บทที่ 81 เริ่มการประลอง[รีไรท์]
ใจกลางจัตุรัสมีการแบ่งพื้นที่เป็นที่ตั้งของเวทีสี่เหลี่ยมยกขึ้นสูงจากพื้นไว้อยู่ตรงกลาง
รอบเวทีมีคบเพลิงที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะที่แม้ว่าลมกระโชกแรงจะพัดเข้ามา ก็ไม่สามารถดับเปลวเพลิงได้ คบเพลิงที่ลุกโชนและเวทีสี่เหลี่ยมสีแดงสะท้อนกันและกันราวกับทะเลเพลิง
กลุ่มของหลิงตู้ฉิงเดินเข้าไปในจัตุรัส เพื่อไปยังจุดรับชมที่ทางฝ่ายจัดงานจัดไว้ให้กับพวกเขา ซึ่งที่นั่งรับชมของกลุ่มหลิงตู้ฉิงจะอยู่ที่ด้านหน้าสุด ซึ่งการจัดที่นั่งเช่นนี้นั้นเหตุผลเป็นเพราะหยิงหวูเจี้ยงได้แอบสั่งให้คนของเขาดูแลกลุ่มของหลิงตู้ฉิงเป็นพิเศษ
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนที่เข้าร่วมและครอบครัว งานประลองเทศกาลบูชาเพลิงจากสถาบันอื่น ๆ ก็มาถึงทีละคนสองคน
เทศกาลบูชาเพลิงเริ่มอย่างเป็นทางการหลังเที่ยงวัน
เมื่องานเริ่ม ผู้จัดเทศกาลบูชาเพลิงได้ออกมาเล่าถึงประวัติที่มาเทศกาลบูชาเพลิง จากนั้นจึงเริ่มแนะนำชื่อบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมเทศกาลบูชาเพลิงในวันนี้ และหนึ่งในแขกที่ได้รับการเอ่ยชื่อนั่นก็คือ เฮ่อเจี้ยนปิง ซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างประธานของงานหยิงหวูเจี้ยง
ชื่อของ เฮ่อเจี้ยนปิง ถูกกล่าวขึ้นในฐานะตัวแทนของสถาบันราชวงศ์
หลังจากแนะนำชื่อของบรรดาแขกคนสำคัญเรียบร้อย พิธีกรก็เชิญเจ้าเมืองฟินิกซ์ หยิงหวูเจี้ยงออกมากล่าวเปิดงาน
หยิงหวูเจี้ยงได้ออกมากล่าวถ้อยคำให้กำลังใจผู้เข้าร่วมการประลองเล็กน้อย และจากนั้นเขาจึงเดินกลับไปนั่งตำแหน่งประธานของงาน
เมื่อหยิงหวูเจี้ยงกลับไปนั่งที่ การประลองเทศกาลบูชาเพลิงจึงเริ่มขึ้นทันที
การประลองครั้งนี้ มีสถาบันเข้าร่วมทั้งหมด 13 แห่ง และสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งมีผู้ร่วมการประลองรวมทั้งหมด 39 คน และอีก 6 คนที่ได้รับการคัดเลือกจากคนทั่วไป ทั้งหมดรวมกัน 45 คนที่จะเข้าร่วมการประลองในเทศกาลบูชาเพลิง
“ตอนนี้ผู้เข้าร่วมทุกคนที่เข้าร่วมการประลองเทศกาลบูชาเพลิงโปรดขึ้นมาบนเวที!”
เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าภาพ หลิงยู่ชานก็หันกลับมาและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “ท่านพ่อ ข้าไปนะ!”
“ไปเถอะ ไม่ต้องตื่นเต้น” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
“พี่ใหญ่ เอาที่หนึ่งมาให้ได้นะ!” หลิงว่านถิงหัวเราะ
หลิงยู่ชานพยักหน้าและกล่าวว่า “แน่นอน!”
ผู้เข้าแข่งขัน 45 คนยืนนิ่งอยู่บนเวทีเพื่อรอคำสั่งของกรรมการ
กรรมการที่รับผิดชอบการประลองครั้งนี้คือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณที่ถูดคัดเลือกมาเป็นพิเศษโดยหยิงหวูเจี้ยงชื่อของเขาคือ หลินยู่
หลินยู่ตะโกนขึ้น “กฎของการประลองปีนี้นั้นเหมือนกับทุก ๆ ปี ดังนั้นข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม ตอนนี้พวกเจ้าคนไหนที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 2 หรือสูงกว่า ให้ก้าวไปยืนฝั่งตรงข้าม”
ในพริบตามีคน 36 คนเดินออกไปตั้งแถวใหม่เพื่อยืนประจันหน้ากับผู้เข้าร่วมที่อยู่ในระดับหนึ่ง เหลือเพียง 9 คนที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับหนึ่งที่ยังยืนอยู่กับที่
หลินยู่ตะโกน “ตอนนี้พวกเจ้าทั้งเก้าคนสามารถเลือกใครก็ได้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเจ้าเพื่อท้าทาย ผู้ที่ชนะจะอยู่ต่อเพื่อสู้ในรอบถัดไปส่วนผู้แพ้จะถูกคัดออกทันที”
ผู้เข้าร่วมที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับหนึ่งล้วนเป็นคนจากสถาบันเล็ก ๆ ทั้งหมดและไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆ เมื่อต้องท้าสู้กับคนที่มีระดับสูงกว่า พวกเขาจึงไม่มีหวังเลยที่จะชนะ เพราะฉะนั้นผลที่ออกมาคือในรอบแรกผู้เข้าร่วมระดับหนึ่งทุกคนต่างพ่ายแพ้และถูดคัดออกหมดทันที
“รอบสอง ผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 หรือเหนือกว่า ก้าวไปยืนฝั่งตรงข้าม!” หลินยู่ตะโกน มีคน 20 คนเดินก้าวออกจากแถวไปตั้งแถวใหม่ “กฎเดิมพวกเจ้าที่อยู่ระดับสองท้าใครก็ได้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม!”
จนถึงตอนนี้สามคนที่เป็นตัวแทนจากสถาบันหงส์เพลิงยังไม่มีใครโดนเลือกให้ออกมาต่อสู้เลยแม้แต่คนเดียว
ในรอบนี้หลิงยู่ชานได้รับการโดนท้าด้วย แต่อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของหลิงยู่ชานนั้นอยู่ในระดับที่สี่แล้ว ดังนั้นเขาจึงส่งเด็กน้อยที่ท้าทายเขาลงจากเวทีด้วยความรวดเร็ว
แต่ในรอบนี้ก็ยังมีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่บ้าง มีผู้ท้าชิงในระดับสองอยู่ 3 คน ที่สามารถเอาชนะผู้เข้าร่วมที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 ได้ ทำให้พวกเขาได้เข้าสู่รอบถัดไป สำหรับผู้แพ้ต้องเดินลงจากเวทีอย่างหดหู่
“ในรอบที่สาม ผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 4 หรือเหนือกว่าออกไปยืนฝั่งตรงข้าม” หลินยู่ตะโกน
รอบนี้ผู้ที่ก้าวออกมามีเพียง 9 คน และหลิงยู่ชานก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ก่อนประลองรอบนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสามพักก่อนครึ่งชั่วโมง หลังจากพักเสร็จพวกเจ้าสามารถเลือกท้าทายผู้เข้าร่วมที่อยู่ตรงข้ามได้เช่นเดิม และในรอบนี้จะไม่มีการจำกัดจำนวนครั้งของผู้ที่ถูกท้าทาย แต่ผู้ที่ถูกท้าเมื่อหลังจากสู้เสร็จหากชนะเขาจะได้รับสิทธิ์ในการพักครึ่งชั่วโมงถึงจะสามารถรับคำท้าต่อได้ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คือพวกเจ้าที่อยู่ในระดับสามทั้งหมดสามารถรุมท้าผู้เข้าร่วมที่อยู่ในระดับ 4 คนเดียวกันซ้ำ ๆ ได้ และผู้ที่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไป ทุกคนจะได้รับรางวัลจากการประลอง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินยู่ ดวงตาของผู้ท้าชิงระดับต่ำกว่าสี่ทั้งหมดก็เปล่งประกายขึ้น แม้ว่าระดับบ่มเพาะของพวกเขาจะต่ำกว่า แต่กฎนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อพวกเขา เพราะพวกเขาสามารถใช้วิธีการรุมท้าผู้เข้าร่วมคนเดียวกัน จนผู้ถูกท้าต่อสู้จนหมดแรงและโอกาสชนะจะเป็นของพวกเขามากขึ้น
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่กล้าท้าผู้ที่อยู่เหนือระดับ 4 ขึ้นไปแน่นอน ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของพวกเขาจะน้อยลงมากไปอีก
หลังจากพักครึ่งชั่วโมงผ่านไป ตอนนี้ยังไม่มีผู้ท้าชิงสักคนที่ออกมาท้าผู้เข้าร่วมระดับ 4 นี่เป็นเพราะไม่มีใครต้องการที่จะเป็นบันไดให้กับคนอื่นเพื่อประสบความสำเร็จ หากพวกเขาเข้าไปท้าก่อนเป็นคนแรกโอกาสที่จะถูกส่งกลับบ้านนั้นย่อมสูงมากและจะเป็นการเปิดทางให้กับผู้ท้าประลองคนถัดไปได้รับประโยชน์อีกต่างหาก
ทุกคนจึงรอให้คนอื่นท้าก่อน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินยู่ก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าอีก 1 นาทีในการเตรียมตัว 1 นาทีต่อมาหากไม่มีใครเริ่มการท้าทายข้าจะเริ่มทำการสุ่มพวกเจ้าให้สู้กับพวกเขา!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินยู่ ผู้ท้าชิงทุกคนต่างก็ตกใจ
หากพวกเขาเกิดซวยถูกสุ่มให้ไปสู้กับพวกเด็กที่มาจากสถาบันหงส์เพลิงนั้นมันก็เท่ากับว่าปิดฝาโลงของพวกเขาได้ทันที
พวกเขาทั้งหมดจึงรีบกวาดตามองหาคู่ต่อสู้ที่คิดว่าตนอาจจะพอจะต่อกรได้บ้างเมื่อตอนยังมีโอกาสเลือกเองอยู่
เมื่อผ่านไปเพียงครู่เดียว เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ชี้นิ้วขึ้นไปที่หลิงยู่ชาน “ข้าท้าเขา!”
เมื่อได้ยินเสียงออกคำท้า หลินยู่ก็เลิกนับถอยหลังการสุ่ม
หลิงยู่ชานผู้ถูกท้าทายเดินออกไปและต่อสู้กับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ หลังจากแลกกันอยู่สองหมัดเด็กหญิงก็พ่ายแพ้และหลิงยู่ชานเป็นฝ่ายชนะไปอย่างง่ายดาย
ขณะที่หลินยู่ประกาศผลความพ่ายแพ้ของเด็กผู้หญิงที่ท้าหลิงยู่ชาน เด็กตัวอ้วนอีกคนก็ก้าวออกมาทันทีและชี้ไปที่หลิงยู่ชาน เขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าขอท้าเขา!”
“นี่มันไม่ยุติธรรมนี่!” หลิงว่านถิงร้องออกมา “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็หมายความว่าทุกคนจะต้องรุมกันท้าทายพี่ใหญ่ทั้งหมดแน่นอน!”
หลิงเทียนหยุน หลิงฟ่างหัวและคนอื่น ๆ ต่างก็ตะโกนประท้วง เนื่องจากหลิงยู่ชานเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขา พวกเขาจึงไม่สามารถเห็นพี่ใหญ่ถูกรังแกเช่นนี้ได้ “ท่านพ่อทำไมท่านยังเงียบอยู่อีก! ท่านจะทนมองพี่ใหญ่ถูกรังแกแบบนี้ไม่ได้นะท่านพ่อ!” หลิงว่านถิงดึงเสื้อหลิงตู้ฉิงและพูด
มี่ไลอธิบายอย่างรวดเร็วจากด้านข้าง “นายท่าน พวกเขาไม่ได้ตั้งใจมุ่งเป้าไปที่นายน้อย แต่นี่เป็นกฎของเทศกาลบูชาเพลิงที่มีมานานแล้ว จุดประสงค์ของการประลองนี้อันที่จริงคือการทดสอบศักยภาพของผู้เข้าร่วมให้ได้มากที่สุด”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ข้าไม่ประท้วงอะไรอยู่แล้ว” เมื่อจบประโยคหลิงตู้ฉิงจึงหันมาพูดกับลูก ๆ ของเขาต่อ “และพวกเจ้าทุกคนจงดูอย่างเงียบ ๆ พวกเจ้าไม่ควรจะกังวลอะไรให้มันมากมาย ที่ผ่านมาพวกเจ้าไม่เห็นหรือไงว่าพี่ใหญ่ของพวกเจ้าทุกวันนี้ตอนที่อยู่ในเรือน เขาสามารถสู้กับซ่งเหวินเถาได้ตลอดทั้งบ่ายโดยที่ไม่ต้องพัก แล้วพวกเจ้าคิดว่าเขาจะพ่ายแพ้ด้วยวิธีนี้จริง ๆ หรือ? นี่ถือเป็นเรื่องดีมากที่มีผู้คนมากมายมาเป็นคู่ซ้อมให้แก่เขา และที่สำคัญพวกเจ้าไม่ได้ฟังกฎของรอบนี้กันเลยงั้นเหรอ?”
หลิงว่านถิงและน้องของนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพวกเขาคิดดูแล้วก็นึกได้ว่าทุกอย่างเป็นเหมือนที่พ่อของพวกเขาพูดไว้จริง ๆ พวกเขาจึงผ่อนคลายลงทันที
“พี่ใหญ่เอาเลย! ให้พวกเขาเห็นความแข็งแกร่งของท่านเอาชนะพวกเขาให้หมด!” เด็กตัวเล็ก ๆ ทั้งหมดตะโกน
ส่วนหลิงตู้ฉิงเองเขาไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่รักษาสีหน้ายิ้มแย้มขณะมองขึ้นไปที่เวที
ในเวลาเดียวกับที่เมื่อหลิงตู้ฉิงอธิบายให้ลูก ๆ ของเขาฟังจบ หลินยู่ก็เริ่มพูด “เจ้ายังไม่สามารถท้าทายเขาตอนนี้ได้ เจ้าต้องรอให้เขาพักก่อนครึ่งชั่วโมงตามกฎ เขาถึงจะสามารถรับคำท้าต่อได้”
“เพราะฉะนั้น ตอนนี้เจ้าต้องเลือกคู่ต่อสู้คนอื่นก่อน แต่ถ้าหากเจ้าไม่เลือกภายใน 1 นาทีข้าจะเป็นผู้สุ่มคู่ต่อสู้ให้กับเจ้าเอง” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินยู่ เด็กชายร่างท้วมที่แต่เดิมเคยลำพองใจ ตัวแข็งทื่อในทันที เขาคิดว่าเขาจะฉวยตอนที่หลิงยู่ชานน่าจะเหนื่อยอยู่เพิ่มโอกาสชนะให้กับตัวเขาเองมากขึ้น แต่สุดท้ายด้วยความตื่นเต้นเขากลับลืมกฎของการประลองเทศกาลบูชาเพลิง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกคู่ต่อสู้คนใดคนหนึ่งที่ไม่ใช่หลิงยู่ชานแทน
เขาเหลือตัวเลือกเพียง 8 คน เขาตัด 3 คนที่มาจากสถาบันฟีนิกซ์ออกไปเนื่องจากเขารู้ดีว่าเขาไม่มีโอกาสชนะแน่นอน เขาจึงเลือกที่จะสุ่มผู้เข้าร่วมอีก 5 คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาที่เหลือ
และผลที่ออกมาคือเจ้าอ้วนตัวน้อยที่โชคร้ายดันเลือกคู่ต่อสู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 5 และด้วยระดับของเขาที่อยู่เพียงแค่ระดับสาม เขาก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว