องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ ตอนที่379 ร่างกายที่ปล่อยสารพิษ
“ถามพวกเขาว่ามีเรื่องอันใด?” น้ำเสียงของฉีเฟยอวิ๋นเคร่งขรึม
อาอวี่ถามเสียงดัง: “เป็นคนแก่คนชราไม่ผักผ่อนตอนมึดค่ำ ออกมาขวางรถม้าของพวกข้า มีเรื่องอันใดงั้นรึ?”
“นี่เป็นรถม้าของพระชายาเย่หรือไม่?” หญิงชราถามพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา
อาอวี่กล่าว : “ใช่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าและหลานได้รับคำสั่งให้มาเข้าพบ ขอพระชายาเย่ออกมาพบพวกข้าด้วยเถิด” หญิงชรากล่าวอย่างมั่นใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเปิดม่านและมองออกไปผ่านตะเกียงที่หญิงชราถืออยู่ นางสวมชุดผ้าลินินเนื้อหยาบและแต่งตัวเป็นขอทาน
บนหัวของนางยังมีเศษหญ้าปักไว้อยู่ ในมือถือไม้เท้าไว้ ไม้เท้าดูเหมือนเศษไม้ที่เก็บมาจากข้างทาง และเด็กที่อยู่ข้างกายนางก็เนื้อตัวมอมแมม บริเวณเอวมีน้ำเต้าแขวนไว้อยู่ ดูแล้วอายุราวห้าหกขวบ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าคนเหล่านี้ไม่มีทักษะใดๆ แต่หากเป็นเรื่องอื่นก็ไม่แน่นัก
“อาอวี่ ถามพวกเขาทีว่ามีนามว่าอะไร?”
“พวกเจ้ามีนามว่าอะไรงั้นรึ?”
“ข้าหญิงม่ายตู่เจ้าค่ะ”
“ตู่งั้นรึ?”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นลงจากรถม้า อาอวี่ขวางไว้มิให้ไป ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว : “ดูแลรถม้าด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่ทำได้เพียงทำตามคำสั่ง
ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าแล้วเดินไปข้างหน้า หญิงชราขอทานมองฉีเฟยอวิ๋นและหัวเราะ : “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย ดูท่าพระชายาเย่จะเป็นคนใจกล้าจริงๆ”
“พูดกันง่าย เช่นนั้นขอวอนถามหน่อย ใครส่งเจ้ามางั้นรึ?”
“แน่นอนว่าต้องมีคนส่งข้ามาเป็นแน่ เห็นแก่พระชายาเย่ที่เข้าถึงได้ง่ายเช่นนี้แล้ว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้ตายอย่างไร้ความทรมานก็แล้วกัน ขอทานน้อยเอางูตัวน้อยของเจ้าออกมา”
“……”เมื่อพูดถึงงู ฉีเฟยอวิ๋นเองก็โล่งใจไป
ขอทานน้อยหยิบน้ำเต้าออกมาและเปิดออก งูเขียวตัวน้อยตัวหนึ่งก็เลื้อยคลานออกมา เมื่อวางงูไว้บนพื้นมันก็เลื้อยเข้าหาฉีเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว แต่เลื้อยไปได้เพียงครู่เดียวก็เลื้อยกลับไป
สีหน้าหญิงชราขอทานแย่ลง : “บนตัวเจ้ามีอะไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ : “ทายสิ?”
“ฮึ ไม่ว่าเจ้าจะมีของอะไร วันนี้ก็ต้องตาย”
หญิงชราขอทานพุ่งเขาหาฉีเฟยอวิ๋น อาอวี่และคนอื่นๆคิดเข้าไปช่วย แต่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว : “ห้ามขยับ”
อาอวี่อดทนไว้ คนอื่นๆก็ไม่ขยับเช่นกัน
หญิงชราขอทานคว้าไหล่ของฉีเฟยอวิ๋นไว้ จากนั้นก็หุบมือเข้ามาและล้มลงกับพื้น
“พิษ พิษอะไร?” หญิงชราขอทานยกมือขึ้นมองพิษที่กำลังลุกลามบนฝ่ามือของตนก็ตกใจ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว : “เจ้ารู้จักน้ำเต้าแห่งหุบเขายาหรือไม่?”
“ผู้เฒ่าพิษงั้นรึ?”
หญิงชราขอทานตกใจจนตัวสั่น : “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“ข้าเป็นใครนั้นมิสำคัญ ที่สำคัญคือวันนี้เจ้าควรมาหรือไม่”
ขอทานน้อยเห็นหญิงชราขอทานต้องพิษ ก็จับงูตัวน้อยและพุ่งเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นถอยหลังและปักเข็มลงบนตัวขอทานน้อย ขอทานน้อยร้องอยู่กับพื้น
งูตัวน้อยบนพื้นตกใจ จึงกัดและรัดคอขอทานน้อยไว้ ทั้งสองม้วนเข้าด้วยกัน มินานนักพิษก็เข้าร่างขอทานน้อยและตายในที่สุด
งูน้อยหลุดออกจากคอของขอทานน้อยคิดจะหนี แต่ก็ถูกยิงด้วยเข็มของฉีเฟยอวิ๋นจนตาย
ดวงตาของหญิงชราขอทานเบิกกว้าง ถึงแม้จะจ้องจนดวงตาหลุดก็ไร้ประโยชน์ เพราะอีกไม่นานก็ต้องตาย
อันหลิงหลับตาลงหันกลับไปยังรถม้าและเดินจากไป
นางยกมือขึ้นมองฝ่ามือของตน นี่มันช่างน่ากลัวยิ่งนักที่นางสามารถปล่อยสารพิษบนร่างกายออกมาได้ในช่วงเวลาคับขันดั่งกิ้งก่าได้เช่นนี้
ไม่เพียงแต่บนผิวหนังเท่านั้น บนเสื้อผ้าก็ด้วยเช่นกัน
แต่ทว่านางจับไปที่เสื้อกลับไม่มีสารพิษเลย
แล้วพิษของนางออกมาจากที่ใดกันล่ะ?
เมื่อขึ้นรถม้าฉีเฟยอวิ๋นก็ออกคำสั่ง : “เผาให้เร็วที่สุด”
อาอวี่สั่งให้คนไปเผาศพของขอทานทั้งสองคน รถม้าก็แล่นต่อไป ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่บนรถและไม่มีอันใดจะพูดต่อ
อวิ๋นหลัวฉวนมิทราบเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ นางคอยดูแลอ๋องตวนและรถม้าไว้เกรงว่าจะเกิดเรื่อง
ฉีเฟยอวิ๋นกลับมาอวิ๋นหลัวฉวนจึงโล่งใจได้
เมื่อตระหนักได้ถึงความรุนแรงของเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว อวิ๋นหลัวฉวนเองมิกล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย
รถม้าเดินทางมาถึงจวนกั๋วกง ฉีเฟยอวิ๋นลงรถก่อน
คนของจวนกั๋วกงออกมารับอ๋องตวนเข้าไปข้างใน เมื่อเข้าไปอวิ๋นหลัวฉวนก็ออกคำสั่งโดยทันที : “ออกคำสั่งไปว่าให้ทหารพันนายชั้นยอดไปเฝ้ารอบจวนกั๋วกงไว้ เพื่อมิให้คนเข้ามา นอกจากนี้ คนในจวนกั๋วกงหากมิได้รับคำสั่งห้ามออกจากจวนโดยเด็ดขาด หากคิดจะออกไปต้องมาทูลบอกก่อนและจะออกไปได้เมื่อได้รับป้ายคำสั่ง
หากมีผู้ใดอยากเข้าพบ นอกจากพระชายาเย่ คนอื่นต้องทูลข้าก่อน หากข้ามิอนุญาตก็ห้ามให้เข้าจวนโดยเด็ดขาด”
ฉีเฟยอวิ๋นมองอวิ๋นหลัวฉวนแล้วคิด ทั้งพระพันปีและพระมเหสีหวาต่างก็ฉลาดหลักแหลม แต่ที่ชื่นชอบอวิ๋นหลัวฉวนตั้งแต่ครั้งแรกนั้นมิใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
คนในจวนกั๋วกงต่างทำตามคำสั่งของอวิ๋นหลัวฉวน แม้กระทั่งฮูหยินใหญ่กั๋วกงที่ออกมาทีหลังก็ต้องฟังอวิ๋นหลัวฉวน
อวิ๋นหลัวฉวนคารวะฮูหยินใหญ่กั๋วกง : “เสด็จย่าเพคะ หม่อมฉันจะดูแลอ๋องตวน ระหว่างทางกลับมีคนมาขัดขวางพวกเราไว้แทบกลับมามิได้อีกเลยเพคะ”
แววตาฮูหยินใหญ่กั๋วกงแหลมคมและสีหน้าเคร่งขรึม : “ให้ทุกคนในจวนกั๋วกงทำตามคำสั่งของฉวนเอ่อร์โดยทันที ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษโดยวิธีทหาร”
“เจ้าค่ะ”
มีหญิงสาวมากมายในจวนกั๋วกง และชายหนุ่มส่วนใหญ่ก็ไปคุ้มกันชายแดน ขณะนี้นอกจากกั๋วกงอาวุโสและผู้เจ็บป่วยไม่กี่คนที่เหลือก็เป็นหญิงสาวหมด
เสียงตอบรับคำสั่ง ทำเอาฉีเฟยอวิ๋นตกใจ
อวิ๋นหลัวฉวนนำป้ายคำสั่งออกมาเผยให้ทุกคนเห็น และหันตัวเดินกลับไปยังเรือนเดี่ยวที่อยู่ลานหลังจวน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปดูและบอกวิธีดูแลหนานกงเหยี่ยนให้กับอวิ๋นหลัวฉวน
“ท่านพี่เสียนเฟย หรือวันนี้ท่านพักในจวนก่อน นี่ก็ค่ำแล้วมิต้องกลับแล้วเพคะ”
“ดีเหมือนกัน เช่นนั้นข้าจะเดินทางกลับไปวันพรุ่งนี้”
“ข้าว่าให้อาอวี่กลับไปทูลก่อนว่าท่านพี่เสียนเฟยพักอยู่ในเรือนข้า มิเช่นนั้นหากคนเหล่านั้นแยกย้ายกันลงมือ เราจะไม่มีทางรับมือได้ และตอนนี้ท่านก็ยังตั้งครรภ์อยู่ ไม่แน่คนเหล่านั้นอาจจะลงมือต่อท่านก็เป็นได้”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า : “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้อาอวี่กลับไปยังจวนแม่ทัพก่อน จากนั้นค่อยกลับไปยังจวนอ๋องเย่
ในคืนนั้น ท่านแม่ทัพฉีก็ส่งทหารชั้นยอดไปยังจวนอ๋องเย่เพื่อดูแลปกป้องจวนอ๋องเย่ จากนั้นก็เดินทางไปยังจวนกั๋วกงเพื่อพบฉีเฟยอวิ๋นในคืนนั้นเช่นกัน
แต่ทว่าเขามิได้เคาะประตู แต่รออยู่หน้าประตูทั้งคืน เมื่อรุ่งเช้าถึงได้บอกให้คนไปทูลบอก
อวิ๋นหลัวฉวนรู้ว่าแม่ทัพฉีมาก็รีบสั่งให้คนพาเข้ามาทันที
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นแม่ทัพฉีก็แปลกใจ : “เสด็จพ่อ ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”
“พ่อมาดูว่าพวกกบฏมันมีสมองเท่าไหร่กันเชียว ถึงได้กล้ามายังจวนกั๋วกงเช่นนี้” แม่ทัพฉีทำเบ่ง เมื่อได้ยินว่าลูกสาวพบเจอปัญหา ถึงได้ตกใจจนอยู่นิ่งมิได้ จึงได้เดินทางมาหาได้เช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม เสด็จพ่อคนนี้ กลัวว่านางจะเกิดเรื่องจริงๆ
กอดแขนของแม่ทัพฉีไว้ ฉีเฟยอวิ๋นช่างเป็นเด็กดีนัก : “เสด็จพ่อทานอะไรมาหรือยังเพคะ?”
“ยังเลย พ่อมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ได้ยินว่าจวนกั๋วกงเข้มงวดนัก จึงมิได้เข้ามา”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้อยู่แก่ใจว่าเสด็จพ่อนั้นเกรงว่าจะรบกวนนาง ช่างซึ้งใจจริงๆ
“เสด็จพ่อ เราไปทานข้าวกันเถิดเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรับอาหารพร้อมกับแม่ทัพฉีอยู่ในห้องที่ตนพักอยู่
แน่นอนว่าแม่ทัพฉีพอใจเป็ยอย่างมาก
ตอนเที่ยง เพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณของฉีเฟยอวิ๋น ฮูหยินใหญ่กั๋วกงจึงได้จัดงานเลี้ยงขึ้น
แต่ทว่าวันนี้ไม่มีสุราแต่อย่างใด ช่วงเวลาพิเศษ แม่ทัพฉีเองก็มิได้สนใจพวกนี้นัก