ตอนที่ 971 เขาภูตพเนจร

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 971 เขาภูตพเนจร โดย Ink Stone_Fantasy

กำลังพลสองกลุ่มพุ่งออกจากชั้นบรรยากาศตามหลังกันไป มุ่งสู่ทิศทางเดียวกันแบบเจ้าไล่ตามข้า ส่วนข้ามุ่งหน้าสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนจะไม่อยากตามหลังโค่วเหวินหลาน เมื่อเห็นพวกลูกน้องวรยุทธ์ไม่สูงเท่าตน ความเร็วในการเหาะทำให้ไล่ตามตนไม่ทัน ก็ออกคำสั่งว่า “เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าให้หมด”

ลูกน้องทุกคนพูดไม่ออกสุดๆ ต่างก็อยากจะปฏิเสธ ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมาก ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของคนอื่น ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีขึ้นมา ลงดาบฟันบนกระเป๋าสัตว์สักหนึ่งที ร่างกายที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย ต้องรู้ไว้ว่ากระเป๋าสัตว์ไม่มีความสามารถในการป้องกันใดๆ เลย เรื่องที่มอบชีวิตให้แบบนี้ ยามเจอกับผู้บัญชาการที่ไม่น่าเชื่อถือ ใครบ้างจะไม่หวาดกลัว?

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าบ้านี่ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลเลย ได้แต่ถูกเขาเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ไปคนแล้วคนเล่าแต่โดยดี

เมื่อไม่มีลูกน้องที่วรยุทธ์ต่ำเป็นตัวถ่วง เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มที่ทันที ไม่นานก็ตามทันพวกโค่วเหวินหลาน แล้วแฉลบผ่านนำไปพร้อมเสียงหัวลั่นลำพองใจ ทั้งยังส่ายก้นอวดโค่วเหวินหลานด้วย

โค่วเหวินหลานหน้าเครียดลงสามส่วน เปิดเกราะรบที่ห้อยอยู่ตรงเอว เผยกระเป๋าสัตว์ที่อยู่ตรงเอวออกมา แล้วตะโกนบอกพวกลูกน้อง “พวกเจ้าก็เข้ามาเหมือนกัน!”

“นายท่าน คนเยอะขนาดนี้…”

สวีถังหรานยังไม่ทันพูดจบ โค่วเหวินหลานก็ตะคอกถามแล้วว่า “เจ้าคิดจะขัดคำสั่งเหรอ?”

พวกลูกน้องพูดไม่ออก ทำได้เพียงถูกเขาเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์แต่โดยดี แต่ละคนที่เข้าไปแอบด่าแม่ในใจ

ในกระเป๋าสัตว์เบียดกันมาก แต่จะบอกว่าพื้นที่น้อยก็ไม่ได้ เพราะของสิ่งนี้จะขยายและหดตามของที่อยู่ข้างใน คาดว่าเก็บเข้าไปอีกร้อยคนก็ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังเบียดกันอยู่ดี รู้สึกเบียดเหมือนจับคนฝังรวมเข้าไปในกองผ้าฝ้าย คนสามสิบกว่าคนเบียดรวมกันเป็นก้อนอยู่ข้างในอย่างไร้ระเบียบ ประกอบกับความมืดที่ทำให้มองไม่เห็นอะไร สถานที่ที่ไร้แสงสว่าง ต่อให้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีประโยชน์

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองไปเบียดอยู่บนตัวของใคร จึงออกแรงผลักออก ทำให้คนที่โดนผลักบิดตัวหนีทันที ตามด้วยเสียงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “แม่งเอ๊ย ใครมันลูบไล้ก้นข้า!”

เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย หัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่ใหญ่สวี่ ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

สวีถังหรานที่ศีรษะแนบอยู่ในอ้อมอกเหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะทันที “น้องหนิว ข้าก็นึกว่าเจ้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็สนใจก้นผู้ชายเหมือนกัน”

“มารดาเจ้าสิ ข้าไม่ได้ขายตูดโว้ย!” สวี่เต๋องอเท้าเหยียบหน้าสวีถังหราน

สวีถังหรานร้องทันที “สวี่เต๋อ เจ้ากล้าเหยียบหน้าข้าเหรอ!” ขณะที่พูดก็ชกออกไปหนึ่งหมัด

“โอ๊ยๆ!” ข่งเฟยฝานร้องอุทาน “ใครชกข้า? สวีถังหรานใช่เจ้ารึเปล่า?”

คนสามสิบกว่าคนที่พัวพันกันเหมือนก้อนเชือก ขณะที่พวกเขากำลังต่างคนต่างเถียงกันไม่หยุด จู่ๆ ก็รู้สึกพร้อมกันว่าร่างของตัวเองทะลักขึ้นไปข้างบน ราวกับมีสิ่งของขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา

“ใครวะ?” เหมียวอี้หงุดหงิดมาก “แค่นี้ก็เบียดกันแล้ว อย่าขยับมั่วๆ สิ ไม่อย่างนั้น…”

จู่ๆ ในกระเป๋าสัตว์ก็สว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย แสงสีเขียวน่าตกใจมาก ลูกตาใหญ่สีเขียวมันวาวพลันเบิกโพลง กลอกกวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อมีลำแสงสายหนึ่งคอยช่วย ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของทุกคนก็ได้ใช้ประโยชน์ทันที เหมียวอี้เหมือนโดนอุดปาก มองภาพตรงหน้าอย่างหวาดผวา

ศีรษะขนาดใหญ่ที่มีเขาแหลมอัปลักษณ์ เขี้ยวที่ยื่นออกมานอกปากสูงเท่าคนหนึ่งคน ศีรษะคล้ายมังกร ลูกตากลมโตสีเขียวมันวาวกำลังกลอกกลิ้งมองกลุ่มคนอย่างช้าๆ แววตาที่หยุดนิ่งสั่นสะท้านใจคนมาก ลมหายใจที่เข้าออกรุนแรงราวกับทรายดูด แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจ

หนึ่งคนเงียบ สองคนเงียบ สุดท้ายกลุ่มคนที่อาศัยแสงจากตามันเพื่อหมุนตัวไปยืนเบียดกันในท่าปกติก็เงียบกริบ แต่ละคนอ้าปากค้างเบิกตากว้างมองดูศีรษะใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเกล็ดแข็งและกระดูกปูดน่าเกลียดน่ากลัว ทุกคนตะลึงงัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าทุกคนกำลังเบียดอยู่กับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวตัวหนึ่ง

มีบางคนเริ่มด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของโค่วเหวินหลานในใจ ในกระเป๋าสัตว์มีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ แต่ก็ยังจะเก็บพวกเราเข้ามา

พอสัตว์ปะหลาดอ้าปาก ทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวน ลิ้นสีแดงสดเลียกวาดออกมา เลียกวาดบนตัวทุกคนพร้อมกลิ่นเหม็นคาว

ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทหารเลวเกราะทองแต่ละคนก็ตัวเหนียวหนืด มีบางคนอยากจะฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ทิ้งมาก แต่นี่เป็นสมบัติของโค่วเหวินหลาน จึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง พวกเขาจึงได้แต่เบียดกันอยู่ตรงนั้นอย่างว่านอนสอนง่าย ปล่อยให้ลิ้นใหญ่ของสัตว์ปะหลาดเลียกวาดบนร่างกายและใบหน้า

สุดท้ายสัตว์ปะหลาดตัวนั่นก็หลับตาลง ศีรษะจมลงใต้ฝ่าเท้าของทุกคน พื้นที่ว่างที่เคยขยายออกหดลงทันที มัดกลุ่มคนไว้รวมกันอีกครั้ง

กระเป๋าสัตว์ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง ทุกคนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ได้แต่ค่อยๆ ดื่มด่ำกับกลิ่นเหม็นคาวที่สัตว์ปะหลาดทิ้งไว้

เมื่อรู้ว่าตัวเองยืนอยู่บนตัวของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ทุกคนก็ไม่กล้ายั่วโมโหมัน ที่สำคัญคือต่อให้ยั่วให้โมโหแล้ว ก็ไม่กล้าลงมือฆ่าสัตว์ประหลาดของโค่วเหวินหลานอยู่ดี ดังนั้นจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ พยายามไม่ยั่วโมโหสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้เท้า

“เมื่อกี้มันตัวอะไร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถามคนที่อยู่ข้างๆ

“เห็นแต่หัวไม่ได้เห็นทั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร ไม่เคยเห็นผู้บัญชาการโค่วเรียกออกมาใช้ด้วย” สวีถังหรานตอบ

สรุปว่าไม่มีการเถียงกันเหมือนก่อนหน้านี้อีก ทุกคนอยู่อย่างว่านอนสอนง่ายแล้ว

แดนอเวจี เขาภูตพเนจร เป็นดวงดาวที่ไร้เจ้าของ จึงไม่ได้นำชื่อของใครมาตั้งชื่อดวงดาว เนื่องจากมีภูตผีจำนวนมากมารวมตัวร่อนเร่กันกันอยู่ที่นี่ ทั้งยังเต็มไปด้วยเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน จึงถูกตั้งชื่อว่าเขาภูตพเนจร

เขาภูตพเนจรเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่มากจนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในเก้าโลก จินตนาการได้เลยว่าใหญ่ขนาดไหน รอบข้างที่กว้างโล่งไม่มีดาวดวงอื่นอยู่ด้วยกัน อาจเป็นเพราะหวาดกลัวที่มันใหญ่จนเหลือเชื่อ มีเพียงดวงอาทิตย์ไม่กี่ดวงที่โคจรรอบมัน แต่ระยะห่างอยู่ไกลเกินไป เห็นเพียงแสงกระพริบริบหรี่อยู่ในท้องฟ้าไกลๆ ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้มีแสงอ่อนจางมาก ทำให้ดาวทั้งดวงอยู่ในสภาวะมืดครื้มตลอดเวลา ขมุกขมัวตลอดเวลา เหมือนจะแจ่มชัดแต่ก็ไม่แจ่มชัด

กลุ่มภูตผีกำลังรวมตัวกันล่องลอยอย่างช้าๆ ร่างกายเลือนรางไม่ชัดเจน อยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง จัดเป็นนักพรตผีที่เพิ่งก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน แต่กลับไม่สามารถก่อตัวเป็นร่างจริงได้ เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

ขณะที่กลุ่มภูตผีร่างโปร่งแสงกำลังลอยเร่ร่อน จู่ๆ พวกมันก็เงยหน้าขึ้น เห็นเพียงเทพเกราะทองแฉลบลงมาจากฟ้า หลังจากเหยียบลงพื้นก็กลายเป็นร่างกำยำล่ำสัน ดวงตาสองข้างที่โตเหมือนระฆังทองแดงกวาดมองไปรอบๆ

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง

พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ ลูกน้องหลายสิบคนที่กำลังโซเซสับสนทิศทางก็ปรากฏตัว พอเห็นเขา ก็จัดตำแหน่งทิศทางใหม่อีกครั้ง

กลุ่มภูตผีเดินเข้ามาหาเขาทันที ยื่นสองมือเข้ามาทำท่าทางขอทาน มีบางคนส่งเสียงเล็กๆ เหมือนละเมอว่า “ทำบุญหน่อย ทำบุญหน่อยเถอะ!”

เสียงขอทานดังซ้อนกันหลายชั้น เหมือนมีวิญญาณโผล่ออกจากใต้ดินมากขึ้นในชั่วพริบตาเดียว มีทั้งหญิงทั้งชาย มีทั้งเด็กทั้งคนแก่ รูปร่างแตกต่างกันไป

สิ่งที่ขอก็คือสิ่งของที่จะช่วยให้ตัวเองฝึกตนได้ วรยุทธ์ของพวกเขาอ่อนแอเกินไปจริงๆ ไร้ความสามารถที่จะไปค้นหาทรัพยากรฝึกตนจากทั่วทุกที่ จึงมาร่อนเร่พเนจรอยู่ที่นี่ เมื่อมองเห็นความหวังจึงไม่อยากพลาดไป

เมื่อเห็นภูตผีล้อมเข้ามาอย่างหนาแน่น เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตะคอกเสียงดัง “ไสหัวไป!”

ภูตผีพวกนั้นกลับไม่ฟังเลย ยังคงยื่นมือทำท่าขอทานและรวมตัวกันเข้ามา สิ่งที่เรียกว่าภูตผีไม่จากไปไหนก็เป็นแบบนี้นี่เอง เข้ามาแกะแกะไม่ยอมปล่อยไป

“บังอาจ! บังอาจมาดูหมิ่นอำนาจสวรรค์!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันตะโกนอย่างเดือดดาล พอโบกมือหนึ่งที พลังอิทธิฤทธิ์ไร้รูปร่างก็ทะลักออกมาราวกับระลอกคลื่น

“อา…” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นแถบ ภูตผีนับร้อยนับพันกระเส็นกระสายหายไปในชั่วพริบตาเดียว โดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งบดจนขวัญหนีดีฝ่อ

ภูตผีที่เหลือลุกลี้ลุกลนมาก หันหน้าเลี้ยวหนีทันที บ้างก็มุดลงดิน บ้างก็สลายหายไปจนหมดเกลี้ยง คืนความชัดเจนให้ที่แห่งนี้

ในขณะนี้เอง มีเสียงฝ่าลมดังพรึ่บ โค่วเหวินหลานเหาะลงมาจากฟ้า พอโบกมือ พวกเหมียวอี้ก็ปรากฏตัวทันที

เรื่องแรกที่พวกเหมียวอี้ทำเมื่อปรากฏตัวออกมา ก็คือร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดคราบน้ำลายเหนียวบนตัวที่ตอนนี้แห้งกรังหมดแล้ว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานสบตากัน วุ่นวายอยู่ตั้งนานแต่ก็ยังมาถึงแทบจะพร้อมกัน ไม่มีใครทิ้งห่างใครได้ ต่างคนต่างทำเสียงฮึดฮัดใส่กัน

จากนั้นทั้งสองก็นำแผ่นหยกออกมาดูแทบจะพร้อมกัน แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันกระทืบเท้าอย่างแรง ทำให้พื้นดินสะเทือนเล็กน้อย แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “เทพแห่งผืนดินของที่นี่อยู่มั้ย?”

โค่วเหวินหลานตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันที “ไอ้หมีควาย เจ้ากลัวว่าจะเคลื่อนไหวเบาเกินไปเหรอ กลัวว่าเป้าหมายจะไม่รู้เหรอว่าพวกเราจะมาจับตัว?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงอึ้งเล็กน้อย เหมือนจะสังเกตเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่เหมาะสม แต่ภายนอกก็ยังมองเหยียดโค่วเหวินหลาน

ผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวก็รีบลอยมาจากที่ไกลๆ มาเหยียบลงตรงหน้าพวกเขา แล้วกุมหมัดคารวะ “กู้โส่วเทพแห่งผืนดินคำนับท่านขุนนางทุกท่าน!”

เหมียวอี้เห็นบนตัวเทพแห่งผืนดินมีปราณหยินเข้มข้นมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นนักพรตผี

เห็นเพียงเทพแห่งผืนดินคนนั้นถอดแผ่นหยกตรงเอวลลงมาให้ทั้งสองตรวจสอบ แต่พอมองดูทั้งสองฝั่ง เขาก็ไม่รู้ว่าจะให้ท่านไหนดี สุดท้ายก็ก้มหน้ายื่นให้มั่วๆ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานยื่นมือพร้อมกัน หลังจากแผ่นหยกลอยออกจากมือของเทพแห่งผืนดิน ก็ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศราวกับกำลังชัดเลื่อยกลับไปกลับมา สุดท้ายก็มีเสียง “แกร๊ก” กลายเป็นผุยผงอยู่ภายใต้พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง

นี่มันเรื่องอะไรกัน? เทพแห่งผืนดินกู้โส่วเฉิงตะลึงงัน นี่คือป้ายขุนนางที่เบื้องบนแจกลงมาเพื่อยืนยันฐานะของเขา!

ศัตรูทั้งสองสบตากันอย่างแค้นเคือง จากนั้นก็ต่างคนต่างหยิบป้ายคำสั่งออกมา ยื่นให้เทพแห่งผืนดินตรวจดู หลังจากดูเสร็จและเก็บกลับมาแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ชิงถามว่า “เทพแห่งผืนดิน ข้าถามเจ้าหน่อย ได้ยินว่าเจ้าพบเบาะแสของเฮยหวังเหรอ?”

โค่วเหวินหลานอ้าปาก แต่คิดไปคิดมาก็ไม่พูดดีกว่า ถ้าทะเลาะกันตอนนี้คงเสียเรื่องแน่นอน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนแยกแยะความสำคัญไม่เป็นเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง

เทพแห่งผืนดินตอบอย่างระมัดระวังว่า “ขอรับ! ไม่กี่วันก่อนตอนข้าน้อยไปลาดตระเวน ก็บังเอิญเห็นตรงยอดเขาโอนเอนที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ครั้ง  ตอนหลังได้ยินพวกผีเล็กๆ แอบคุยกัน ถึงได้รู้ว่าเขาคือเฮยหวัง นักโทษที่ตำหนักสวรรค์ต้องการตัว จึงรายงานขึ้นไปทันที!”

“ยอดเขาโอนเอนอยู่ที่ไหน?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม

เทพแห่งผืนดินชี้ไปไกลๆ “ห่างจากตรงนี้ไปทางทิศเหนือสามพันลี้ ตรงแนวเทือกเขาที่มีควันดำท่วมเอ่อ ยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือยอดเขาโอนเอน ยอกเขามีหินก้อนใหญ่ที่โอนเอนเหมือนจะล้มลงมา ด้วยเหตุนี้จึงชื่อว่ายอดเขาโอนเอน”

“ไป!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ แล้วเหาะนำขึ้นฟ้าไป ใช้มือข้างหนึ่งดึงแขนเทพแห่งผืนดินไปด้วยกัน แล้วกำลังพลก็ตามหลังไป

“ปัญญาอ่อน! เจ้าจะไปจับตัวหรือจะไปแหวกหญ้าให้งูตื่น เหาะไปแบบนี้ตลอดทาง กลัวคนอื่นจะดูไม่ออกเหรอว่าเจ้ามาจากตำหนักสวรรค์!” โค่วเหวินหลานพูดดูถูก แล้วกวักมือบอกลูกน้อง “ตามไป ระหว่างทางถอดเกราะรบบนตัวด้วย อย่าทำเหมือนเจ้าโง่นั่น!”

…………………………