ภาคที่ 4 ตอนที่ 20 เชิญไปด้วยกัน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในที่ทำการขุนนางผู้คนนั่งล้อมวง 

 

 

นายหญิงอวี้ย่อมเป็นประธาน คุณหนูจวินคนนั้นก็ไม่ต้องให้คนถอยให้ ตนเองนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของนายหญิงอวี้ 

 

 

มีอาลักษณ์ก้าวเข้ามารายงานการตรวจนับ ผู้ลี้ภัยรวมถึงของที่ยึดได้จากชาวจินมากกว่าจำนวนที่หลี่กั๋วรุ่ยบอกอยู่บ้าง 

 

 

แม้ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนได้ฟังจำนวนนี้อีกครั้งก็ยังยากปิดบังความตื่นตะลึง 

 

 

“ทหารแม่ทัพในการปกครองของเฉิงกั๋วกงห้าวหาญจริงๆ” เขาเอ่ยกับนายหญิงอวี้ 

 

 

คำชื่นชมและความนับถือมาจากใจจริง แต่ในเวลาเดียวกันสีหน้าก็สับสนอยู่มากเช่นกัน 

 

 

ทหารของเฉิงกั๋วกงตอนนี้มาถึงที่นี่ เป็นเรื่องดีแต่ก็ไม่ดี 

 

 

อย่างไรราชสำนักก็ออกคำสั่งถอนทหารหยุดสงครามกับชาวจินแล้ว 

 

 

นายหญิงอวี้ส่ายศีรษะ 

 

 

“ไม่ นี่ไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกง วันนี้แดนเหนือกำลังพลขาดแคลน เฉิงกั่วกงไม่มีทางโยกย้ายกำลังพลตามใจเด็ดขาด” นางเอ่ยแล้วยื่นมือชี้คุณหนูจวิน “นี่เป็นของคุณหนูจวิน” 

 

 

คุณหนูจวิน 

 

 

คนในโถงมองไปทางสตรีเยาว์วัยผู้นี้ 

 

 

ตั้งแต่เข้าเมืองมานางแทบไม่เอ่ยวาจา อ่อนหวานนอบน้อม 

 

 

นางเป็นใคร? มีกำลังพลได้อย่างไร? จริงหรือหลอก? 

 

 

“ที่จริงพวกเราเป็นชาวนา” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย “แค่มาช่วยเหลือ” 

 

 

ชาวนา 

 

 

ในห้องโถงเงียบกริบไร้เสียง หลี่กั๋วรุ่ยยิ่งมุมปากกระตุก 

 

 

ไม่อยากพูด ไม่พูดก็ได้แต่อย่าล้อเล่นเลย 

 

 

“ใต้เท้าเถียนท่านมาพอดี ข้ากำลังอยากพบท่านอยู่พอดี” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ 

 

 

ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนรีบคำนับ ลังเลครู่หนึ่ง ประโยคที่ว่าท่านหญิงมีสิ่งใดสั่งนั่นกลับไม่กล้าเอ่ยออกจากปาก 

 

 

แต่เขาพูดไม่พูดก็ไม่อาจขวางนายหญิงอวี้พูดได้ 

 

 

“ขอใต้เท้าเถียนออกคำสั่งกองทหารประจำการของเหอเจียนไปรับประชาชนของสามเมืองคุ้มครองลงใต้เข้าเขตแดนด้วย” นางเอ่ยเด็ดขาดฉับไว 

 

 

อย่างที่คิด… 

 

 

ใต้เท้าเถียนใจสั่น 

 

 

เฉิงกั๋วกงต้องการขัดคำสั่ง ยังคงอยากต่อต้านทหารจิน 

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อฟังเฉิงกั๋วกงได้ เพราะเฉิงกั๋วกงกับฮ่องเต้ไม่มีความเห็นต่างกันในประเด็นแดนเหนือ แต่ตอนนี้ฮ่องเต้มีพระบัญชาแล้ว เฉิงกั๋วกงกลับต้องการกระทำขัดพระบัญชา พวกเขาเชื่อฟังเฉิงกั๋วกงต่อไปใยไม่ใช่ไม่ภักดี? 

 

 

เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงโด่งดัง ขัดพระบัญชาก็ไม่ใช่ครั้งแรก ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางทำอะไรเขา แต่พวกเขาย่อมไม่เหมือนกัน 

 

 

เทพเซียนตีกันผีน้อยรับเคราะห์ ถึงเวลาพวกเขาก็อาจกลายเป็นแพะรับบาปได้ 

 

 

“ท่านหญิง ไม่ใช่พวกเรากลัวศึก เพียงแต่วันนี้ราชสำนักมีคำสั่ง…” ใต้เท้าเถียนกัดฟันเอ่ย 

 

 

“คำสั่งของราชสำนักคือยกแผ่นดินสามเมืองให้” นายหญิงอวี้เอ่ยขัดเขา “แต่ไม่ได้บอกว่าจะยกประชาชนยี่สิบหมื่นของสามเมืองให้” 

 

 

ผู้คนในโถงตะลึงวูบหนึ่ง 

 

 

“แผ่นดินยกให้ แต่ฝ่าบาทไม่ได้บอกว่าคนก็จะยกให้ด้วย” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านตอนนี้ไปรับประชาชนชาวต้าโจวของพวกเราลงใต้กลับมา นี่ย่อมสมควร ไม่เพียงไม่ขัดพระบัญชา ทั้งยังเชื่อฟังพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วย” 

 

 

พูดเช่นนี้ก็ถูก ผู้คนในห้องโถงสีหน้าเปลี่ยนไปมา 

 

 

นายหญิงอวี้มองไปทางนอกโถงที่ทำการขุนนาง ได้ยินเสียงโหวกเหวกด้านนอกอยู่เลือนราง 

 

 

นั่นคือพริบตาเดียวเพิ่มหลายพันคน แม้รักษาระเบียบอย่างไรก็ยากเลี่ยงเอะอะ 

 

 

“ประชากรหลายสิบหมื่น พวกท่านคุ้มครองรับทุกคนกลับมา แสดงความเมตตากรุณาของฮ่องเต้ชัดเจน นี่ไม่ใช่ขัดพระบัญชา นี่คือคุณงามความดี” นางใบหน้าขึงขังเอ่ย “แผ่นดินของเรา ประชาชนของเรา มีประชาชนถึงมีแผ่นดิน แผ่นดินสละให้ได้ ประชาชนไม่อาจทอดทิ้งได้ พวกเรารับประชาชนของตน สหายร่วมชาติของตน พี่น้องของตนกลับมา มีอะไรไม่ได้?” 

 

 

แล้วมองผู้คนด้านในห้องโถงอีกครั้ง 

 

 

“พวกท่านมีสิ่งใดไม่กล้า?” 

 

 

เสียงโครมครามหลายเสียงดังขึ้นมีแม่ทัพสีหน้าฮึกเหิมลุกขึ้นยืน เก้าอี้ล้วนหงายล้มไปด้วย 

 

 

“ข้าทำได้! ข้ากล้า!” เขาโพล่งตะโกน 

 

 

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน แม่ทัพมากกว่าเดิมก็ลุกขึ้นยืนขานรับตาม บรรยากาศในห้องโถงพริบตาประหนึ่งกระทะน้ำมันเดือดพล่าน 

 

 

ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนคิดไม่ถึงว่านายหญิงอวี้จะเอ่ยเช่นนี้ คำพูดอธิบายเช่นนี้สมเหตุสมผลจริงๆ นอกจากนี้สำหรับฮ่องเต้ที่ได้ชื่อว่าเมตตากตัญญูแล้ว คุ้มครองประชาชนหลายสิบหมื่นทุกคนลงใต้ ย่อมต้องพอพระทัยแน่นอน 

 

 

ไม่ว่าราชสำนักก็ดี หรือประชาชนก็ดี การกระทำนี้ย่อมต้องเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ 

 

 

ความดีความชอบเช่นนี้เพียงพอทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ 

 

 

แต่ไม่อาจบุ่มบ่าม 

 

 

“ท่านหญิง ท่านหญิง” เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง รีบส่งสัญญาณให้ผู้คนในห้องโถงใจเย็น พลางเอ่ยกับนายหญิงอวี้ “โจรจินกำลังมาก ที่เข้ามาในป้าโจวก็มีห้าพันคนแล้ว นอกจากนี้แนวป้องกันก็แตกแล้ว ด้านหลังไม่รู้ยังมีโจรจินกำลังจะมาถึงอีกเท่าไร ทหารของพวกเราเข้าไปในเขตป้าโจวโชคร้ายมากกว่าโชคดีจริงๆ” 

 

 

มีขุนนางสองคนพยักหน้าตาม 

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราไม่ปฏิเสธชาวบ้านผู้ลี้ภัยที่มาได้” 

 

 

“วันนี้เหอเจียนมีกำลังพลเพียงหมื่น รบกับโจรจินยากชนะจริงๆ” 

 

 

“หากโจรจินฉวยโอกาสโจมตีมา ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านของป้าโจวได้รับการปกป้อง กองหทารกับประชาชนหลายสิบหมื่นที่เมืองเหอเจียนก็ยากโชคดีรอดพ้น” 

 

 

คำพูดนี้ทำให้ในห้องโถงที่พลุ่งพล่านค่อยๆ สงบลง 

 

 

นี่ก็เป็นความจริงจริงๆ 

 

 

บรรดาแม่ทัพสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว 

 

 

“ไม่ใช่มีเพียงกำลังพลเหอเจียนของพวกท่านทำเรื่องนี้เพียงลำพัง” เสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้น “กองทหารชิงซานของพวกเราจะช่วยเหลือด้วย” 

 

 

ช่วยเหลือ? สายตาของทุกคนมองไปทางคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างกายนายหญิงอวี้ 

 

 

จากที่ซุนซานเจี๋ยเล่า พวกเขามีไม่ถึงสี่สิบคน หรือนี่เป็นเพียงกองหน้า? ข้างหลังยังมีกำลังพลจำนวนมากเร่งเดินทางมาอีกหรือ? 

 

 

หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ กำลังพลเพิ่มขึ้นหน่อยก็เพิ่มความเป็นไปได้และหลักประกันขึ้นได้ส่วนหนึ่ง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นกองทหารชิงซานยังมีกำลังพลอีกเท่าไรที่ใช้ได้?” ใต้เท้าเถียนเอ่ยถาม 

 

 

“ก็เท่าที่พวกท่านเห็น สี่สิบคน” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

แค่นี้? 

 

 

ใต้เท้าเถียนถลึงตามองนาง 

 

 

“แค่นี้” คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้าแล้วเสริมหนึ่งประโยค “เพียงพอแล้ว” 

 

 

สี่สิบคนช่วยเหลือก็เพียงพอแล้ว? ล้อเล่นอะไร ใครเชื่อกัน! 

 

 

“ข้าเชื่อ” 

 

 

ในห้องโถงพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น 

 

 

ทุกคนมองตามเสียงนี้ไป เห็นหลี่กั๋วรุ่ยที่นั่งอยู่ด้านหลัง 

 

 

ตั้งแต่กลับมาเขาเหม่อลอยนิดๆ มาตลอดคล้ายเหนื่อยหมดสภาพแล้ว แล้วก็ไม่ได้พูดจาอย่างไร 

 

 

เวลานี้นาทีนี้เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าฮึกเหิม สองตาสว่างไสว คนทั้งร่างคล้ายวิญญาณกลับคืนมา 

 

 

“ข้าเชื่อ” เขาเอ่ยเสียงดัง มองดูสตรีเยาว์วัยที่นั่งอยู่ด้านหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำ “ข้าเชื่อว่ากองทหารชิงซานสี่สิบคนก็เพียงพอท่องป้าโจวตามอำเภอใจมิมีคนขวางได้ เหยียบราบทุกทิศ” 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยคนนี้ตั้งแต่กลับมาก็สีหน้าไม่ปกติ คงไม่ใช่สะเทือนใจจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรอกนะ? 

 

 

ใต้เท้าเถียนขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

“จะท่องตามอำเภอใจมิมีคนขวางได้ได้อย่างไร?” เขาเอ่ย 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยสีหน้ายิ่งฮึกเหิมแล้ว 

 

 

“ได้อย่างไร? พวกเจ้าไปลองดูศีรษะสองร้อยกว่าหัวนั่นที่ยึดมาได้” เขาตะโกนพลางยื่นมือชี้ด้านนอก “พวกเจ้าลองไปดูว่าพวกเขารบอย่างไรด้วยตาตนเอง! พวกเจ้าไปลองดูโจรจินอยู่ต่อหน้าพวกเขาอเนจอนาถวิ่งหนีอย่างไร! พวกเจ้าลองไปดูก็จะรู้ว่าพวกเขาท่องตามอำเภอใจมิมีใครขวางได้เหยียบราบทุกทิศได้อย่างไร!” 

 

 

พวกเขา…. 

 

 

พวกใต้เท้าเถียนมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยตอนเพิ่งกลับมาก็เคยเอ่ยประโยคหนึ่ง เป็นคุณหนูจวินพวกเขาสู้ แต่ตอนนั้นพวกเขาถูกผลการรบกับจำนวนผู้ลี้ภัยที่นำกลับมาทำให้ตื่นตะลึงความคิดสับสนจึงไม่ได้สืบสาวประโยคนี้อย่างไร 

 

 

ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าคำพูดประโยคนี้ไม่ใช่ถ้อยคำตามมารยาทที่เอ่ยชมแขกในสถานการณ์นั้นหรือ? เป็นพวกเขาสู้หรือ? 

 

 

“พวกเขา สู้อย่างไร?” ใต้เท้าเถียนเอ่ยถาม 

 

 

………………………………………. 

 

 

“พวกเขาไม่ใช่คนชัดๆ” 

 

 

“ก้อนหินใหญ่แค่นั้น โยนข้ามไปก็ตายเป็นเบือ  

 

 

“รถสัมภาระคันหนึ่งที่แท้เป็นเครื่องยิงศรเครื่องหนึ่ง ศรที่ยิงพุ่งทะลุได้สิบคน” 

 

 

“ฝีมือขี่ม้าของพวกเขาสูงส่ง” 

 

 

“ไล่ตามทหารจินเหล่านั้น ไม่เอาชีวิตแล้วจริงๆ” 

 

 

ตรงมุมถนนนายทหารหลายคนที่กลับมาจากป้าโจวถูกผู้คนรุมล้อมอยู่ พวกเขาเล่าพลางถอนหายใจพลาง บรรดานายทหารรอบด้านได้ฟังก็ตกตะลึงไปพลางหวาดกลัวไปพลาง 

 

 

ฟังอย่างไรก็น่าเหลือเชื่อ 

 

 

“ไม่มีอะไรน่าเหลือเชื่อหรอก นี่ล้วนเป็นความจริง” นายทหารหลายคนตะโกน “ดูของที่ยึดมาได้เหล่านั้นสิ ศีรษะทหารจินหลายร้อยนั่นล้วนตายในมือพวกเขาไม่กี่สิบคน ยังมีพวกเรา พวกเราเดินทางในป้าโจวสามวัน พบโจรจินสามหน แต่กลับไม่บาดเจ็บสักนิดทั้งหมดรอดกลับมาแล้ว สิ่งนี้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” 

 

 

ใช่แล้ว รบกับทหารจินหนึ่งพันกว่าคน เดินทางในสถานที่ซึ่งทหารจินเพ่นพ่านสามวัน ไม่เพียงไม่บาดเจ็บสักนิดยังพาประชาชนมากปานนี้กลับมาได้ด้วย 

 

 

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่คือหลักฐานยืนยัน ไม่อาจโต้แย้ง 

 

 

บรรดานายทหารสีหน้าตะลึงงันทั้งยังสับสน 

 

 

มีคนเดินผ่านข้างกายไป นายทหารที่เล่าเรื่องราวอยู่พลันยืนตัวตรง 

 

 

“ดู ดู คนนี้ก็คือผู้กล้าคนหนึ่งของกองทหารชิงซาน” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ข้าเห็นเขาคนเดียวสังหารโจรจินไม่ต่ำกว่าสิบคนกับตา อาศัยแค่ดาบยาวเล่มเดียว” 

 

 

ผู้คนรีบมองไป เห็นบุรุษรูปร่างผอมแห้งอายุเกือบสี่สิบปีคนหนึ่งจูงม้าเดินช้าๆ ผ่านมา เมื่อถอดชุดเกราะออกแล้วคนผู้นี้ดูไปแล้วยิ่งชรายิ่งผอมยิ่งไร้สง่าราศี 

 

 

ไม่รู้คิดอะไรได้ คนผู้นั้นพลันตบศีรษะ คว้าเชือกบังเ**ยนรีบร้อนขึ้นม้า ตอนที่ยกเท้านี่เองเสียงตุ้บก็ดังขึ้นทีหนึ่ง มีของจากขาเขาร่วงลงพื้น 

 

 

ผู้คนไม่ทันคิดมองไป 

 

 

เท้าข้างหนึ่ง 

 

 

เท้า! 

 

 

บรรดานายทหารข้างทางส่งเสียงร้องตกใจทีหนึ่ง 

 

 

ต่อสู้โหดร้ายปานนี้ เท้าของชายฉกรรจ์คนนี้ถูกฟันขาดแล้วหรือ? 

 

 

“ท่านหมอ” 

 

 

พวกเขาร้องตระหนก กำลังจะพุ่งไปประคองผู้ชายที่กำลังจะล้มลงพื้นร้องโอดโอยคนนี้ กลับเห็นผู้ชายคนนั้นทั้งไม่ได้กลิ้งกับพื้นร้องไห้ ทั้งไม่ได้เลือดนองเป็นสายน้ำ เพียงแค่สีหน้านิ่งสงบก้มตัวเก็บเท้าขึ้นมาหิ้วไว้ในมือจากนั้นพลิกกายขึ้นม้าเดินกุบกับจากไป 

 

 

บรรดานายทหารข้างทางแข็งทื่ออยู่ที่เดิมตาโตอ้าปากค้าง 

 

 

นี่ นี่… 

 

 

เทพเซียนหรือปีศาจกัน? 

 

 

กองทหารชิงซานนี่ไม่ใช่คนจริงๆ ด้วย!