บทที่ 518 ร้องเพลงเดี๋ยวนี้!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 518 ร้องเพลงเดี๋ยวนี้! โดย Ink Stone_Fantasy

หากเป็นคนอื่นที่ขี้ขลาดและกลัวผี คงจะตัวสั่นงันงกจนทำอะไรไม่ถูก หรืออาจจะหวีดร้องและวิ่งหนีอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว ทว่า…ทั้งสตรีในชุดขาวและเด็กชายทั้งเจ็ดข้างกายนางหารู้ไม่ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาขณะนี้เป็นผู้ที่ไม่กลัวเรื่องเหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเริ่มมีท่าทีหงุดหงิดขึ้นมา

ขณะที่บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวเข้าปกคลุมพื้นที่ และวิญญาณสตรีในชุดขาวพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็ยกขาขวาขึ้นเตะออกไปอย่างไม่รอช้า เกิดเป็นเสียงกัมปนาทดังสนั่น

ลูกเตะนั้นปะทะเข้ากับวิญญาณสตรีอย่างจัง ดูเหมือนว่ามันจะทะลุผ่านร่างวิญญาณของนางและเข้าไปปะทะกับร่างจริง วิญญาณสตรีส่งเสียงร้องแหลมก่อนจะปลิวกระเด็นออกไปร่วมสามสิบเมตร

“เจ้ากล้าทำท่าขู่ข้าทั้งที่ฝีมืออ่อนด้อยเพียงนี้หรือ” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นแล้วใช้วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ ใบหน้าจำนวนมากปรากฏขึ้นบนมือของเขา และซ้อนทับกันไปมาหน้าแล้วหน้าเล่าจนกระทั่งรวมตัวกันเป็นมือผีตายซากสีดำสนิทดูน่าสะพรึงกลัว ความเย็นยะเยือกในบรรยากาศยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกหลังจากที่มือนั้นปรากฏออกมา หากสายลมที่ปรากฏขึ้นพร้อมวิญญาณสตรีเป็นปีศาจร้ายน่าสะพรึง สายลมที่ปะทุขึ้นจากกายของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็ยิ่งกว่าเจ้านรกเสียอีก!

หัตถ์สื่อวิญญาณของหวังเป่าเล่อกระตุกครั้งหนึ่ง และเครื่องหน้าของวิญญาณสตรีก็กลับมาปรากฏบนใบหน้านางอีกครั้ง ใบหน้านั้นแสดงอาการตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณสตรีส่งเสียงกรีดร้องและหันหลังจะหนี แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ในชั่วพริบตาเดียว นางก็ถูกหัตถ์สื่อวิญญาณของหวังเป่าเล่อจับไว้

วิญญาณสตรีในกายมายาไม่อาจจะขัดขืนดิ้นรนได้ หวังเป่าเล่อกำรอบคอนางและลากตัวนางมาตรงหน้าเขา

“การจะแต่งตัวเป็นผีสางเล่นมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร แต่จะมาทำเช่นนั้นต่อหน้าคนอย่างข้าน่ะหรือ” หวังเป่าเล่อจ้องหน้านางเขม็ง ก่อนจะยกร่างของวิญญาณสตรีลอยขึ้นในอากาศ และฟาดลงกระแทกพื้นอย่างแรง แต่ดูเหมือนว่าเท่านั้นยังไม่เยงพอ หวังเป่าเล่อยกเท้าขึ้นเตะวิญญาณสตรีอยู่ซ้ำๆ เสียงร้องที่วิญญาณสตรีเปล่งออกมาน่าเวทนาขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ถูกเตะ

พลังปราณของนางเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว นางกลับบอบบางราวกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจปลดปล่อยพลังออกมาได้แม้แต่น้อย!

รัศมีที่นางแผ่ออกมาควรจะส่งความกลัวเข้าไปจับขั้วหัวใจทุกสรรพชีวิต แต่มันกลับไม่มีผลต่อหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เพราะแน่นอนว่า…ในฐานะบุตรแห่งความมืด หวังเป่าเล่อได้เผชิญกับวิญญาณมาแล้วนับล้านในนิมิตมืด ในหมู่วิญญาณเหล่านั้นมีไม่น้อยที่น่าสะพรึงกลัวกว่าวิญญาณสตรีนางนี้มากนัก บางตนมีพลังมากพอจะถล่มโลกนี้ได้ทั้งใบ แต่พวกเขากลับเคารพและเชื่อฟังหวังเป่าเล่อ ไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาให้

เพราะอย่างไรเสีย…สำนักแห่งความมืดก็เป็นองค์กรทรงอำนาจที่มีหน้าที่นำทางวิญญาณ ในฐานะบุตรแห่งความมืด หากหวังเป่าเล่อกลัววิญญาณไร้ค่าดวงนี้ เขาเชื่อว่าบรรพบุรุษของสำนักแห่งความมืดที่สิ้นชีพไปแล้วต้องโมโหเสียจนฟื้นขึ้นมาจากหลุมแน่

ยิ่งหวังเป่าเล่อซ้อมวิญญาณสตรีมากขึ้นเท่าใด เสียงร้องไห้ของนางก็ยิ่งน่าเวทนาขึ้นเท่านั้น นางพยายามร้องขอชีวิตแต่ก็ไร้ผล ตัวตนที่ก่อนหน้านี้ยังน่าสะพรึงกลัวของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จนทำให้ลูกๆ ทั้งเจ็ดของนางสับสน มีสองคนที่กลัวเสียจนเริ่มร้องไห้

คราวนี้พวกเขาร้องไห้จริงๆ ไม่ใช่การเปล่งเสียงน่าขนลุกที่แสร้งทำก่อนหน้านี้ เสียงนั้นฟังดูน่าสยดสยองไม่น้อย หวังเป่าเล่อจ้องเด็กสองคนเขม็ง

“หุบปากเสีย! ไม่เช่นนั้นข้าจะกินเจ้าเสีย ร้องเพลงเดี๋ยวนี้!”

เด็กทั้งสองตัวสั่นเมื่อได้ยินตะโกนของหวังเป่าเล่อและหยุดร้องไห้ทันที แต่ยังคงตัวสั่นต่อไป แม้จะอยากร้องไห้แต่ก็ต้องอดทนไว้ แม้จะอยากวิ่งหนีแต่ก็ก้าวขาไม่ออก ทำได้แต่เพียงมองดูมารดาถูกหวังเป่าเล่อเตะต่อยต่อไป นางถูกซ้อมเสียจนวิญญาณอาจจะสลายกลายเป็นผุยผงไปเมื่อใดก็ได้

เด็กๆ เริ่มร้องเพลงด้วยร่างกายที่สั่นเทา

“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว…”

“ท่านแม่ นิ้วท่านรสชาติไม่เอาไหนเลย ข้าหิวเหลือเกิน ข้าอยากกินข้าว…”

“อย่าตีข้า อย่าฆ่าข้า อย่าถลกหนังข้าเลย ท่านแม่ ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…” น้ำเสียงอันสั่นเครือของเด็กๆ ลอยล่องสะท้อนไปในอากาศ เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกตัวว่าเสียงของตนน่ากลัวเพียงใด ขนาดพวกเขาเองยังรู้สึกกลัวเมื่อได้ยินเลย

หวังเป่าเล่อเริ่มจะเบื่อเสียงเพลง เมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก เด็กทั้งเจ็ดจึงรีบถอยหลังและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน จิตใจอันอ่อนเยาว์ของพวกเขาจดจำหวังเป่าเล่อในฐานะเจ้านรกที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่เด็กๆ หนีไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็เตะวิญญาณสตรีต่อไปกระทั่งนางหมดสติ กายของนางพร้อมที่จะสลายเป็นฝุ่นได้ทุกวินาที ชายหนุ่มจับผมอีกฝ่ายและลากมาตรงหน้า เขาจ้องมองนางตาแทบถลน

“นี่เป็นครั้งแรกที่วิญญาณอ่อนแอเช่นเจ้ากล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า ได้ ข้าขอคิดวิธีกินเจ้าก่อนก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเยือกเย็น ในนิมิตมืด ชายหนุ่มเคยเห็นศิษย์สำนักแห่งความมืดจำนวนหนึ่งแอบกินวิญญาณ สำนักแห่งความมืดนั้นกว้างใหญ่ไพศาล หากมีศิษย์บางคนแอบกินวิญญาณเป็นครั้งคราวก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น หรือหากมีใครเห็นก็ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย อย่างไรเสีย สำนักแห่งความมืดก็มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมบรรดาวิญญาณอยู่แล้ว

หวังเป่าเล่อไม่เคยกินวิญญาณมาก่อน แต่ก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร และเพราะช่วงนี้เขาขาดแคลนขนม จึงต้องตื่นกลางดึกเพราะความหิวอยู่บ่อยครั้ง เขากลืนน้ำลายและเลียริมฝีปากพลางจ้องมองไปยังวิญญาณสตรีร่างนั้น

ทว่าหวังเป่าเล่อก็หยุดตัวเองไว้ไม่ให้กินวิญญาณเข้าไป ชายหนุ่มคิดว่าต้องตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ให้ละเอียดเสียก่อน เขาจึงขังวิญญาณเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาศพของฟางมู่ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าบิดเบี้ยวหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย

ตามความรู้เรื่องวิญญาณของสำนักแห่งความมืด หวังเป่าเล่อตรวจสอบศพและลงความเห็นว่าฟางมู่ไม่ได้ถูกวิญญาณสังหาร แต่เสียชีวิตจากการถูกค้นวิญญาณ ไม่มีร่องรอยบาดแผลอื่นใดบนร่างกาย เขาถูกใครบางคนโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และวิญญาณก็ถูกรื้อค้น จนกระทั่งสมองไม่อาจทนรับการรื้นค้นได้จึงยุบตัวลง จากนั้นวิญญาณของฟางมู่จึงสลายกลายเป็นเถ้าไป

ช่างเป็นวิธีการสังหารที่โหดร้ายนัก หวังเป่าเล่อเงียบกริบ หลังจากตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงเก็บศพของฟางมู่ขึ้น อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเหมือนกัน เมื่อสหายเสียชีวิตลง หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจทิ้งศพอีกฝ่ายเอาไว้ในต่างแดนได้

หวังเป่าเล่อเริ่มหงุดหงิดใจท่ามกลางความเงียบสงัด แม้ว่าทุกคนจะเตรียมใจมารับมือกับความเลวร้ายแสนสาหัสเมื่อขึ้นมาถึงกระบี่สำริดเขียวโบราณ แต่ชายหนุ่มก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้เมื่อได้มาเห็นความตายด้วยตาตนเอง

ไม่นานนักเขาก็ควบคุมอารมณ์ได้ ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้นจ้องมองไปยังแมลงปีกแข็งสีทอง หวังเป่าเล่อกระโจนทีเดียวไปถึงรอยแยกบนตัวมัน และพบอีกสองศพอยู่ด้านใน

หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคน เขาสวมเสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ขาดวิ่นและเสียหาย ร่างนี้เสียชีวิตมานานแล้วและปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายออกมาเข้มข้น แม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วแต่พลังวิญญาณถึงแผ่ออกมาจากร่างก็ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับหรี่ตา

อีกร่างหนึ่งที่เสียชีวิตอยู่ข้างๆ กันไม่ใช่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล ร่างนั้นมีสามศีรษะหกแขน…เป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง!

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดก่อนจะสิ้นใจไปพร้อมๆ กัน ด้วงสีทองน่าจะเป็นเรือบินของใครสักคนในนี้ หลังจากที่พวกเขาตาย ด้วงก็ตายตามไปด้วย และถูกฝังอยู่ในดินบนพื้นที่ยกสูง

ผืนแผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงนับแต่นั้น ทะเลเพลิงท่วมสูง ในอนาคตอันใกล้ทุกสิ่งในที่นี้ก็คงจะอันตรธานหายไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนสภาพของผืนแผ่นดิน

สิ่งของมีค่าในกระเป๋าคลังเก็บของพวกเขาหายไปจนหมด อีกทั้งยังไม่มีตราประจำตัว หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าสิ่งของเหล่านั้นถูกทำลาย แต่น่าจะมีใครขโมยไปมากกว่า

เป็นไปได้ว่าผู้ที่ขโมยสิ่งเหล่านั้นไปจะเป็นฆาตกรสังหารฟางมู่

*พวกเขาสังหารฟางมู่และวางกับดักเอาไว้ที่นี่…*หวังเป่าเล่อไม่พบอะไรอีกจากการค้นหา ชายหนุ่มผละออกมาจากด้วงสีทองและปล่อยตัววิญญาณสตรี ก่อนจะจับคอนางเขย่าอย่างรุนแรง เมื่อเห็นหน้าหวังเป่าเล่อนางก็ส่งเสียงกรีดร้องและเริ่มดิ้นพราดราวกับเป็นใบไม้ต้องลม

“ถ้าไม่หุบปาก ข้าจะกินเจ้าเสีย!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเยือกเย็น

วิญญาณสตรีเงียบเสียงลงทันที นางยังคงตัวสั่นเทา แต่ไม่กล้าส่งเสียงอีกแม้แต่คำเดียว

“บอกข้าเสีย เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน” หวังเป่าเล่อจ้องหน้าดวงวิญญาณในชุดคลุมสีขาวและถามอย่างแช่มช้าด้วยน้ำเสียงสงบ ทว่าหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา วิญญาณสตรีก็เริ่มตัวสั่นอีกครั้ง นางไม่กล้าปิดบังความจริงจากหวังเป่าเล่อ จึงพูดด้วยสติที่เลือนลาง

“ตระกูลไม่รู้สิ้น…ครอบงำ…ล่อเจ้ามาที่นี่…เพื่อสังหาร…”

“ว่าอย่างไรนะ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน ชายหนุ่มทำผนึกฝ่ามือหลายอันก่อนจะส่งเปลวไฟสีดำพุ่งตรงเข้าไปในหน้าผากของวิญญาณ และดึงกลับมาในเวลาเพียงชั่วครู่ คาถานี้หวังเป่าเล่อเรียนมาเมื่อครั้งอยู่ที่สำนักแห่งความมืด เป็นวิธีดูว่าวิญญาณพูดความจริงหรือไม่ เขาเริ่มถามคำถามนางชนิดลงรายละเอียด ผ่านไปครู่ใหญ่ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ดำคล้ำขึ้น ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งได้ควบคุมวิญญาณตนนี้และพานางมาที่นี่ ด้วยความตั้งใจจะสังหารหวังเป่าเล่อ

เห็นได้ชัดว่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นี้ไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืด สิ่งเดียวที่เขาไม่กลัวก็คือวิญญาณ

ความคิดนับไม่ถ้วนพุ่งตัวผ่านศีรษะของหวังเป่าเล่อ เบาะแสเดียวที่ชายหนุ่มมีคือคำบอกเล่าของวิญญาณสตรีที่สติไม่อยู่กับร่องกับรอย อย่างไรเสีย เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความลับอันล้ำลึกที่แฝงตัวอยู่ภายใต้สำนักวังเต๋าไพศาลและกระบี่สำริดเขียวโบราณ

ยังมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่มีชีวิตอยู่อีกหรือหวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึงไป ชายหนุ่มตัดสินใจว่า เขาต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และตอนที่เขากำลังจะจัดการกับวิญญาณสตรีนั่นเอง…

วิญญาณน้อยทั้งเจ็ดตนที่หนีไปก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งหมดตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว