“คนในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้ของพวกคุณแพ้แน่นอน!”
เสียงไพเราะของเย่เทียนดังขึ้นข้างหู ทำให้ฉินโล่หยินซึ่งกำลังทำอะไรไม่ถูกก็อดไม่ได้อุทานออกมา
“หา?ไม่มั้ง?”
สายตาของหญิงสาวเปลี่ยนจากสนามสู้รบไปที่ร่างกายของเย่เทียนทันที “ไม่หรอกมั้ง?คุณอาฉินกำลังอยู่เหนือกว่าไม่ใช่เหรอ?”
“มันเหนือกว่าชั่วคราวเท่านั้น”
เย่เทียนส่ายหัวเล็กน้อยและอธิบายว่า “คุณอาฉินของคุณโจมตีอย่างรุนแรง ออร่านั้นทรงพลังมาก แต่ไม่สามารถทำให้หนิงหยวนได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”
“ในทางกลับกัน หนิงหยวนที่ดูเหมือนจะเสียเปรียบหรือด้อยกว่า แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เสียพลังงานเลย”
“ด้านหนึ่งใช้กำลังกายมาก ในขณะที่อีกด้านหนึ่งกำลังเติมพลัง ผลลัพธ์เป็นยังไงไม่ต้องพูดก็รู้”
อันที่จริง เย่เทียนรู้ตอนจบเป็นอย่างไรตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
ตอนที่ฉินยีเป้าปรากฏตัว เย่เทียนก็รู้ความแข็งแกร่งของเขาอย่างสมบูรณ์ มันเป็นเพียงระดับเหลืองตอนกลางเท่านั้น
ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การแบ่งความแข็งแกร่งระหว่างนักบู๊นั้น ด้อยกว่าหนึ่งระดับก็เหมือนด้อยกว่าล้านระดับ!
แม้ว่าหนิงหยวนจะเพิ่งเข้าสู่ระดับเหลืองตอนปลาย ถ้าเขาต่อสู้อย่างจริงจัง มันไม่ใช่ฉินยีเป้าในระดับเหลืองตอนกลางสามารถต้านทานได้!
เหตุผลที่หนิงหยวนจงใจไม่โจมตี เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะหนิงหยวนยังรักษาความแข็งแกร่งของเขาไว้ได้ไม่เต็มที่ เขาจึงไม่อยากได้รับบาดเจ็บด้วยเหตุนี้มั้ง?
ใบหน้าเล็กๆอันบอบบางของฉินโล่หยินซีดในทันที และพูดอย่างประหม่า “ถ้าเหมือนที่คุณพูด งั้นคุณอาฉินจะต้องแพ้ใช่ไหม?”
ไม่ใช่ว่าเธอรับไม่ได้กับความเสื่อมโทรมของโรงฝึกศิลปะการต่อสู้แช่ฉิน อย่างมากก็แค่ปิดกิจการ เพราะยังไงแล้วฝั่งเมืองเจียงหนันต่างหากที่เป็นฐานของตระกูลฉิน
ปัญหาสำคัญคือ หนิงหยวนคนนี้โหดร้ายมาก และคนที่แพ้เขามักจะต้องชดใช้ด้วยราคาที่แพง
ยังไงฉินยีเป้าก็นามสกุลฉินมาโดยตลอด พูดได้ว่าเขาดูเธอโตมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ไม่ต้องพูดถึงว่าจะชกเขาจนตาย แค่พิการเธอยังยอมรับไม่ได้เลย!
“อืม”
เย่เทียนพยักหน้าเล็กน้อยและสรุปว่า “สามนาที เกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่เกินสามนาที หนิง หยวนก็อดไม่ได้ที่จะลงมือ จากนั้นคนในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้แช่ฉินจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!”
บูม!
ราวกับว่าต้องการพิสูจน์คำพูดของเย่เทียน สถานการณ์ในสนามเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากหลบเลี่ยงมากกว่าสิบกระบวนท่า หนิงหยวนผู้ซึ่งรู้วิธีการของฉินยีเป้า ในที่สุดก็เริ่มการโจมตีโต้กลับ
ฝ่ามืออันดุดันกระแทกไหล่ของฉินยีเป้า ชกจนเขาบินถอยกลับไปแล้วกระแทกพื้นคอนกรีตที่แข็งอย่างแรง
เมื่อเห็นฉากนี้ พวกหัวล้านที่มากับหนิงหยวนก็ดีใจและโห่ร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เจ้าโรงอะไร ที่แท้ก็มีความสามารถแค่นี้!”
“เจ้าโรงขยะแบบนี้ ยังกล้ามาเปิดโรงฝึกศิลปะการต่อสู้อะไรกัน รีบกลับไปในชนบทและไปปลูกข้าวเถอะ!”
ในทางกลับกัน ลูกศิษย์ในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้แช่ฉินต่างอ้าปากและตกตะลึง และพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าโรงที่เหนือกว่าตอนแรกถึงแพ้อย่างกะทันหัน?
“เย่เทียน คุณต้องช่วยฉันหน้อยแล้ว”
ฉินโล่หยินรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลมากขึ้น ราวกับว่าเธอคว้าความหวังสุดท้าย จับแขนของเย่เทียนไว้แน่น
“ถ้าครั้งแพ้ งั้นต่อไปตระกูลฉินอย่าได้คิดที่จะได้บุกเบิกในเมืองเอกอีก”
“ผมช่วยได้ แต่…”
รอยยิ้มชวนคิดปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เทียน”ผมไม่ใช่เหลยเฟิงที่ทำความดีไม่หวังผล อะไรที่ทำฟรีไม่ได้ผลประโยชน์ผมไม่ทำ”
“ขอเพียงคุณยินดีช่วย ฉันจะสนองคุณ!”
“เงื่อนไขอะไรก็ได้จริงๆหรือ ”
ดวงตาของเย่เทียนเป็นประกายด้วยแสง ถ้าอย่างงั้น ตอบแทนผมด้วยการคบกับผมได้ไหม?
ฉินโล่หยินกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฉินยีเป้า เธอจึงพยักหน้าและตอบตกลงโดยไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
“แล้ว ถ้าผมอยากให้คุณแต่งงานกับผมล่ะ?”
เย่เทียนหัวเราะ สายตาสแกนหญิงสาวหัวจรดเท้าอย่างสกปรก
ฉินโล่หยินตกตะลึงในทันที ไม่เคยคิดว่าเย่เทียนจะพูดประโยคนี้ออกมา
เธอรู้จักเย่เทียนดี และไม่ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับปรมาจารย์ปรุงยาหนุ่มคนนี้
อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ใช่ไหม!
เห็นได้ชัดว่เย่เทียนฉวยโอกาสตอนที่เธอตกอยู่ในอันตราย เธอจึงอดลังเลใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในฐานะผู้หญิง
เย่เทียนหน้าด้านเปรียบได้กับกำแพงเมือง เขามองดูฉินโล่หยินด้วยรอยยิ้มที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“คนสวย อย่ายืนโง่ๆและไม่พูดอะไร! แม้ว่าผมต้องการให้เวลาคุณคิดจริงๆ แต่คราวนี้ไม่รอใครแล้ว! คุณเห็นไหม หนิงหยวนเดินไปทางฉินยีเป้าแล้ว เกรงว่าเขาจะโดนจัดการแล้ว!”
“หรือว่า คุณรู้สึกลำบากใจ?แต่งงานกับผมนั้นเป็นเรื่องน่าเสียใจ?”
ฉินโล่หยินเหลือบมองที่เกิดเหตุและเห็นว่าหนิงหยวนกำลังเดินไปหาฉินยีเป้าด้วยรอยยิ้ม หัวใจของเธอก็กังวลอย่างมาก
“เย่ เย่เทียน ฉันรับปากกับคำขอของคุณไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จำนวนครั้งที่เราสองคนได้พบกันจนถึงตอนนี้มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น”
“ไม่ว่าฉันหรือคุณ เราก็ไม่ได้รู้จักกันและกันมากนัก ให้ฉันแต่งงานกับคุณ มันยากเกินกว่าที่ฉันจะยอมรับได้จริงๆ”
“แต่เราลองคบกันดูได้นะ และเมื่อเราคุ้นเคยกันดีแล้ว ถ้าเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ แล้วเราค่อยแต่งงานกันใหม่ คุณว่าวิธีนี้โอเคไหม?”
นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดที่ฉินโล่หยินคิดได้ มันแค่คบกันดู แต่เข้ากันได้ไหม ไม่ใช่เธอสามารถตัดสินใจได้หรอกใช่ไหม?
เย่เทียนยิ้มทันที ไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าวิธีนี้จะทำให้ฉินโล่หยินรู้สึกขุ่นเคือง ดวงตาของเย่เทียนหมุนไปมา และเขาก็เปลี่ยนใจโดยตรง
“ไม่ล้อคุณเล่นละ ดูคุณกังวลขนาดนั้น”
“เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมช่วยเสร็จแล้ว คุณจูบผมหนึ่งทีก็พอ แบบนี้โอเคใช่ไหม?”
ฉินโล่หยินรู้สึกโชคดีและไม่พอใจเมื่อได้ยินเช่นนี้
รู้สึกโชคดีคือเรื่อวแต่งงาที่เย่เทียนพูดเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่สิ่งที่น่าโมโหคือคำขอใหม่ของเย่เทียน
เธอเป็นคุณหนูที่สูงส่งของตระกูลฉิน ซึ่งเป็นตระกูลอันดับต้นๆในเมืองเจียงหนัน ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากญาติพี่น้องแล้ว เธอไม่เคยมีเพื่อนต่างเพศที่สนิทสนมเกินไป
ในตอนนี้เย่เทียนกลับขอให้จูบเขา นั่นมันให้เธอมอบจูบแรกของเธอออกไปไม่ใช่หรอกหรือ?
หลังจากลังเลอยู่สองวินาที เมื่อเห็นว่าหนิงหยวนกำลังจะเดินไปตรงหน้าฉินยีเป้า ในที่สุดฉินโล่หยินก็ตัดสินใจได้
“ตกลง! ฉันสัญญา! แต่ถ้าคุณอาฉินได้รับบาดเจ็บใดๆ ข้อตกลงนี้จะถือเป็นโมฆะโดยอัตโนมัติ!”
“งั้นคุณก็รอไว้เลย!”
เย่เทียนมีความสุขมาก ขยับเท้า และรีบวิ่งไปที่สนามด้วยความว่องไว
“ผมยังไม่แพ้เลย! มาอีก!”
การสนทนาระหว่างทั้งสองผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหนิงหยวนเดินไปหาเขาอย่างช้าๆ ฉินยีเป้าก็พยายามลุกขึ้นยืน
เมื่อกี้ฉินยีเป้าใช้กำลังภายใน และตอนนี้มันยากสำหรับเขาที่จะใช้ทั้งแขนของเขา
ถึงกระนั้น ฉินยีเป้าก็ไม่ยอมแพ้ กัดริมฝีปากแน่น ทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ส่งมาจากไหล่ของเขา และต้องการที่จะวิ่งไปข้างหน้าต่อไป
“เจ้าโรงฉิน คุณฉินโล่หยินให้ผมมา คุณไปพักผ่อนที่ด้านข้างก่อนเถอะ!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไป เขารู้สึกว่าไหล่ของเขาทรุดลง และเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูของเขา
คนๆนี้ จะเป็นใครได้อีกนอกจากเย่เทียน?