ภาคที่ 4 ตอนที่ 23 ใครปกป้องพวกเราให้สงบสุข

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ใครหน้าไม่อายปานนี้ 

 

 

คำพูดนี้ตะโกนออกมา ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงป้าบดังขึ้น 

 

 

บุรุษชราที่นั่งอยู่บนม้วนผ้าห่มหน้าแดงก่ำ ไม้เท้าในมือตีลงบนพื้น 

 

 

“เจ้าด่าใครฮะ?” เขาถลึงตาตะโกนใส่บุรุษเคราครึ้มคนนี้ 

 

 

บุรุษหลายคนนั้นสีหน้าปั้นยากมองดูบุรุษชราคนนี้ 

 

 

ถึงกับปกป้องกองทหารชิงซานเช่นนี้ ปกป้องภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้หรือ? 

 

 

“ภรรยาของท่านชายไม่เพียงช่วยเหลือคุ้มครองชาวบ้านผู้ลี้ภัยตามทาง ยังไปป้าโจวสาบานจะรับประชาชนต้าโจวทั้งหมดกลับมา นางผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งเอาตัวเข้าไปในสถานที่อันตราย พวกเจ้า พวกเจ้าบุรุษพวกนี้ พวกเจ้าด่าใครฮะ?” บุรุษชราตะโกน 

 

 

บุรุษชราคนนี้นิ้วมือนิ้วเดียวก็ผลักล้มได้ เป็นคนประเภทนั้นที่จัดว่าถูกรังแกง่ายที่สุดในหมู่ผู้ลี้ภัย ถูกรังแกตรงๆ ก็ไม่กล้าเอ่ยโต้กลับขอแค่มีชีวิตรอด 

 

 

ถึงกับกล้าใจกล้าเช่นนี้ เพื่อคำพูดประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาของคนผ่านทางก็บันดาลโทสะ แล้วยังทำท่าจะแลกชีวิตกับผู้อื่นอีก 

 

 

บุรุษทั้งหลายสีหน้าพิลึก บุรุษเคราครึ้มที่พูดก่อนหน้านี้ก็มองดูบุรุษชราชูไม้เท้า เดิมหนึ่งฝ่ามือตบออกได้แต่เขากลับถอยหลังหลบ 

 

 

“ข้าไม่ได้ด่าใครทั้งนั้น” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าด่าพวกบุรุษอกสามศอกเหล่านั้นหรอก ให้นางผู้หญิงคนหนึ่งเปิดหน้าเปิดตาพาทหารออกรบ” 

 

 

เขาพูดพลางสบถอีกทีหนึ่ง 

 

 

“หน้าไม่อายจริงๆ” 

 

 

เช่นนี้รึ บุรุษชราเก็บความโกรธเกรี้ยว พยักหน้าปิติยินดี 

 

 

“ใช่แล้วใช่แล้ว” เขาเอ่ยแล้วก็ส่ายศีรษะ “แต่น้องชายก็ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้เหมือนกัน ยังมีเหล่าบุรุษที่ใจห้าวหาญอยู่ กองทหารซุ่นอันของเหอเจียนนั่นล้วนติดตามไปป้าโจวแล้ว ได้ยินว่าช่วยประชาชนกลับมาแล้วหลายหมื่นคน” 

 

 

บุรุษเคราครึ้มหัวเราะแห้งๆ หลายที 

 

 

ความห้าวหาญนี่กว่าครึ่งคงถูกชื่อภรรรยาของท่านชายปลุกระดมขึ้นมาสินะ? 

 

 

แต่โต้คารมกับชาวบ้านซื่อบื้อเหล่านี้ไม่มีความหมาย 

 

 

“ป้าโจวไม่ใช่มีทหารจินแล้วหรือ?” บุรุษคนหนึ่งอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น 

 

 

“ใช่แล้ว ภรรยาท่านชายไม่กลัวเลย” บุรุษชราเล่าอย่างตื่นเต้น “ภรรยาท่านชายอายุน้อยๆ ก็มีความสามารถปกครองฟ้าดิน ปัญญาสูงส่ง วรยุทธ์ล้ำเลิศ… 

 

 

ครั้งนี้คำพูดเขายังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกบุรุษเคราครึ้มขัดแล้ว 

 

 

“พอแล้ว พอแล้ว” เขาคล้ายทนฟังไม่ได้โบกมือพลางเรียกบุรุษหลายคนนั้น “ไป ไป ไป” 

 

 

พูดจบก็ก้าวไวๆ รุดหน้าไปแล้ว บุรุษหลายคนนั้นรีบติดตาม 

 

 

“ข้ายังพูดไม่ทันจบเลยนะ” บุรุษชราเสียดายอยู่บ้าง มองดูบุรุษหลายคนจากไปจากนั้นก็ตะเบ็งเสียง “พวกเจ้าอายุน้อยๆ ร่างกายแข็งแกร่งมีกำลังวังชาก็ไปเหอเจียนเถอะ ช่วยสังหารศัตรูเป็นผู้กล้าคนหนึ่งด้วย อย่าสู้ไม่ได้กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่ง” 

 

 

บุรุษหลายคนนั้นศีรษะก็ไม่หันกลับมา เพียงแค่ฝีเท้ายิ่งไวขึ้นแล้ว 

 

 

………………………………………. 

 

 

“คนสมัยนี้ทำไมพูดมากเช่นนี้” 

 

 

เข้ามาในตัวอำเภอแล้วไม่ง่ายกว่าจะหาร้านอาหารที่ยังเปิดอยู่นั่งลงได้ บุรุษเคราครึ้มอารมณ์ไม่ดีสางหนวด 

 

 

อาจเพราะเร่งเดินทางเป็นเวลาหนาน หนวดเคราจึงไม่แข็งแรงอยู่บ้างแล้ว หลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านของจูจั้น 

 

 

บุรุษสามคนที่ฝั่งตรงข้ามกระแอมเบาๆ ทีหนึ่งก้าวเข้ามาบังหลังร่างเขา ระแวดระวังมองไปรอบด้าน 

 

 

อย่างไรด้านในเขตมณฑลเหอเป่ยซี แม้สถานการณ์ตึงเครียดแต่ก็ไม่มีทหารจินข้ามเขตมา ดังนั้นในเมืองบ้านเรือนจึงเรียบร้อย เพียงแต่อย่างไรก็ไม่ฟื้นกลับรุ่งเรืองครึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้ ร้านรวงจำนวนมากปิดสนิท บนท้องถนนคนเดินเท้ารีบร้อน สีหน้ากระวนกระวาย 

 

 

“ไม่ต้องมองแล้ว พวกเจ้าหนูองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ตามมา” จูจั้นเอ่ยแล้วยกน้ำแกงชาร้อนๆ บนโต๊ะดื่มคำหนึ่ง หนวดถูกเขาทึ้งลงมาดื้อๆ โยนไปด้านข้างแล้ว 

 

 

บุรุษสามคนก็นั่งลงมาด้วย 

 

 

“ไม่รู้ว่าเป็นใคร” หนึ่งในนั้นอดไม่ได้เอ่ยขึ้นพลางมองสีหน้าจูจั้น 

 

 

“สังคมตกต่ำลงทุกวันจริงๆ” จูจั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าคนบริสุทธิ์สะอาดคนหนึ่งถูกคนทำให้มีมลทินเช่นนี้แล้ว” 

 

 

บุรุษอีกคนหนึ่งกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง 

 

 

“แต่เห็นชัดยิ่งว่าคนผู้นี้ต้องการอาศัยอำนาจของท่านชายท่าน” เขาเอ่ย 

 

 

“คนยอดเยี่ยมเกินไปก็กลุ้มเรื่องนี้” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย 

 

 

ที่จริงก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องของคน แต่เป็นฐานะ 

 

 

บุรุษสามคนถูปลายจมูก 

 

 

“บางทีอาจเป็นแผนของเฉิงกั๋วกง” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา 

 

 

กำลังพูดอยู่ก็มีบุรุษสองคนก้าวไวๆ กลับมา สีหน้าติดจะตื่นเต้นอยู่บ้าง 

 

 

“พี่ใหญ่ สืบข่าวกระจ่างแล้ว” พวกเขารีบเร่งเอ่ย “เป็นท่านหญิง” 

 

 

ท่านหญิงคำนี้ จูจั้นได้ยินเข้าตอนนี้พลันขึงเครียดอยู่บ้าง 

 

 

“ท่านหญิงอะไร?” เขาขมวดคิ้วขัด 

 

 

“ไม่ใช่ท่านหญิงของท่าน” บุรุษคนหนึ่งรีบเอ่ยอธิบาย “เป็นท่านหญิงเฉิงกั๋ว” 

 

 

จูจั้นสีหน้าดีใจมากทันที 

 

 

“แม่ข้า?” เขาเอ่ยจากนั้นก็ตบโต๊ะ “แม่ข้าอยู่เหอเจียน?” 

 

 

“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” บุรุษคนอื่นรีบถามเร่ง 

 

 

บุรุษรีบเล่าข่าวที่สืบถามได้ออกมา พวกเขาหลายคนนี้ฟังจนสีหน้าตกตะลึงทั้งยังทอดถอนใจ 

 

 

“ดูท่าท่านหญิงได้ข่าวจึงทิ้งเมืองต้าหมิงทันที ตรงดิ่งไปเหอเจียนแล้ว” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยท่าทางเลื่อมใสอยู่หลายส่วน 

 

 

บนหน้าจูจั้นผุดความภาคภูมิใจออกมาหลายส่วน 

 

 

“นั่นเป็น นั่นเป็นแม่ของข้าเชียวนะ ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่านางไม่เป็นไร” เขาเอ่ยสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ 

 

 

แต่คนอื่นล้วนมองออก จนกระทั่งถึงนาทีนี้ความกังวลร้อนรนที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าของจูจั้นถึงสลายหายไปหมดสิ้น 

 

 

“เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงเชิญกองทหารชิงซานกองนี้มาจากที่ใด” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย “บอกว่าไม่กี่สิบคนก็ทำโจรจินกลัวหนีกระเจิงเข้าป่าได้” 

 

 

“จริงหรือหลอก?” จูจั้นลูบปลายคางเกลี้ยงเกลาเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “ฟังดูร้ายกาจใกล้ไล่ตามข้าคนนี้ได้แล้วนะ” 

 

 

………………………………………. 

 

 

ด้านในป้อมปราการที่ทิ้งร้างแห่งหนึ่งธงผืนใหญ่คลี่สยาย ที่สะดุดตาที่สุดก็คือธงแดงผืนหนึ่ง บนนั้นคำว่ากองทหารชิงซานสามคำพลิ้วสะบัด 

 

 

เวลานี้ใต้ผืนธงคนผู้หนึ่งกำลังถือสิ่งของคล้ายกระบอกไม้ไผ่แท่งหนึ่งมองไปยังท้องทุ่ง 

 

 

พวกหลี่กั๋วรุ่ยที่ยืนอยู่ข้างกายเขาท่าทางอิจฉาอยู่บ้าง 

 

 

“สหายเซี่ย เป็นอย่างไร? เป็นอย่างไร?” พวกเขาเร่งรีบเอ่ยถาม 

 

 

เซี่ยหย่งวางกระบอกไม้ไผ่ลง 

 

 

“มีโจรจินกองหนึ่งกำลังขึ้นเหนือไปจริงๆ” เขาเอ่ย พูดจบก็ถือโอกาสส่งกระบอกไม้ไผ่ไป 

 

 

บุรุษหลายคนแย่งชิงกันทันที แต่ยังคงเป็นหลี่กั๋วรุ่ยเร็วกว่าก้าวหนึ่งคว้าเอาไว้ในมือก่อน 

 

 

บุรุษทั้งหลายได้แต่ทำหน้าอิจฉามองดูหลี่กั๋วรุ่ยยกกระบอกไม้ไผ่อย่างระมัดระวังไว้ตรงหน้าดวงตามองไปด้วยความตื่นเต้นยินดี 

 

 

“จริงด้วย จำนวนคนยังไม่น้อย” เขาพยักหน้าพลางเอ่ย “ดูท่าอย่างน้อยปล้นประชาชนไปแล้วหนึ่งพันกว่าคน” 

 

 

เซี่ยหย่งขานตอบ 

 

 

“เอาอย่างไร? ทำไม่ทำ?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยกำกระบอกไม้ไผ่ในมือแน่น 

 

 

“ทำสิ” เขาไม่ลังเลสักนิดเอ่ย “ประชาชนหนึ่งพันกว่าคนนะ ไม่อาจยกให้โจรจินได้” 

 

 

บุรุษหลายคนที่เหลือก็พากันพยักหน้า 

 

 

“ทำเลย” 

 

 

“ไป ไป” 

 

 

เซี่ยหย่งพยักหน้า เอาแผ่นที่แผ่นหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมากาง 

 

 

มองเห็นแผนที่พวกหลี่กั๋วรุ่ยก็รีบล้อมเข้ามาอีกครั้ง ท่าทางตื่นเต้นอิจฉาอยู่หลายส่วน 

 

 

นี่เป็นแผนที่ป้าโจว ไม่เหมือนกับแผนที่ซึ่งพวกเขาครอบครอง แผนที่แผ่นนี้ชัดเจนจนกระทั่งทางเส้นน้อยของหมู่บ้านทุกแห่งก็ทำเครื่องหมายออกมา 

 

 

“โจรจินกลุ่มนี้ต้องการไปด้านนี้” เซี่ยหย่งชี้สถานที่แห่งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเราจะล้อมกวาดจากฝั่งนี้ เร่งให้ทันเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ดักไว้ รอคอยเงียบๆ รวบพวกเขา” 

 

 

พวกหลี่กั๋วรุ่ยพยักหน้ารัว หารือกันพักหนึ่งก็เร่งรีบลงจากป้อมไปเรียกรวมพลทหาร 

 

 

“แจ้งข่าวให้คุณหนูจวิน” เซี่ยหย่งเอ่ยกับคนข้างตัว “พวกเราต้องเติมกระสุนควันสี” 

 

 

………………………………………. 

 

 

มองเห็นควันกลางท้องฟ้าระเบิดออกเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง เหลยจงเหลียนบนทุ่งกว้างก็รั้งสายตากลับมา 

 

 

“พบโจรจินแล้ว” เขาเอ่ย “ไปบอกคุณหนูจวิน พวกเราต้องเพิ่มความเร็วขึ้น” 

 

 

เขาพูดพลางหันศีรษะกลับไปก็เห็นคนด้านหลังร่างนิ่งไม่ขยับ 

 

 

คนผู้นี้สวมชุดเกราะอยู่ สีหน้านิ่งเฉยแล้วยังยิ้มหยันอยู่นิดๆ  

 

 

“จะไปรนหาที่ตายอีกแล้วรึ?” จินสือปาเอ่ยหยัน 

 

 

……………………………………….