ตอนที่ 396 ค่ำคืนที่ยาวนาน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 396 ค่ำคืนที่ยาวนาน

บรรยากาศเคร่งขรึมขึ้นทันใด

ต่งชูหลานยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด รินสุราให้ตนเอง แล้วกล่าวอีกว่า “เจ้ามิรู้ว่าเมื่อก่อนข้าและเขารู้จักกันได้เยี่ยงไร”

“เดือนห้าเมื่อปีที่แล้ว ข้ามาที่หลินเจียงเป็นคราแรก ได้พบกับเขาคราแรกที่หอหลินเจียง ที่นั่นเป็นหอสุราที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของหลินเจียง”

“เขายั่วโมโหข้า จากนั้นเขาจึงโดนองครักษ์ของข้าทุบตี…” ต่งชูหลานยกสุราขึ้นดื่มจนหมดอีกครา แต่ครานี้เยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นคนรินสุราให้กับนาง

“คราที่สองก็ได้พบกับเขาที่นี่ หลังจากเทศกาลตวนอู่หนึ่งวัน เขาได้ประพันธ์กวีออกมาสองบท จึงทำให้ข้ารู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก สุรากลั่นของเขา ก็ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้พบกันที่หลินเจียงอยู่หลายครา สนทนากันเรื่องบทความและบทกวี วันที่ข้าต้องไปจากหลินเจียง ก็บังเอิญได้พบกันอีกคราที่หอหลินเจียง”

“เขาได้ประพันธ์กวีให้ข้าหนึ่งบท นามว่า ‘หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน’ ”

ต่งชูหลานตกอยู่ในห้วงภวังค์นึกย้อนความทรงจำ บนใบหน้าของนางไม่ได้มีสีหน้าเศร้าใจแต่อย่างใด ท่ามกลางแสงจันทราที่ทอแสงลงมายิ่งทำให้นางดูสวยบริสุทธิ์ยิ่ง

“บทกวีบทนี้ นอกจากประจักษ์พยานในวันนั้นเพียงมิกี่คนแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้อีก”

“เขาเขียนว่าเยี่ยงไร ? ”

แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?

ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น”

“ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง กว่าจะล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย”

“ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึง… หวู่อี้อย่างชัดเจน”

“เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้จางหายไป ด้วยเสียงไก่ขันที่หน้าต่าง”

“ครั้งนั้นข้าได้ตกตะลึงในความสามารถของเขา แต่ยังมิได้ตกหลุมรักเขาแต่อย่างใด แต่เมื่อข้ากลับมาถึงที่จินหลิง ก็ได้ติดต่อกันผ่านจดหมายหลายฉบับ ข้าถึงรู้สึกตัวว่าข้าได้ตกหลุมรักเขาเสียแล้ว”

ต่งชูหลานดื่มสุราไปเล่าเรื่องราวระหว่างตนกับฟู่เสี่ยวกวนไป ยิ่งดื่มมากไปเท่าใด เรื่องราวที่เล่าก็จะยิ่งละเอียดมากยิ่งขึ้น เล่าจนกระทั่งถึงยามจื่อ

สุราหมดแล้ว ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย มีอาการสะลึมสะลืออยู่สามส่วน

นางสูดลมหายใจเข้าอีกหนึ่งคราแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นระหว่างข้ากับเขา มิอาจแยกจากกันได้อีก แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วอย่างแท้จริงก็ตาม ในใจของข้านั้นมิอาจรับชายอื่นเข้ามาได้อีก”

“แต่พวกเจ้ามิเหมือนกับข้า เขาเคยบอกข้าไว้ว่าบทความหรือบทกวีมิอาจกินแทนข้าวได้ ที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าก็คือ บทความหรือบทกวีก็มิอาจทดแทนความรู้สึกที่ต้องรับไปชั่วชีวิตได้เช่นกัน ใช้โอกาสนี้ที่เจ้ายังมิถลำตัวลึกมากนัก พรุ่งนี้เจ้ากลับไปเสียเถิด สำหรับหนังสือสมรสของฝ่าบาทนั้น…ในเมื่อเขาเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ หนังสือสมรสของฝ่าบาทนั้นมิได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด”

“แน่นอนว่าเจ้าสามารถเอาไปคืนฝ่าบาทได้ ตัวเขามิอยู่แล้ว ฝ่าบาทต้องรับคืนอย่างแน่นอน”

น้ำตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวไหลออกมาเงียบ ๆ

นางเข้าใจดีว่าที่ต่งชูหลานเอ่ยก็เพราะหวังดีต่อนาง แต่นางก็รู้ตัวดีว่าตนเองชอบฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง จากที่ได้เห็นเขาประพันธ์หนังสือความฝันในหอแดงเล่มนั้นคราแรก นางก็ได้ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน ฝันถึงช่วงเวลาที่สวยงามในยามที่ได้พบหน้า

ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะได้เดินเข้ามาในชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน แต่เขา…กลับมิอยู่แล้ว !

ต่งชูหลานหัวเราะขึ้นมาทันใด “เรื่องนี้ข้าเพียงให้คำแนะนำกับเจ้าเท่านั้น เจ้ามิต้องรีบตัดสินใจในยามนี้ ใจเย็นลงกว่านี้หน่อยค่อยคิดให้ถี่ถ้วนเถิด ข้ามิได้โทษเจ้า และเจ้า…”

ต่งชูหลานมองไปทางหยูเวิ่นเหวิน “เจ้าเป็นถึงองค์หญิง ฮ่องเต้และฮองเฮามิมีทางยอมให้เจ้าเป็นหม้ายอย่างแน่นอน ดังนั้น…ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะก้าวผ่านไปได้โดยเร็วเช่นกัน ดังเช่นที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า มิว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุริยาก็ยังขึ้นตามเดิมอยู่ทุกวัน”

“เขาจากไปแล้ว แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป”

……

บนภูเขาด้านหลังเรือนซีซาน

ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนนั่งลงบนพื้นดิน มีสุรา แต่มิมีอาหาร

ข่าวเรื่องการตายของฟู่เสี่ยวกวนในภูเขาหิมะถูกส่งมาถึงหูของไป๋ยู่เหลียนในซีซานอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาได้ฟังก็มิเอ่ยวาจากับผู้ใดไปหนึ่งวันเต็ม เขามิได้ลงจากภูเขาเฟิ่งหลินไปตามหาฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับฝึกดาบเทวะอย่างดุดันมากยิ่งขึ้นโดยไร้วาจาใดที่หลุดออกมาจากปากของเขา

เขามิปักใจเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายแล้ว เพียงแต่ได้ยินว่าหิมะถล่มครานั้นมิมีผู้ใดรอดชีวิตเลยสักคน เขาจะมิเชื่อก็คงมิได้

ฟู่เสี่ยวกวนตายแล้ว แต่ดาบเทวะนี้ยังคงต้องฝึกต่อไป รอให้ผลิตปืนคาบศิลาออกมาสำเร็จแล้ว หลังจากเหล่าทหารคุ้นเคยดีแล้ว เขาจะต้องพากองกำลังนี้ไปยังผิงหลิงอี้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวไว้เนิ่นนานแล้ว ว่าจะต้องฆ่ากงเซินจ่างให้จนได้!

แต่เขากลับคาดมิถึงว่าในคืนก่อน ฟู่เสี่ยวกวนจะมาถึงภูเขาเฟิ่งหลินอย่างเงียบ ๆ และยังทำลายสิ่งกีดขวางที่ติดตั้งโดยดาบเทวะ อีกทั้งยังปรากฏตัวอยู่ในกระโจมของเขาอีกด้วย !

เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก หลังจากได้ทราบความเป็นไปของเรื่องนี้แล้ว และทราบแล้วว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงมิได้ตรงไปยังซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าต่งชูหลานอยู่ที่ซีซาน เขามิอยากทำให้ใครประหลาดใจ

แต่วันนี้พวกเขาลงจากภูเขาเฟิ่งหลินมาถึงซีซาน กลับได้พบว่าหยูเวิ่นเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็อยู่ด้วย

สตรีสามคนกำลังดื่มสุรา สนทนากัน กำลังสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวของเขา

พวกเขาได้ฟังที่พวกนางสนทนากัน และได้ฟังที่ต่งชูหลานโน้มน้าวเยี่ยนเสี่ยวโหลวและหยูเวิ่นเหวินจนจบ

“ดังนั้น…สตรีเหล่านี้ของท่านยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา และดื่มสุราเข้าไปหนึ่งอึก “แน่นอน สตรีที่ข้าเลือกจะไร้เหตุผลได้เยี่ยงไร เมื่อยามที่ข้าอยู่ที่เมืองกวนหยุนก็ได้เลือกสตรีให้เจ้าได้เชื่อมสัมพันธ์แล้วเช่นกันนางเก่งกาจยิ่ง สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำก็คือทำให้ดาบเทวะมีชื่อเสียง เพราะข้าได้สัญญากับนางเอาไว้”

“ไสหัวไป ! เรื่องของข้ามีอันใดให้ต้องเป็นกังวลกัน แล้วต่อจากนี้ท่านจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? หรือว่าจะอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลินปิดบังชื่อเสียงเรียงนามซ่อนตัวต่อไป ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ “รอให้อู๋หลิงเอ๋อร์ครองบัลลังก์อย่างมั่นคงเสียก่อน ข้าคาดว่าคงจะสามารถปรากฎตัวได้ปลายปีนี้ และปลายปีนี้องค์หญิงสามจะต้องเสด็จไปยังแคว้นฮวง เรื่องนี้ข้าได้ตอบรับฮั่วหวยจิ่นไปแล้ว องค์ชายแห่งเจิ้นซีผู้นั้นเป็นคนที่ใช้ได้เลยล่ะ”

ไป๋ยู่เหลียนมองที่ฟู่เสี่ยวกวน “เมื่อเจ้าปรากฎตัว แล้วถ้าไทเฮาแห่งราชวงศ์อู๋ต้องการให้เจ้ากลับไปเป็นองค์จักรพรรดิเล่า สตรีคนหนึ่งต้องนั่งอยู่บนบัลลังก์คงจะน่าเหนื่อยหน่ายไปบ้าง เจ้าจะกลับไปหรือไม่ ? ”

“หากยึดตามนิสัยเฉื่อยชาของข้า ข้าย่อมมิอยากไปอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้ดูถูกสตรีเชียว หลิงเอ๋อร์ดูแลราชวงศ์อู๋ได้อย่างเหมาะสม ข้ามิจำเป็นต้องกลับไป นอกเสียจากราชวงศ์อู๋ต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่ เยี่ยงไรเสียจักรพรรดิเหวินก็ดีกับข้ามากจริง ๆ ”

ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้าน้อย ๆ “ข้ากลับอยากให้เจ้าเป็นเพียงแค่เศรษฐีที่ดิน…” เขาชี้ไปยังเรือนนั้น “สะใภ้ทั้งสามท่านจะมิไปพบหน้าหน่อยหรือ ? หรือว่า…จะทำตามความคิดของสะใภ้ใหญ่ ถือโอกาสนี้ทดสอบความรู้สึกขององค์หญิงเก้าและเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่มีต่อเจ้าว่าลึกซึ้งเพียงใด ? ”

“เสี่ยวไป๋ ข้าจะบอกเจ้าให้ เรื่องใด ๆ ล้วนสามารถทดสอบกันได้ จะมีก็เพียงแต่เรื่องความรู้สึกเท่านั้น เรื่องนี้อย่าได้ทดสอบเป็นอันขาด ! ”

“เพราะเหตุใดกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราแล้วมองไปยังเรือนแห่งนั้น “เพราะความรู้สึกนั้น ยิ่งทดสอบก็ยิ่งเกิดปัญหา”

ไป๋ยู่เหลียนอ้าปาก ฉับพลันกลับพบว่าตนเองมิเคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้ เขามิเข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้ “เช่นนั้นท่านจะมิไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ไปมิได้ ไปแล้วอาจจะทำให้ผู้คนจำนวนมากแตกตื่น เช่นนี้เถิด รอให้ถึงพรุ่งนี้ เจ้าไปพบต่งชูหลาน และบอกกับนางว่าข้าอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ให้เขาพาเวิ่นเหวินและเสี่ยวโหลวไปพบข้าที่ภูเขาเฟิ่งหลิน”

“ได้ ! ”

โคมไฟที่แขวนไว้บนต้นไม้ใหญ่ในเรือนดับลงแล้ว แต่ไฟในห้องสามห้องยังคงสว่างอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างลึกซึ้ง สุราในไหหมดแล้ว เขาตบบ่าของไป๋ยู่เหลียน ยืนขึ้นและจากไป