ตอนที่ 156 วันแต่งงาน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 156 วันแต่งงาน โดย Ink Stone_Fantasy

ผ่านไปสักพัก หนังอสูรก็ถูกกรีดจนเป็นรูปร่างง่ายๆ จากนั้นหลิ่วหมิงจึงเก็บกระบี่สั้นแล้วหยิบหนังอสูรขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างก็จับเอ็นอสูรที่สั่นไหวเบาๆ

เสียงดัง “ซิ้ว!”

หลังจากที่ปลายเส้นเอ็นสั่นไหวเล็กน้อยแล้วมันก็ตั้งตรงขึ้นมา และไอสีดำจางๆ ก็วนเป็นเกลียวอยู่บนนั้น จากนั้นมันก็กลิ้งไปกลิ้งมาตรงขอบหนังอสูรราวกับอสรพิษจิตวิญญาณ

แต่เพียงไม่กี่อึดใจหลิ่วหมิงก็เด็ดเอาเอ็นอสูรที่เหลือออก เขาจับมุมของหนังอสูรแล้วสะบัด และมันก็กลายเป็นเกราะหนังง่ายๆ

ถึงแม้เกราะหนังนี้จะมีรูปร่างประหลาด แต่มันก็ปกป้องหัวใจ หน้าท้อง และส่วนสำคัญอื่นไว้ได้

หลิ่วหมิงลองนำมันแนบติดกับร่างกาย แล้วก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา

วิธีการทำเกราะหนังอย่างง่ายนี้ เป็นความสามารถที่เราเรียนรู้จากการใช้ชีวิตบนเกาะมฤตยู คิดไม่ถึงว่าถึงแม้จะไม่ได้ใช้มาหลายปีแต่ฝีมือก็ยังใช้ได้อยู่

ต่อมาหลิ่วหมิงดึงหนังอสูรออก และยื่นมือไปคว้าเอาเกล็ดมังกรขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีแสงสีเขียวดีดตัวออกมา หลังจากที่มันหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ค่อยๆ ตกลงบนมืออย่างว่านอนสอนง่าย

มันคือเข็มเงาหยกเล่มนั้นนั่นเอง

นิ้วหลิ่วหมิงจับเข็มเงาหยกไว้แน่น หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาก็ใช้เข็มเล่มนี้แทงเข้าไปยังเกล็ดมังกร

เสียงแหลมเล็กดังมาจากเกล็ดมังกรในทันที!

ระหว่างที่ปลายเข็มสัมผัสกับเกล็ดมังกรจะมีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ราวกับว่ามันกำลังแทงเหล็กบริสุทธิ์อยู่

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป “ฟู่!” เข็มเงาหยกเพิ่งจะแทงทะลุเกล็ดมังกรไปได้

หลิ่วหมิงแสยะปาก และสะบัดมือที่เริ่มรู้สึกเมื่อยบ้างแล้ว จากนั้นก็ใช้เอ็นอสูรแทงเข้ารูที่ปรากฏบนเกล็ดมังกรและเย็บมันติดเข้ากับหนังอสูร

ผ่านไปไม่นาน เกล็ดมังกรก็ติดอยู่บนหนังอสูรอย่างมั่นคง

หลิ่วหมิงลองดึงดูเบาๆ อยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นว่าเกล็ดมังกรไม่หลุดออกมาเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ช่วงเวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงใช้เข็มเงาหยกเจาะเกล็ดสีแดงเหล่านั้นทีละเกล็ด

ถึงแม้ว่าเกล็ดมังกรเหล่านี้จะเป็นเกล็ดมังกรที่บางที่สุดที่เขาเลือกมา แต่เขาก็ต้องใช้เวลาในการเจาะไม่น้อย

หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงเย็บเกล็ดมังกรเกล็ดสุดท้ายติดกับหนังอสูรแล้ว เกราะเกล็ดมังกรอย่างง่ายๆ ก็ปรากฏต่อหน้าเขา

เกราะหนังนี้แตกต่างกับเกราะเกล็ดโดยทั่วไปมาก ตรงส่วนที่เป็นจุดสำคัญจะมีเกล็ดมังกรอยู่หนาแน่น สำหรับส่วนอื่นๆ มีเกล็ดมังกรอยู่ไม่กี่เกล็ดเท่านั้น

ไม่ใช่เพราะว่าหลิ่วหมิงเสียดายที่จะใช้เกล็ดมังกรเหล่านี้ แต่เป็นเพราะว่าถ้าบนเกราะหนังมีเกล็ดมังกรมากเกินไปล่ะก็จะต้องส่งผลกระทบต่อการเดินเหินอย่างแน่นอน

เพราะนี่ไม่ใช่เกราะคุ้มกันที่ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธสร้างขึ้นมา เกล็ดมังกรเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการจัดการโดยเฉพาะ จึงไม่สามารถหดตัวได้ทุกส่วนตามใจนึก

ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกพอใจมากแล้ว

เชื่อว่าหากมีเกราะหนังคุ้มกายล่ะก็ ต่อให้จะมีชีวิตเพิ่มมาอีกชีวิต ต่อให้จะเจอกับศัตรูตัวฉกาจ มันก็เหลือเฟือสำหรับการป้องกันตัวแล้ว

แต่กลิ่นไอของมังกรนี้ต้องกำจัดออกให้หมด มิเช่นนั้นพอใส่เข้าไปคงจะมีคนไม่น้อยที่รับรู้ถึงกลิ่นไอมังกรแดงตนนี้

และพอดีกับที่เขารู้ว่ามีน้ำยาจิตวิญญาณชนิดหนึ่งสามารถกำจัดกลิ่นไอของปีศาจอสูรได้

น้ำยาจิตวิญาณนี้ผสมง่ายมาก เพียงแค่หาสมุนไพรง่ายๆ มาสองสามอย่าง จากนั้นก็เอามันมาผสมปนเปเข้าด้วยกันก็สามารถทำได้แล้ว บางครั้งในตลาดสีเทาก็มีคนขายน้ำยาที่ผสมเสร็จแล้วด้วย

ดูท่าพรุ่งนี้คงต้องไปตลาดสีเทาอีกรอบแล้ว

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็รีบเก็บเกราะหนังกับคราบมังกรแดงเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน หลังจากที่สะบัดแขนเสื้ออีกครั้งม่านแสงที่ปกคลุมอยู่รอบด้านก็แตกกระจายออกไป ส่วนตัวเขาก็หลับตาแล้วเริ่มกำหนดลมหายใจขึ้นมา

เช้าวันที่สอง เมื่อเขากลับมาจากตลาดสีเทา เขาก็มีน้ำยาจิตวิญญาณที่ผสมเสร็จแล้วหนึ่งขวด

วันนี้ดวงเขาไม่เลว ตอนที่เขาไปตลาดสีเทานั้นมีศิษย์คนหนึ่งกำลังขายน้ำยาจิตวิญญาณนี้อยู่พอดี

แต่ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าเหาะกลับมายังเขาเก้าทารกนั้น พลันมีเมฆเทาก้อนหนึ่งเหาะเข้ามาทางเขา

หลิ่วหมิงหยุดอยู่กลางอากาศด้วยความตกตะลึง และเขม้นมองไปยังเมฆเทาก้อนนั้น ผ่านไปไม่นานเขาก็นึกได้ในฉับพลัน

“ศิษย์น้องไป๋ ไม่เจอกันนาน ตอนนี้เจ้างานยุ่งจริงๆ แล้ว ข้าอยากจะไปพบเจ้าที่เขาทารกสักหน่อยก็ไม่สามารถพบได้ ต้องถูกศิษย์ที่ลาดตระเวณขัดขวางเอาไว้ตลอด” คนผู้นั้นเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็เหาะมาอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ไกล และยังกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย

นางก็คือมู่อวิ๋นเซียนนั่นเอง

“ศิษย์พี่มู่ล้อข้าเล่นแล้ว เป็นเพราะศิษย์น้องเพิ่งกลับมาได้ไม่นานจึงมีเรื่องที่ต้องสะสางเล็กน้อย และถึงได้สั่งให้ศิษย์พี่ที่ออกลาดตระเวณว่าถ้ามีคนมาเยี่ยมล่ะก็ให้บอกปัดไปก่อน” หลิ่วหมิงกำมือคารวะ และกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ครั้งนี้ศิษย์น้องมีชื่อเสียงไปทั่วนิกาย และเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากแดนลึกลับมาได้มากมาย แน่นอนว่าต้องยุ่งบ้างเล็กน้อย แต่ครั้งนี้ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะบอกเจ้า ไม่ทราบว่าตอนนี้ศิษย์น้องไป๋พอจะมีเวลาไหม?” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนที่จะค่อยๆ กล่าวออกมา

“ศิษย์พี่ใยต้องถือตัวเป็นคนอื่นด้วยเล่า เอาอย่างนี้เถอะ! สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเตะตาคน พวกเราลงไปข้างล่างแล้วค่อยคุยรายละเอียดกันเถอะ!” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด

มู่อวิ๋นเซียนย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด ดังนั้นเมฆเทาของทั้งสองจึงร่อนลงไปยังกองหินระเกะระกะที่อยู่ด้านล่าง

“ศิษย์น้องไป๋ เจ้ารู้ไหมว่าหลายวันก่อนมู่หมิงจูถูกพี่ใหญ่ข้ารับกลับตระกูลมู่แล้ว” พอมู่อวิ๋นเซียนอ้าปากก็พูดเรื่องที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา

“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร?” รอบยิ้มหลิ่วหมิงหายไปก่อนที่จะถามออกมา

“ดูท่าศิษย์น้องจะยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ เจ้ารู้ไหมว่าหลังกลับมาจากแดนลึกลับเกาชงก็เก็บตัวฝึกฝนในทันที ได้ยินมาว่าเป็นการเตรียมตัวก่อนทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ และหลังจากที่เขาเก็บตัวแล้วท่านประมุขก็ไม่อนุญาตให้หมิงจูเข้าไปเขาพลังโลหิตอีกเลย ทั้งยังออกคำสั่งให้มู่หมิงจูไม่ต้องทำงานตามเวลาที่กำหนดแล้ว นี่ก็เท่ากับว่าขับไล่ให้นางกลับไปยังตระกูลมู่” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยแววตามีเลศนัย

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่คิ้วค่อยๆ ขมวดขึ้นมา

“ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ต่อให้เกาชงจะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถเตรียมการในระยะเวลาสั้นๆ ได้ คาดว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามสี่เดือน อย่างมากก็ครึ่งปีถึงจะเริ่มได้ และการเปลี่ยนไอให้กลายเป็นของเหลวนั้นต้องใช้เวลาติดต่อกันนานถึงปีกว่าๆ” มู่อวิ๋นเซียนยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมา

“เรื่องนี้ข้าทราบดี แต่ที่ศิษย์พี่มาหาข้าในครั้งนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกมัง!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสงบ

“แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เรื่องนี้ต่อให้ข้าไม่บอกเชื่อว่าอีกไม่นานศิษย์น้องก็จะรู้เองอยู่แล้ว ที่ข้าอยากบอกเจ้าคือเมื่อตระกูลไป๋ของเจ้าได้ข่าวที่เจ้าชิงตำแหน่งสิบศิษย์แกนนำได้ไม่นาน ก็ได้กำหนดวันแต่งงานของเจ้ากับมู่หมิงจูอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งก็คือเวลาอีกครึ่งปีให้หลัง” มู่อวิ๋นเซียนยิ้มขมขื่นและกล่าวออกมา

“อะไรนะ! กำหนดวันแต่งงานแล้ว ตระกูลมู่ของพวกท่านยินยอมแล้วหรือ?” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

“เดิมทีพี่ใหญ่ข้าก็ลังเลเล็กน้อย แต่พอรู้ข่าวว่าเจ้าเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายก็รีบตอบตกลงทันที อีกอย่างทั้งสองตระกูลก็ได้ส่งเทียบเชิญให้กับตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีไปแล้ว บอกตามจริง ตั้งแต่ที่เจ้ากลายเป็นสิบศิษย์แกนนำ ข้าคิดว่าตระกูลไป๋ของเจ้าจะทำการถอนหมั้นเสียแล้ว ด้วยสถานะเจ้าในตอนนี้ทำให้มู่หมิงจูไม่อาจตีตนเสมอ และตระกูลไป๋สามารถหาหญิงสาวที่มีชีพจรจิตวิญญาณมาเป็นสะใภ้ได้ แต่ไม่คิดว่าตระกูลไป๋จะรีบกำหนดวันแต่งงานเร็วกว่าตระกูลมู่เราเสียอีก ศิษย์น้องไป๋เรื่องนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่?” มู่อวิ๋นเซียนถามหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ดูแปลกไป

“เรื่องแอบแฝง! แน่นอนว่าย่อมมีเล็กน้อย ส่วนรายละเอียดนั้นตอนนี้ศิษย์น้องไม่สะดวกที่จะบอกกับศิษย์พี่ แต่ดูเหมือนว่าข้าคงต้องกลับไปตระกูลไป๋สักครา” หลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ยังตอบกลับไปด้วยท่าทีที่ดูสงบนิ่ง

“ในเมื่อศิษย์น้องไม่สะดวกที่จะบอกข้าก็ไม่บังคับ แต่ข้าอยากจะถามศิษย์สักหนึ่งประโยค เจ้าจะแต่งหมิงจูเป็นภรรยาไหม?” มู่อวิ๋นเซียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามขึ้นมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“คงจะไม่ อย่างไรซะคนที่แม่นางหมิงจูอยากแต่งก็ไม่ใช่ข้า ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับหลานของท่าน” หลิ่วหมิงหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไปอย่างราบเรียบ

“ข้าเข้าใจแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ เดิมทีข้าหวังให้เจ้าแต่งกับมู่หมิงจู แต่เรื่องการแต่งการงานนั้นข้าเองก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมตระกูลมู่ได้ คงต้องพึ่งศิษย์น้องไป๋เป็นคนจัดการแล้วล่ะ!” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด นางเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ได้! ศิษย์พี่อภัยให้ข้าได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว อีกอย่างเกรงว่าอีกไม่นานข้าต้องไปจากนิกายสักพัก ต่อไปศิษย์พี่มู่ต้องรักษาตัวด้วย เวลาเย็นมากแล้วศิษย์น้องต้องขอตัวกลับก่อน” หลิ่วหมิงเห็นนางมีท่าทีสงบเช่นนี้กลับรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่พยักหน้าแล้วก็กล่าวคำลาออกไป

มู่อวิ๋นเซียนไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด นางมองดูหลิ่วหมิงเรียกเมฆเทา และทะยานฟ้าเหาะไปยังเขาเก้าทารก

จากนั้นนางถึงได้ขี่เมฆทะยานฟ้าและมุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

นางเหาะไปได้สักระยะก็ร่อนลงตรงป่าเล็กๆ ผืนหนึ่ง

“อวิ๋นเซียน เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์น้องไป๋รับปากแต่งหมิงจูไหม?” ชายหนุ่มใบหน้าเยือกเย็นเดินออกมาจากป่า และถามด้วยความเป็นห่วง

เขาก็คือตู้ไห่แห่งสาขาหยินทนทรมาณนั่นเอง

“ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ศิษย์น้องไป๋ไม่ยอมแต่งกับมู่หมิงจู” มู่อวิ๋นเซียนฝืนหัวเราะ และกล่าวออกมา

“ทำไมล่ะ! เจ้าเด็กไป๋ชงเทียนมีสถานะต่างไปจากเดิม ถึงได้กล้าคิดเรื่องถอนหมั้นขึ้นมา!” ตู้ไห่ได้ยินกลับรู้สึกโมโหขึ้นมา

“เรื่องนี้จะโทษศิษย์น้องไป๋ไม่ได้ เรื่องการแต่งงานนี้เดิมทีเป็นข้าและสองตระกูลยัดเยียดให้เขาเอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพูดว่าจะแต่งกับมู่หมิงจูเลย ถ้าหากให้เจ้าไปแต่งกับหญิงที่มีชายอื่นในใจ เกรงว่าเจ้าก็คงจะไม่ยอมเช่นกัน อีกอย่างสถานะของหญิงผู้นี้ก็ไม่คู่ควรกับตนเองแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา

……………………………………….