บทที่ 302.2 เสียใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 302.2 เสียใจ ProjectZyphon

จิตหยินที่น่าสงสารเหมือนจอกแหนไม่สมประกอบใบหนึ่งที่ถูกปราณกระบี่ไหลบ่ากระแทกผ่านไป

บนโลกนี้ไม่เหลือร่องรอยของผู้เฒ่าอีกแม้แต่นิดเดียว

หลังจากฟันกระบี่ออกไปได้สำเร็จ เฉินผิงอันในตอนนี้ก็มีสภาพอเนจอนาถดั่งตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด แขนทั้งแขนข้างที่ถือกระบี่ ‘ปราณยาว’ เหลือให้เห็นเพียงกระดูกขาวโพลน เป็นเหตุให้นิ้วทั้งห้ากำด้าม ‘ปราณยาว’ ไม่อยู่ กระบี่ยาวร่วงตกลงไปบนพื้น ไม่เพียงแค่นี้ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันก็ร่วงลงมาอย่างหมดเรี่ยวแรงด้วย

ชูอีสืออู่เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย บินวนอยู่รอบร่างที่กำลังร่วงลงกระแทกพื้น แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

ยังดีที่ลู่ไถซึ่งมียันต์ดอกบัวพลิบานอยู่บนมือและเท้าพุ่งเข้ามารับตัวของเฉินผิงอันกลางทาง สุดท้ายประคองให้เขายืนบนกระบี่บินที่ค่อยๆ ลดระดับลง ส่วนตัวลู่ไถเองนั้นยืนอยู่กลางอากาศนอกกระบี่บิน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัดรุนแรง

ลู่ไถมองเฉินผิงอันที่สภาพน่าสังเวชก็ทั้งสงสาร ทั้งโมโห “เฉินผิงอัน เจ้ามุทะลุเกินไปแล้ว! ชีวิตนี่ยังจะเอาไว้ไหม ปล่อยให้เขาหนีไปแล้วอย่างไร แค่วิญญาณหยินกลุ่มเดียวเท่านั้น คิดจะคืนชีพกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรืออาจถึงขั้นเป็นร้อยปี ถึงเวลานั้นเจ้ากับข้ายังต้องกลัวเขาอีกงั้นรึ?!”

เฉินผิงอันเบี่ยงศีรษะไปถ่มเลือดออกจากปากหนึ่งคำ และยังมีแก่ใจไล่สายตามองตามก้อนเลือดไปอีกนาน ทำเอาลู่ไถที่มองดูอยู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา หันหน้าไปมองสนามรบกลางอากาศที่ผู้ฝึกตนเฒ่าตายไป ไม่ได้มีสีหน้าลำพองใจที่ประสบความสำเร็จ “ข้ากำลังไล่ฆ่าคนนี่นา”

ลู่ไถรีบควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาทาที่มีกลิ่นหอมอีกทั้งเนื้อยายังเข้มข้นออกมากลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เทลงไปบนแขนข้างที่สภาพน่าสยดสยองจนแทบทนมองไม่ได้ของเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่ทนกับความลำบากได้ดีก็ยังแสยะปากแยกเขี้ยว ลู่ไถช่วยอธิบายให้เบาๆ ว่า “ทนเอาหน่อย มันสามารถทำให้กระดูกของคนมีเนื้องอกขึ้นมาใหม่ได้”

ลู่ไถสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันกำลังกวาดตามองไปรอบด้านคล้ายกำลังมองหาอะไรอยู่ จึงเข้าใจได้ทันควัน พูดเสียงขุ่นว่า “เมื่อครู่นี้ข้าช่วยรับกระบี่ยาวและเชือกพันธนาการปีศาจไว้แทนเจ้า ตอนนี้อยู่ในเข็มขัดหลากสีของข้าชั่วคราว แต่บอกให้รู้ไว้ก่อนว่าเชือกพันธนาการปีศาจเสียหายหนักมาก ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะไม่น้อยถึงจะสามารถซ่อมแซมมันได้เป็นปกติดังเดิม แต่เจ้าก็วางใจเถอะ เงินก้อนนี้ข้าต้องเป็นคนออกให้แน่นอน”

เฉินผิงอันโล่งอก จากนั้นก็ถามต่อทันที “แล้วกวานสูงชิ้นนั้นล่ะ?”

ลู่ไถเหลือกตามองสูง “ใต้ฝ่าเท้าพวกเราคือผืนป่า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเจอเข้าหรอก หาเจอง่ายนักล่ะ”

คนสองคนบนกระบี่บินเล่มเดียวกันค่อยๆ ลดตัวลงบนพื้น

เฉินผิงอันถอนหายใจ เบาะรองนั่งใบนั้นถูกทำลายไปแล้ว น่าเสียดายไม่น้อย การกำจัดปีศาจปราบมารครั้งนี้สุดท้ายกลับเหลือแค่กวานสูงห้าขุนเขาชิ้นเดียว

แต่สำหรับก่อนหน้านี้ที่ ‘ทวนกระแส’ ดึงดันจะสังหารผู้ฝึกตนเฒ่าให้ตายคาที่ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของเฉินผิงอันมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของตัวเอง ‘จม’ ลงไป ไม่ได้เป็นความรู้สึกเหมือนมายาล่องลอยที่จับต้องไม่ได้อีก

การเปลี่ยนแปลงหรือควรจะพูดว่าโอกาสในครั้งนี้คล้ายคลึงกับการเลือกของเทพหยินบิดากู้ช่านระหว่างเดินทางไกลไปต้าสุยอย่างมาก

เฉินผิงอันรู้สึกว่าการเข่นฆ่าครั้งนี้ ต่อให้ไม่มีกวานห้าขุนเขาอันนั้น ต่อให้เชือกพันธนาการปีศาจจะพังภินท์ลงอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ถือว่าขาดทุน

ตอนนี้ยังได้กำไรก้อนโตด้วย

ไม่พูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่ชือซินกระบี่ยาวที่เปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความชั่วร้ายเล่มนั้น ตอนนี้ระดับขั้นเพิ่มขึ้นไปสูงมาก หากเอาไปขายต่อก็มีแต่เงินทั้งนั้น

แต่ถึงอย่างไรสมบัติอาคมบนโลกใบนี้ก็เป็นแค่ของนอกกาย มีเพียงวิชาหมัดและเวทกระบี่เท่านั้นที่ถึงจะเป็นต้นทุนในการหยัดยืนที่เฉินผิงอันอยากคว้าไว้ให้อยู่มืออย่างแท้จริง

ลู่ไถพลันเอ่ยขึ้นกลั้วหัวเราะ “กวานห้าขุนเขาอันนั้นสวยมากจริงๆ ดูเหมือนว่าตาแก่นั่นยังไม่เคยสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ คงไม่รู้ภูมิหลังที่แท้จริงของกวานห้าขุนเขานี้ เดี๋ยวพอข้ากลับไปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเมื่อไหร่ จะไปที่หอหนังสือของตระกูลแล้วพลิกเปิดหาตำราภูมิศาสตร์ดูหลายๆ เล่มหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”

เฉินผิงอันพูดพลางหัวเราะพลาง “ใช้ได้เลยนะเจ้า นี่คือหมายความว่าอยากเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองสินะ แค่เจ้าบิดก้นก็รู้แล้วว่าเจ้าจะผายลมอะไรออกมา”

ลู่ไถพูดเสียงขุ่น “เฉินผิงอัน จะดีจะชั่วเจ้าก็เคยอ่านตำราอริยะปราชญ์มาบ้าง ช่วยพูดจาให้สุภาพหน่อยได้ไหม?”

เฉินผิงอันร้องโอ้ยหนึ่งที “บุรุษตัวโตๆ สองคน จะมัวพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”

ลู่ไถตวัดตามองค้อน

ต่อให้เดินทางมาร่วมกัน หากนับรวมช่วงที่โดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติจากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีปก็เป็นระยะทางหลายพันลี้ แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกทนรับท่าทางแบบนี้ของเขาไม่ได้อยู่ดี

คนทั้งสองพลิ้วกายลงกลางผืนป่านอกป้อมอินทรีบิน จิตของลู่ไถขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย ม่ายกวางกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็พุ่งสวบจากไป

ลู่ไถเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับของตัวเองให้เฉินผิงอันฟังว่า “เมื่อเทียบกับเจินเจียนแล้ว พลังการต่อสู้ของม่ายกวางค่อนข้างธรรมดา แต่ตอนที่ม่ายกวางถือกำเนิดก็มีวิชาอภินิหารที่หายากอย่างการ ‘ค้นหาสมบัติ’ ติดตัวมาด้วย”

“ได้ยินไหม เป็นกระบี่บินเหมือนกัน แต่ของคนอื่นเขากลับไม่เหมือนกัน” เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พูดยิ้มๆ ชูอีกับสืออู่กลับเข้ามาซ่อนตัวอยู่ข้างในแล้ว

แต่ว่าครั้งนี้ต่อให้เป็นชูอีก็ยังไม่ระบายความขุ่นเคืองใส่เฉินผิงอัน คงเป็นเพราะศึกตัดสินเป็นตายในครั้งนี้ไม่เหมือนสองครั้งตอนที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองและตอนที่อยู่เหนือกองทัพนับหมื่น คุณความชอบของพวกมันมีไม่มาก

แต่สาเหตุที่แท้จริงยังคงเป็นเพราะ แม้ปากของเฉินผิงอันจะพูดว่าอิจฉาคนอื่น แต่ลึกๆ ในใจกลับยังคงซาบซึ้งใจในตัวของชูอีและสืออู่อย่างมาก

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชำเลืองตามองแขนที่กระดูกขาวโผล่อย่างน่ากลัวแล้วเบ้ปาก

ลู่ไถตาแดงก่ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วก็เหมือนว่าจะเงียบขรึมไป

เฉินผิงอันปรายตามองเขา “เจ้าน้ำตาเป็นผู้หญิงไปได้!”

ลู่ไถอึ้งตะลึง

เฉินผิงอันจึงหัวเราะ หัวเราะอย่างอารมณ์ดีมาก

ตอนอยู่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเคยถูกผู้เฒ่าเปลือยเท้าด่าทำนองนี้มาก่อน ตอนนั้นเขาเสียใจมาก

แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าพอด่าคนอื่นแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน

ลู่ไถมองเฉินผิงอันที่หัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง ในใจก็พลอยรู้สึกสงบตามไปด้วย เขานั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ถามว่า “ทำไมต้องสู้สุดชีวิตขนาดนี้ด้วย?”

เฉินผิงอันทำสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้พวกเราก็ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า เจ้าไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน ข้ามารับมือที่ทะเลเมฆ เรื่องที่รับปากเจ้าไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ภายหลังผู้เฒ่าลัทธิมารคนนั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะสังหารข้า ข้าไม่ทุ่มสุดชีวิตก็ต้องตาย ยังจะทำยังไงได้อีก”

เฉินผิงอันหยุดชะงักไปชั่วครู่ ทำท่าครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็พูดเสริมไปว่า “ในเมื่อต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่น คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนย่อมไม่ผิด หากเชือกพันธนาการปีศาจถูกทำลายไปจริงๆ ข้าก็ไม่มีทางโทษเจ้า เพราะนั่นเป็นการตัดสินใจของข้าเอง ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่พวกเรารับมือกับกลุ่มคนที่มาดักปล้นชิงทรัพย์ ข้ารู้สึกว่าสามารถหยุดมือได้แล้ว แต่เจ้าก็ยังไล่ตามไปฆ่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือหลักการเดียวกัน”

ลู่ไถเอ่ยขอโทษ “เข็มขัดเส้นนั้นเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้า ขอโทษด้วยนะ”

เฉินผิงอันโบกมือบอกให้ลู่ไถรู้ว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร เห็นว่าลู่ไถมีสีหน้าหม่นหมองก็ยิ้มปลอบใจเขา “นี่ไม่ได้เป็นเพราะข้าไม่แยแส แต่เป็นเพราะข้าเต็มใจเชื่อเจ้า ถึงได้รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องเมื่อเจ้าทำไปแล้ว แสดงว่าเจ้าเองก็ต้องชั่งน้ำหนักและคิดใคร่ครวญมาดีแล้ว ระหว่างสหาย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ”

ลู่ไถน้ำตาคลอขึ้นมา เฉินผิงอันจึงพูดด้วยความปรารถนาดีว่า “เจ้าน่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ เมื่อก่อนข้ามีสหายในยุทธภพอยู่สองคน ก็คือนักพรตหนุ่มและจอมยุทธ์เคราดกที่เคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ พวกเขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยแบบเจ้าเลย เจ้าขี้เกรงใจเกินไปแล้ว”

คนคนหนึ่งที่เห็นคนอื่นเป็นสหายไปทั่ว มักจะไม่มีสหายที่แท้จริง

คนคนหนึ่งที่ปากชอบเรียกขานคนอื่นว่าพี่น้อง แท้จริงแล้วในใจกลับไม่เคยเห็นใครเป็นพี่น้อง

ดังนั้นลู่ไถจึงรู้ดีว่าคำว่า ‘สหาย’ ที่หลุดออกมาจากปากของเฉินผิงอันนี้ มีน้ำหนักมากแค่ไหน

มากจนสามารถฝากความเป็นความตายไว้ให้ได้!

และในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันก็ทำอย่างนี้จริงๆ ตอนที่ผู้เฒ่ากวานสูงใช้ห้าขุนเขากดทับลงมา ขอแค่ลู่ไถลงมือช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย ต่อให้เฉินผิงอันหลบอยู่ในหลุมใหญ่ใต้ ‘ตีนเขา’ ก็ยังต้องถูกปราณวิญญาณกดกำราบ หายใจไม่ออกตายอยู่ในนั้น

พอลู่ไถคิดถึงเรื่องนี้ก็เริ่มกลัดกลุ้มทุกข์ใจคิดมาอีก ท่าทางจึงยิ่งเหมือนผู้หญิงเข้าไปใหญ่

เพราะตอนนั้นที่อยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก เขาคือผู้ฟังคนเดียวที่ได้ยินเฉินผิงอันเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับความฝันและความปรารถนาจากปากของเขาเอง

ดังนั้นลู่ไถจึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เฉินผิงอัน การแบ่งของกันครั้งนี้ ข้าจะต้องทำให้เจ้าได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแน่นอน”

เฉินผิงอันเหลือกตามองสูง คร้านจะพูดให้เปลืองน้ำลายอีก

เงียบงันกันไปนาน

มีเพียงแสงแดดของฤดูใบไม้ร่วงที่ส่องลอดผ่านร่องใบไม้ที่แน่นหนาลงมาในผืนป่า

ในที่สุดลู่ไถก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากลัวตาย ข้ากลัวการมีชีวิตอยู่ เจ้าว่าพวกเราหัวอกเดียวกันไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าเป็นลูกผู้ชายกว่าเจ้าเยอะ”

กว่าลู่ไถจะยอมพูดความในใจกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าถูกสาดน้ำเย็นใส่หน้า จึงพลันโมโหเดือด “เฉินผิงอัน! ทำไมเจ้าถึงได้น่าเบื่อขนาดนี้!”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “ข้าเป็นผู้ชายเต็มตัว จะต้องการให้ผู้ชายอีกคนมารู้สึกว่าข้าน่าสนใจไปทำไม ข้าเป็นบ้าหรือไง?”

ลู่ไถพูดเสียงหงอย “ก็ได้ ข้าบ้าเอง”

จากนั้นเขาก็พูดพึมพำเสียงเบาราวเสียงยุง “ขนาดตัวข้าเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”

เฉินผิงอันที่เงี่ยหูฟังถึงกับอึ้งตะลึง “หมายความว่าไง?”

ลู่ไถทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนหงายลงบนพื้น “ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ข้าก็คือตัวประหลาด ตั้งแต่เล็กจนโต คนที่รู้ความลับนี้มีแค่พ่อแม่ข้า อาจารย์อีกสองคน แล้วก็บรรพบุรุษของตระกูลอีกหนึ่งคน เจ้าคือคนที่หก พอขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้ว ข้าถึงจะสามารถ…”

กล่าวมาถึงช่วงท้าย เฉินผิงอันก็ได้ยินไม่ถนัดแล้ว

เฉินผิงอันต้องข่มกลั้นความอยากรู้ไว้เป็นนาน

ลู่ไถที่เงยหน้ามองเหม่อไปบนท้องฟ้าถึงพูดว่า “อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ในเมื่อข้าเอ่ยออกมาแล้วย่อมสามารถยอมรับทุกความคิดเห็นของเจ้าได้”

เฉินผิงอันขยับตำแหน่งมานั่งใกล้ลู่ไถ เอ่ยถามเบาๆ ด้วยความอยากรู้ แต่ก็อดรู้สึกลำบากใจไปด้วยไม่ได้ “เวลาที่ผู้หญิงเป็นวันนั้น เจ็บปวดมากเลยใช่ไหม?”

ลู่ไถเหมือนถูกฟ้าผ่า หันหน้าดำทะมึนกลับมา พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ทำไมเจ้าไม่ไปถามแม่นางคนนั้นที่เจ้าชอบล่ะห๊ะ?!”

เฉินผิงอันยกมือเกาหัวโดยไม่รู้ตัว “ข้ากล้าเสียที่ไหน”

ลู่ไถพลันหัวเราะ ชี้ไปที่แขนข้างนั้นของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันสบถหนึ่งคำแล้วรีบวางแขนข้างที่เลือดเนื้อกำลังงอกช้าๆ ลง เจ็บชะมัด

คนทั้งสองเงียบงันกันไปอีกครั้ง

ตอนที่ลู่ไถลุกขึ้นนั่งพลันสังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนั่นกำลังเสียใจ แถมยังเป็นความเสียใจที่มากล้นอีกด้วย

ลู่ไถรู้สึกเหลือเชื่อ

ไม่รู้ว่าใต้หล้ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เฉินผิงอันคิดไม่ตกได้ขนาดนี้

เห็นเพียงว่าบนหัวเข่าของเฉินผิงอันวางตราประทับเล็กๆ อันหนึ่งที่ลู่ไถไม่เคยเห็นมาก่อน

วันนี้หายนะใหญ่มาเยือนป้อมอินทรีบิน แต่สุดท้ายพวกเขาก็รอดมาได้อย่างปลอดภัย

และเขาเฉินผิงอันก็ยังมีชีวิตอยู่

ถ้ำสวรรค์หลีจู

ทุกคนเองก็อยู่อย่างเป็นสุขปลอดภัย ถึงขั้นที่ว่าขนาดเด็กบ้านนอกอย่างเขาเฉินผิงอันก็ยังได้ออกมาท่องยุทธภพไกลขนาดนี้

เพราะพวกเรามีอาจารย์ฉี

แล้ว

อาจารย์ฉีล่ะอยู่ที่ไหน?

—–