Sign in Buddha’s palm 138 ซูฉินออกมือ

 

คําพูดของราชาชวอฟางทําให้ราชาหัวเมืองทั้งเก้า พระองค์ที่เหลือเงียบลง

 

“ไอ้นี่ก็ไม่ดี ไอ้นั่นก็ไม่ได้ นี่จักรพรรดิถังมันล่อลวงพวกเราถึงขนาดนี้ ยังจะให้อดทนต่อไปอีกหรือ?”

 

ฟานหยางขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจ

 

“ราชาชวอฟาง ถ้าเจ้าเอ่ยออกมาเช่นนั้น มันย่อมมีวิธีบางอย่างใช่หรือไม่เล่า?” ราชาเปยถึงมองไปที่ราชาชวอฟางแล้วกล่าวถาม

 

“มีอยู่วิธีหนึ่ง” ราชาชวอฟางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นมา แล้วมองไปยังราชาหัวเมืองคนอื่นๆ “จักรพรรดินั้นอาจจะไม่สามารถสังหารได้ แต่เราสามารถสอนบทเรียนให้เขาได้”

 

“แค่ต้องทําให้จักรพรรดิถังมันรู้ว่าหากต้องการจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อข้าและต่อองค์ชายคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะกระทําอย่างยิ่ง

 

เมื่อคําพูดของราชาชวอฟางจบลง

 

ดวงตาของเหล่าราชาหัวเมืองพระองค์อื่นๆก็สว่างไสวขึ้น มาในทันใด

 

แน่นอนว่า

 

สิ่งที่ราชาชวอฟางพูดมานั้นสมเหตุสมผลมาก

 

จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังเป็นปรปักษ์ต่อขุนนางหัวเมืองอย่างพวกเขามาก และการสังหารจักรพรรดิไปพระองค์หนึ่งก็ไม่สามารถจะช่วยแก้ปัญหาใดๆได้

 

มีเพียงการทําให้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันล้มเลิกความคิดที่จะเป็นศัตรูกับเหล่าองค์ชายอย่างสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะช่วยแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ

 

“เดี๋ยวก่อน แล้วเจ้าจะสั่งสอนบทเรียนให้จักรพรรดิถังเยี่ยงไร”

 

ราชาเปยถึงถามสิ่งที่สงสัยอยู่ภายในใจ

 

เมื่อราชาชวอฟางได้ยินคําถามนั้นก็ไม่ได้ตอบแต่หันไปมองราชาองค์อื่นๆ “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเจ้าควรจะมีผลสําเร็จอยู่บ้างในการยึดครองอํานาจบางส่วนของสภาขุนนางในราชสํานัก”

 

คําพูดของราชาชวอฟางก็ได้ทําให้องค์ชายทุกคนเปลี่ยน สีหน้าไป

 

เหล่าองค์ชายแม้จะพํานักอยู่ในดินแดนของตน อยู่ห่างไกลจากหูตาขององค์จักรพรรดิ แต่องค์ชายทั้งหลายก็ไม่ได้โง่เขลา ใครก็ตามที่พอจะมีวิสัยทัศน์อยู่บ้างก็ควรจะรู้จักดึงขุนนางในราชสํานักมาใช้เป็นหมากในสนามของตนเอง

 

ด้วยวิธีเช่นนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในราชสํานัก พวกเขาก็จะรู้เรื่องก่อนเป็นพวกแรก

 

“ราชาชวอฟาง เจ้าถามสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยเหตุอันใด?”

 

ราชาเปยถึงกล่าวถามอย่างระมัดระวัง

 

ราชาหัวเมืองทั้งสิบไม่ได้เป็นมิตรกันมากขนาดนั้น มีการเสียดสีกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นเนืองนิตย์ ไม่เช่นนั้นพวกเขา ก็คงไม่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สําหรับพบเจอกัน

 

สายลับขุนนางที่อยู่ในราชสํานักล้วนเป็นความลับสุดยอดขององค์ชายแต่ละพระองค์ หากเปิดเผยออกไปแล้วจักรพรรดิถังล่วงรู้ เกรงว่าทุกสิ่งที่เพียรสร้างมาจะกลายเป็นไร้ประโยชน์

 

“เรื่องนึ่ง่ายดายนัก”

 

“เพียงใช้หมากเหล่านี้สอนบทเรียนให้กับจักรพรรดิถัง…”

 

ราชาชวอฟางมองไปที่ราชาหัวเมืองทั้งเก้าแล้วกล่าวขึ้น

 

“สอนบทเรียน?”

 

“อธิบายให้ข้าฟังเพิ่มเติมได้หรือไม่”

 

หลังจากได้ยินคํากล่าวนั้น ราชาหัวเมืองต่างก็มองหน้ากันแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

เมืองฉางอัน

 

ภายในวังหลวง

 

ท้องพระโรง ตําหนักไท่จี๋

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างมีพลังกระฉับกระเฉง คิดใคร่ครวญอยู่ว่าเมื่อใดกันถึงจะเกิดความโกลาหลขึ้นภายในหมู่ราชาหัวเมือง

 

“ผู้ใดมีความเห็นใด ใคร่อยากพูดสิ่งใดก็พูดออกมาเถิด”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองเหล่าขุนนางแล้วกล่าวออกมาเบาๆ

 

ในตอนนั้นเอง

 

มีขุนนางผู้หนึ่งยืนขึ้น โค้งคํานับเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ฝ่าบาท อาณาเขตแถบชายแดนเป็นรากฐานสําคัญของประเทศ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเปลี่ยนพระทัยถอนราชโองการและเลิกยุ่งเกี่ยวกับการสืบทอดอํานาจ…”

 

หลังจากที่ขุนนางผู้นั้นพูดจบ เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นและไม่ลุกขึ้นอีกเลย

 

“หืม?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

เขาได้แสดงออกถึงความตั้งใจของตนไปนานแล้ว และตอนนี้ยังมีขุนนางมาโต้แย้งและให้คําแนะนําแก่เขาอีก นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิหลี่เชิงไม่คาดคิดมาก่อน

 

เมื่อจักรพรรดิถังหลี่เชิงกําลังจะตําหนิขุนนางผู้นั้นสักสองสามคํา

 

ขุนนางอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้น “ฝ่าบาท องค์ชายที่อยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรถือเป็นรากฐานสําคัญ ข้าน้อยหวังว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการและหยุดแทรกแซงการสืบทอดอํานาจของเหล่าองค์ชาย…”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงขมวดคิ้วและมองไปที่ขุนนางคนที่สอง

 

ไม่ทันที่จักรพรรดิถังจะได้พูดอะไร

 

“ฝ่าบาทองค์ชายที่ประทับอยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรถือเป็นรากฐานสําคัญ ข้าน้อยหวังว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการและไม่ยุ่งเกี่ยวการสืบทอดอํานาจของเหล่าองค์ชายอีกต่อไป”

 

“ฝ่าบาทองค์ชายที่ประทับอยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรถือเป็นรากฐานสําคัญ ข้าน้อยหวังว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการและไม่ยุ่งเกี่ยวการสืบทอดอํานาจของเหล่าองค์ชายอีกต่อไป…”

 

 

 

เหล่าข้าราชบริพารต่างยืนขึ้นและกล่าวให้คําแนะนําต่อ จักรพรรดิหลี่เชิงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ทันใดนั้น

 

ที่ท้องพระโรงตําหนักไท่จี๋

 

ขุนนางเกือบครึ่งคุกเข่าลงร้องขอให้จักรพรรดิถังถอนคําสั่งราชโองการ

 

ข้าราชบริพารที่คุกเข่าเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางระดับเจ็ดและระดับหกซึ่งเป็นตัวตนที่ไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อพวกเขาคุกเข่าลงพร้อมกัน พลันทําให้เกิดรัศมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

 

เมื่อขุนนางที่เหลือที่ไม่ได้คุกเข่าเห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“พวกเจ้า?!”

 

“พวกเจ้า?!!”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังหลี่เชิงบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดถึงขีดสุด

 

ในตอนนี้ ทําไมพระองค์จะไม่ทราบว่าพฤติกรรมของเหล่าข้าราชบริพารเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนมาจากขุนนางหัวเมืองชายแดนต่างๆ

 

เหล่าขุนนางกําลังใช้วิธีนี้เพื่อเตือนจักรพรรดิหลี่เชิงว่า หากพระองค์ยังเข้าไปแทรกแซงอีก ก็ระวังตัวเอาไว้ว่าอาจจะปกป้องราชบัลลังก์เอาไว้ไม่ได้

 

“ได้เลย!

 

“พวกเจ้าทําได้ดีจริงๆ!”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นยืนในทันที จ้องมองไปยังข้าราชบริพารที่คุกเข่าอยู่กับพื้น

 

“ข้าปูนบําเหน็จ อวยยศพวกเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงวิ่งแจ้นไปอยู่ใต้อํานาจราชาหัวเมืองใช่รึเปล่า?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงโกรธมาก เขารู้สึกเหมือนถูกหักหลัง

 

“มานี่”

 

“รับคําสั่ง จงกุมตัวคนพวกนี้ให้ข้า!”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวเน้นทุกถ้อยคํา

 

ทันใดนั้น

 

ทหารในวังจํานวนมากก็เข้ามาและข้าราชบริพารทุกคนที่เอ่ยคําแนะนําให้แก่องค์จักรพรรดิก็ถูกนําตัวออกไป 

 

“ทุกคนจงกลับไปให้หมด!”

 

เมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น จักรพรรดิถังหลี่เชิงย่อมไม่คิดที่ประชุมอันใดอีกต่อไป จึงโบกแขนเสื้อของตนเดินออกจากตําหนักไท่จี๋ไป

 

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร

 

“หรือเป็นไปได้ไหมว่าข้าทําอะไรผิดไปจริงๆ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงตกอยู่ในความคิด ติดใจสงสัยในตนเอง

 

หากเขาเป็นจักรพรรดิที่ไม่ได้เรื่อง เขาย่อมไม่สนใจว่าข้าราชบริพารของตนจะคิดเห็นอย่างไร แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

 

เขาให้ความสนใจต่อความคิดเห็นของข้าราชบริพาร แต่ตอนนี้เหล่าข้าราชบริพารหันมาสมคบคิดรวมหัวกันตั้งคําถามเรื่องความตั้งใจของเขาที่จะตัดทอนอํานาจขุนนางชายแดน

 

สิ่งที่เขาทําลงไปมันถูกต้องจริงๆ ใช่หรือไม่?

 

ไม่กี่วันต่อมา

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงล้มปวยเพราะความสงสัยในตนเองอย่างมาก

 

ตั้งแต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงขึ้นครองราชย์ ทํางานตรากตรําด้วยมโนธรรมมาเกือบสิบปี และตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท

 

แม้ว่าจะไม่มีปัญหาทางกาย แต่จิตใจของพระองค์แบกรับแรงกดดันอันมหาศาลมาช้านาน

 

แต่ตอนนี้การทรยศของเหล่าขุนนางไม่ต่างจากฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดผึง จนอิฐที่แบกรับเอาไว้หล่นลงมา ทําให้จักรพรรดิหลี่เชิงจิตใจพังทลาย

 

ภายในวังหลวงเกิดความโกลาหลอยู่ช่วงหนึ่ง

 

ข้าราชบริพารทั้งหลายรวมถึงฮองเฮาซูเยว่หยุนต่างก็มารวมตัวกันที่โถงชีวิตนิรันดร์

 

หลังจากที่ได้เห็นร่างของจักรพรรดิถังหลี่เชิง หมอหลวงก็รู้สึกเศร้าโศกและไม่กล้าพูดอะไรออกมา

 

ไม่มีหมอหลวงคนไหนกล้าพูดออกมาว่าสามารถรักษาจักรพรรดิถังได้

 

พวกเขาคิดหาวิธีบรรเทาอาการไม่ได้ด้วยซ้ํา

 

“ฝ่าบาท…”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนนอนอยู่หน้าบัลลังก์มังกร เฝ้ามองจักรพรรดิหลี่เชิงที่นอนไม่ได้สติ นางร่ําไห้จนสายตาพร่ามัวไปหมด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

องค์ชายที่ให้ความสนใจใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงภายในราชสํานักอยู่แล้วก็ได้รับทราบเรื่องนี้มา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ถ้าคิดว่าจะทําอะไรกับข้าและเหล่าองค์ชายองค์อื่นๆได้ มันยังคงเร็วไปร้อยปี”

 

ราชาเปยถิงเยาะเย้ย

 

ราชาหัวเมืองอีกเก้าคนที่เหลือก็เช่นเดียวกัน ต่างกําลังดูถูกอยู่ในใจ

 

 

ณ พระราชวัง

 

ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินไพล่มือทั้งสองข้างไปด้านหลัง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมไปถึงโถงชีวิตนิรันดร์

 

“เป็นอาการทางใจ โอสถสามัญไม่สามารถรักษาได้…”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจ

 

ปัญหาที่จักรพรรดิถังกําลังเผชิญอยู่นั้นมีอันตรายแฝงอยู่มากมาย เกิดจากสภาพจิตใจแตกสลาย หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที แม้ว่าสุดท้ายจะรอดมาได้ แต่สภาพร่างกาย พละกําลังย่อมเสียหายไปเป็นอันมาก และแม้กระทั่งอายุขัยก็ย่อมได้รับผลกระทบ

 

“พอแล้วล่ะ”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆก้าวไปด้านหน้าก่อนจะหายตัวไป

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ด้านหน้าห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

ร่างของซูฉินก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ