ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 306 ตะวันเยือนออกฌาน สุริยันขึ้นทางเหนือ!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ประตูเขาสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาเรืองรอง ณ อัคคีพิภพ

ขณะนี้เป็นยามวิกาล ทุกหนแห่งเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง

ทว่าบนยอดเขาเรืองรองมีเหล่ายอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ โดยมีประมุขสำนักรุ่นปัจจุบันหวงซวี่เป็นผู้นำ ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้วยกัน

หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสงยืนอยู่หลังหวงซวี่เงียบๆ ราวกับเงาสายหนึ่ง

ถึงแม้จะมีฉายานามสูงส่งว่าจรัสแสง ทว่าในค่ำคืนที่แทบจะเงียบสงัดและลึกมืดเช่นนี้ กลับเหมาะสมกับหวงเจี๋ยมากกว่า เขาราวกับเป็นบุตรแห่งวิกาล ผสานเข้ากับฉากรัตติกาลได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ทุกคนล้วนยืนอยู่เงียบๆ ท่ามกลางยามค่ำคืนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว

กระนั้นบนใบหน้าของทุกคนกลับไม่มีความกระสับกระส่ายหรือเป็นกังวลใดๆ เลย

บางคนในนั้น แววตาถึงขั้นเผลอเผยประกายฮึกเหิมออกมา กำลังเฝ้าคอยอะไรบางอย่างด้วยความกระตือรือร้น

ฉับพลันนั้น ฟากฟ้ายามค่ำอันมืดมิดส่องสว่างขึ้นมา ราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นทางด้านตะวันออก

แสงอาทิตย์ย่ำรุ่งสาดส่องผืนปฐพี นำแสงสว่างมายังโลกหล้าอีกครั้ง

ทว่าบัดนี้เวลานี้ แท้จริงแล้วยังไม่ถึงช่วงเวลาฟ้าสางแต่อย่างใด

แต่โลกหล้าพลันเปลี่ยนเป็นเจิดจ้าทั่วอาณาบริเวณ ราวกับเวลากลางวันก็ไม่ปาน

เพียงแต่แสงอาทิตย์นี้ไม่ได้ทะยานขึ้นจากเส้นขอบฟ้า หากแต่ทะยานขึ้นจากยอดเขาเรืองรอง!

บรรดาผู้คนบนยอดเขาที่เฝ้าคอย รวมถึงประมุขสำนักรุ่นปัจจุบันหวงซวี่ ต่างก็ก้มคำนับทั้งหมด หวงซวี่นำหน้าเอ่ย “ต้อนรับท่านพ่อออกฌาน”

หลังกายเขา หวงเจี๋ยกล่าวต่อว่า “ต้อนรับท่านอาจารย์ปู่ออกฌาน”

คนอื่นๆ ก็คำนับอย่างมากพิธีทั้งหมดเช่นกัน “ต้อนรับท่านผู้อาวุโสออกฌาน ตะวันเยือน!”

บนยอดเขาเรืองรอง ประหนึ่งอาทิตย์ยามอรุโณทัย ภายในแสงสุกสว่างที่สาดส่องทั่วฟ้าดิน เงาร่างหนึ่งสืบเท้าออกมาจากภายในอย่างเชื่องช้า

ตะวันทั้งหมดเก้าดวง รวมกันกลายเป็นวงแหวน แขวนอยู่เบื้องหลังเงาร่างนี้

ทั่วทั้งยอดเขาเรืองรองไม่มีความรู้สึกที่ร้อนระอุเกินไป คล้ายกับว่าพลังงานความร้อนดุจดวงอาทิตย์จริง ล้วนถูกสำรวมไว้หมดสิ้น เหลือไว้เพียงแสงสว่างไสวไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น

แสงสว่างส่องไปทั่วทุกมุมของยอดเขาเรืองรอง ไม่ว่างเว้นแม้สักเล็กน้อย กระจายขยายออกไปรอบนอกยอดเขาเรืองรอง ขอบเขตหมื่นลี้ ทำให้ค่ำคืนอันมืดมิดหายสิ้น พื้นปฐพีเข้าสู่กลางวันก่อนเวลา

ไม่เห็นพลังอันน่าพรั่นพรึงแผ่กระจายออกมามากนัก ทว่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับคล้ายรู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่ง แลมองก้นบึ้งจิตใจตนได้

อยู่เบื้องหน้าเขา แม้จะเผชิญความตาย ก็ไม่กล้าต่อต้าน ทำได้เพียงยอมจำนนเงียบๆ มหาเทพสุริยันที่ประหนึ่งแขวนไว้บนท้องฟ้าสูง คล้อยลงมาพิพากษา

เสียงฝีเท้าดังขึ้น เรียบง่าย ทว่าแท้จริง

ผู้เฒ่าชุดขาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวงซวี่ หวงเจี๋ย และคนอื่นๆ ตามเสียงฝีเท้า

รูปร่างผู้เฒ่าคนนี้ไม่สูงไม่เตี้ย รูปลักษณ์คล้ายคลึงบิดาบุตรหวงซวี่และหวงเจี๋ย บนลำคอเขามีอักขระยันต์สีทองวงหนึ่ง คล้ายกับดวงอาทิตย์ที่กำลังเผาไหม้คุโชน

ผู้เฒ่าคนนี้ คือประมุขสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อน หนึ่งในจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยุคปัจจุบันทั้งหก จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ‘ตะวันเยือน’ หวงกวงเลี่ยนั่นเอง!

ในโลกแปดพิภพในปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หวงกวงเลี่ยเป็นที่ยอมรับโดยดุษณีว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุคตลอดมา!

นอกจากนอกจากจอมปราชญ์สุริยันท่านนั้นที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย รวมทั้งไม่รู้แหล่งพักพิงแล้ว ก็เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วง จางเชา ผู้เป็นอาจารย์ของหวงกวงเลี่ย ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้สะเทือนสวรรค์ และบุรุษเทียมสวรรค์ในปีนั้น

นอกจากผู้อาวุโสโม่ ปราชญ์ภาพวาดที่ถึงแม้จะเคยลงมือต่อหน้าผู้คนมาก่อน แต่ก็ลึกลับซับซ้อนยากจะรู้ระดับตลอดมา

เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปบนโลกแปดพิภพในปัจจุบัน ว่าหวงกวงเลี่ยเหนือกว่าจอมมารศักดิ์สิทธิ์หยวนเทียน ประมุขตำหนักอัสนีสวรรค์เฉินลี่ และจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนอื่นอีกสี่ท่าน

หากแต่นั่นหมายถึงก่อนหวงกวงเลี่ยจะเข้าฌานในครั้งนี้

บัดนี้เขาออกฌานอีกครั้ง ใครจะรู้ได้ว่าสุดท้ายเขาบรรลุถึงระดับใด

สายตาของหวงกวงเลี่ยมองยังหวงซวี่ “สถานการณ์ตั้งแต่หลังจากข้าเข้าฌาน เล่าให้ข้าฟังหน่อย”

หวงซวี่ผงกศีรษะ เล่าเรื่องทุกอย่างอย่างมีระบบระเบียบเรื่องแล้วเรื่องเล่า

การเล่าของเขาให้ความรู้สึกว่าบางเรื่องไม่ใหญ่นัก นอกจากเรื่องสำคัญแล้ว เรื่องเล็กน้อยจุกจิกบางส่วนก็เล่าอย่างละเอียดเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นหวงกวงเลี่ยที่กำลังฟังหวงซวี่เล่า หรือจะเป็นหวงเจี๋ยและคนอื่นที่อยู่โดยรอบ ล้วนไม่ได้มีท่าทีหน่ายใจ ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

หลังจากหวงซวี่เล่าบรรยายสถานการณ์สุดท้ายของเขากว่างเฉิงในปัจจุบันจบ ในที่สุดเขาก็หยุดพูด

หวงกวงเลี่ยมองทางเหนือ ทิศทางที่นภาพิภพตั้งอยู่ “ในที่สุดหยวนเจิ้งเฟิงก็กล้าเข้าฌานลองสืบเท้าก้าวนั้นออกไปแล้วรึ?”

“น่าเสียดาย เขาช้าไปเสียแล้ว”

หวงกวงเลี่ยก้าวเท้าเดินไปทางเหนือ “เขากว่างเฉิงถือโอกาสที่ข้าเข้าฌานไม่กี่ปีนี้ ก่อการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังข้าออกจากฌานแล้ว ก็ไปยืดเส้นยืดสายที่ทางพวกเขาก่อนแล้วกัน”

ขณะเดียวกันนั้น ด้านหน้าหวงซวี่ แสงโชติช่วงล่องลอย อาวุธสั้นสีทองเล่มหนึ่งปรากฏ จากนั้นลำแสงกระหน่ำระเบิด ราวกับสร้างโลกแสงขาวไว้บนยอดเขาเรืองรองที่เดิม

อาวุธสั้นสีทองลอยขึ้น ตกลงในมือหวงกวงเลี่ย

หวงกวงเลี่ยสืบเท้าออกมาหนึ่งก้าว ชั่วพริบตาเดียวไปไกลลิบ

แสงสว่างไสวไร้ที่สิ้นสุดทอดยาวเป็นเส้นตรงไปยังทิศเหนือ สาดส่องทั่วฟ้าดิน จากนั้นยอดเขาเรืองรองถึงค่อยๆ กลับคืนสู่ค่ำคืนอันมืดมน ตามการจากไปไกลลับตาของหวงกวงเลี่ย

บิดาบุตรหวงซวี่และหวงเจี๋ยไม่ได้ขยับ ทั้งสองต่างยังคงอยู่เฝ้ารักษายอดเขาเรืองรอง

จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ล้วนฮึกเหิมอย่างมาก “รู้สึกแล้วใช่หรือไม่? อดีตประมุขออกณาณโดยสมบูรณ์ ประสบผลสำเร็จอีกขั้นจริงๆ เขาตอนนี้ไร้พ่ายในโลกแปดพิภพอย่างแท้จริง เขากว่างเฉิงจบเห่แล้ว!”

“หยวนเจิ้งเฟิงยังมีอาการเจ็บเดิม ต้องการจะทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็มีโอกาสสิ้นลมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้ไม่ตาย ก็ไม่สำเร็จได้โดยง่ายเป็นแน่”

“เยี๋ยนตี๋ไม่เข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้มีชุดคลุมนภากับมหาค่ายกลคุ้มกันสำนักเสริมหนุน ก็ไม่อาจขวางกันอดีตประมุขได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอดีตประมุขยังมีนำมาตรสุริยันวัดสวรรค์ไปด้วย!”

บิดาบุตรหวงซวี่และหวงเจี๋ยสีหน้าค่อนข้างสงบนิ่ง ทั้งสองประสานสายตาวูบหนึ่ง ก่อนที่หวงเจี๋ยจะผงกศีรษะ “ท่านอาจารย์ปู่ออกณาณโดยสมบูรณ์ พลังความสามารถและพลังฝึกปรือรุดหน้าขึ้นอีกขั้น แนวโน้มสถานการณ์ได้กำหนดไว้แล้ว”

“ประวัติศาสตร์มักคล้ายคลึงเช่นนี้ เขากว่างเฉิงในอดีตนั้น จ่านตงเก๋อรุดหน้าขึ้นอีกขั้น หลังจากออกฌานก็ดับสูญเขานิมิตทมิฬ เจ็ดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แห่งโลกแปดพิภพเปลี่ยนเป็นหก” เส้นสายตาหวงซวี่ทอดมองยังทิศเหนือ “ตอนนี้ท่านพ่อออกฌานอย่างสมบูรณ์ หกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องเปลี่ยนเป็นห้าแล้ว”

บนเขากว่างเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอกำลังสั่งอาหู่ว่า “นำของสิ่งนี้ไปแยกฝังไว้ ตามเก้าตำแหน่งทิศทางที่ข้ากำหนดไว้”

ครั้นกล่าวจบ ชายหนุ่มก็นำไหหนึ่งใบส่งต่อให้อาหู่

อาหู่ก้มมองภายในไหแวบหนึ่ง เห็นว่าภายในเป็นสีแดงทั้งหมด “คุณชาย นี่คืออะไรหรือขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด สัมผัสการโคจรของมหาค่ายกลนภา โพล่งตอบว่า “ดินนพยมโลกที่ได้มาจากซินตงผิง”

ชายร่างใหญ่กะพริบตาปริบๆ “คุณชาย ตอนที่ท่านนำออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เงาลวงที่เหมือนกับเมฆหมอกหรือ ครู่เดียวไหนเลยเปลี่ยนเป็นเช่นดินสีแดงได้”

“ข้าจัดการมันไปสักหน่อยแล้วสักห” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว พลางหันศีรษะมองไปยังยอดเขาอรรณพซ้ำอีกครั้ง

ไอมารสีดำด้านล่างยอดเขาอรรณพบัดนี้เลือนหายไปแล้ว มีเพียงแสงสีแดงพุ่งออกมาอยู่บ้างรำไร

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวกับอาหู่ว่า “หลังจากนำดินนพยมโลกเหล่านั้นแยกกันฝังคนละที่แล้ว เจ้าค่อยไปหุบเขาผนึกเวหา ใช้วิธีที่ข้าบอกเจ้า อำพรางแสงแดงเหล่านั้นลงสักหน่อย”

อาหู่กล่าวตอบรับ “ไม่มีปัญหา คุณชาย ข้าไปแล้วนะขอรับ”

ตำแหน่งที่เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ยอดเขานภากาศ อันเป็นยอดเขาสูงสุดแต่อย่างใด หากแต่เป็นบนยอดเขาพายุสะท้านเบื้องล่างยอดเขานภากาศ

ใต้เท้าเขา บนดินโคลนถูกวาดร่องรอยเอาไว้หลายสาย แนวตั้งแนวนอนตัดสลับกัน ดูไปแล้วราบเรียบธรรมดา

เยี่ยนจ้าวเกอมองรอยประทับมารบนหลังมือซ้ายของตน พลางยื่นเท้าวาดร่องรอยสายหนึ่งซ้ำไปบนพื้น

ทิศตะวันออกค่อยๆ ท่วมท้นด้วยสีขาวพุงปลาขึ้นมา คล้ายกับรุ่งอรุณจวนใกล้เข้ามา ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอต้องหรี่ตามอง

ทว่าไม่นานนัก เยี่ยนจ้าวเกอก็เลิกหัวคิ้ว หันศีรษะกลับมองไปทางใต้

บนเส้นขอบฟ้าทางนั้น เป็นสีขาวโพลนในฉับพลัน ราวกับมีดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งกำลังค่อยๆ ทะยานขึ้นอย่างช้าๆ เช่นกัน

…………………….