรรมสามารถทำให้พลังของนักเวทฝึกหัดพัฒนาเป็นระดับห้าวงแหวนได้ มันก็ค่อนข้างน่าดึงดูดใจ แม้ว่าหล่อนจะไม่ต้องการที่จะสูญเสียการควบคุมตัวเอง และมีรูปร่างที่น่าเกลียดก็ตาม
ลูเซียนฟื้นพลังได้มากขึ้นแล้ว และเขาก็มองไปที่ซูซาน และสก็อตต์ผ่านแว่นตาข้างเดียวของเขาแล้วถามว่า พวกเจ้าเคยอ่าน ‘นิทานแห่งความโศก’ ไหม
ซูซานสายศีรษะของหล่อน ในขณะที่สก็อตต์ทำท่าทางน่าเกลียดน่ากลัวออกมา “ท่านอีวานส์ ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นหนังสือนี้อยู่ในห้องนอนของเขา และข้าก็เคยอ่านนิทานสองสามเรื่องในนั้น เรื่องราวทั้งหมดที่ข้าอ่านเต็มไปด้วยความมืดมนและสิ้นหวัง และมันทำให้ข้ารู้สึกโกรธ และมืดมนจนข้าอยากจะทำลายโลกแห่งความเจ็บปวดนี้ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่านิทาน หรือพวกผู้ใหญ่บางคนอาจจะใช้เพื่อข่มขู่เด็กที่ไม่ต้องการเข้านอน”
“เราต้องไปที่ห้องสมุดอาร์คานา เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม และข้าก็ต้องการเรียนเวทมนตร์เพิ่มเติมกับสำนักอีกสองแห่ง” ลูเซียนพยักหน้า เขากำลังวางแผนที่จะยืมงานพื้นฐานบางอย่างของ ‘สนามแรง‘ และ ‘หมอผี’ และเขาก็มีสำเนาของหนังสือ ‘ตำราว่าด้วยศาสตร์มืด’
‘สำนักสนามแรง’ มีเวทมนตร์ป้องกันที่ทรงพลังมากมาย และสำหรับ ‘สำนักหมอผี’ เวทมนตร์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับวิญญาณการอวยพรและการสาปแช่ง สำหรับสำนักวิชาแม่เหล็กไฟฟ้า และอุณหพลศาสตร์ ลูเซียนเชื่อว่าความเข้าใจอาร์คานาของเขานั้นแข็งแกร่งพอที่เขาจะไม่จำเป็นต้องค้นคว้าในตอนนี้ ดังนั้นเขาอาจจะเลือกข้อมูลที่มีประโยชน์จากสำนักทั้งสองแห่ง และพัฒนาเวทมนตร์หลากหลายรูปแบบในวิญญาณของเขาด้วยสิ่งใหม่ และทำเช่นเดียวกับเวทมนตร์ ’ภาพลวงตา’ และเวทแปลงกาย
การคัดเลือก และจุดมุ่งหมายเป็นสิ่งสำคัญมากในการพัฒนาอาร์คานาศาสตร์
แน่นอนว่า แนวคิดหลักของสภาก็คือ ถึงแม้ว่าจะมีสำนักต่างๆ อยู่ก็ตามแต่ในท้ายที่สุดก็สามารถเข้าใจทุกอย่างได้ด้วยพื้นฐาน นั่นก็คือคำอธิบายที่ดีที่สุดนั่นเอง ดังนั้นนักเวทระดับสูงจึงศึกษาหาความรู้อื่นๆ นอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาทำได้ดี
ชาร์ลีกับซานดร้าพยักหน้าทั้งคู่ ในฐานะจอมเวทพวกเขามีสิ่งกระตุ้นที่สอดคล้องซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำความเข้าใจในสิ่งลึกลับทั้งหมด
…
ในห้องสมุดอาร์คานาพื้นฐาน อเล็กซึ่งเป็นภูติญิน และเป็นบรรณารักษ์ได้พูดกับลูเซียนอย่างสุภาพว่า “สวัสดีท่านอีวานส์ วันนี้ข้าจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง”
การสวมใส่เหรียญตราอาร์คานาระดับสี่นี้ ทำให้ลูเซียนสามารถเพลิดเพลินไปกับการใช้ประโยชน์ของมันก็คือการยืมหนังสือครึ่งราคา โดยการใช้หนึ่งคะแนนต่อหนังสือสี่สิบเล่ม
“อเล็ก ที่นี้มี ‘นิทานแห่งความโศก’ ไหม” หลังจากส่งรายงานภารกิจและรายการสิ่งของเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากคะแนนอาร์คานาที่เป็นของรางวัลจึงจำเป็นจะต้องมีการประเมินใหม่ ทั้งลูเซียน ชาร์ลี และซานดร้า จึงมาที่ห้องสมุดด้วยกัน
อเล็กส่ายศีรษะ และเนื่องจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเป็นรูปแบบที่เปิดเผยช่วงหน้าอกของเขา “ขออภัยท่านอีวานส์ ที่นี่มีเพียงแค่หนังสืออาร์คานาศาสตร์ หากท่านกำลังมองหานิทานท่านอาจจะต้องไปใช้บริการที่ห้องสมุดเมืองอัลลิน หรือห้องสมุดหลวงเมืองเรนทาโต”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าสามารถหาหนังสือที่มีใจความเกี่ยวกับ ‘พิธีอัญเชิญแบบพิเศษของวี…’ หรืออะไรทำนองนี้ได้ไหม” ลูเซียนพยายามต่อไปโดยใช้อเล็กเป็นผู้ค้นหา
อเล็กซ์ใช้เวลาค้นหนังสือสักพัก ก่อนจะระบุรายการ “มีหนังสือห้าเล่มที่มีคุณสมบัติตามที่ท่านต้องการ ‘พิธีอัญเชิญแบบพิเศษของเวอร์ลัม’ ‘พิธีอัญเชิญแบบพิเศษของไวเค็น’ ‘พิธีอัญเชิญแบบพิเศษของเวอร์ตร้า’…”
ลูเซียนต้องการพวกมันทั้งหมด และเริ่มอ่านหนังสือ กับซานดร้า และชาร์ลี
“เจอแล้ว! ท่านอีวานส์ เป็น ‘พิธีอัญเชิญแบบพิเศษของ ไวเค็น’!” ซานดร้าชูหนังสือขึ้นสูง
ลูเซียนรับหนังสือเล่มนั้นมา และเขาก็เห็นวิธีการเรียกแบบเดียวกันกับที่เขาอ่านเจอในหอประชุมนักเวทฝึกหัด ยิ่งกว่านั้นพิธีกรรมบางส่วนยังมีบางสิ่งที่ขาดหายไป รวมไปถึงการคลาน การเต้นไปรอบๆ เตา การบอกเล่าถึงอดีตที่เจ็บปวดของคนคนนั้นและอื่นๆ
ลูเซียนเปิดกลับไปที่หน้าแรกของหนังสือและมีความเห็นของนักเวทที่เหลือเอาไว้ว่า “หนังสือที่น่าหัวเราะเล่มนี้ยืมมาจากไวเค็น ผู้เป็นผู้วิเศษโบราณ และนอกจากนั้นมันเป็นเรื่องตลกโดยสิ้นเชิงหนังสือเล่มนี้ควรเอาออกจากห้องสมุด”
“ไวเค็น?” แม้ว่าลูเซียนได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘นักประวัติศาสตร์’ ในอัลโต้ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ทางช่องแคบมรสุม
ชาร์ลีอธิบายว่า “ไวเค็น เป็นจอมเวทผู้วิเศษระดับตำนาน และดินแดนของเขาก็คือ ‘บริแอนน์’ ในวันนี้ เขาเป็นคนโหดร้ายมาก ครั้งหนึ่งเมื่อตอนเข้าศึกษาเวทมนตร์ปิดกั้นเมืองเข้าปล่อยให้คนสองหมื่นคนอยู่ในนั้น เขาปล่อยให้คนเหล่านั้นฆ่ากันเองด้วยความสิ้นหวัง และความอดอยาก พวกเขาต้องกินมนุษย์ด้วยกันเอง”
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน ระดับตำนานคืออะไร” ลูเซียนถามด้วยความอยากรู้
ซานดร้าตอบด้วยท่าทางสบายๆ “ไม่รู้สิ เขาหายไปก่อนสงครามแห่งรุ่งอรุณ”
หนังสือที่อยู่ในมือของลูเซียนก็ตกลงไปบนพื้น
………………………