ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 243 ร่มกระดาษทอง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หอความลับสวรรค์ทุกครั้งได้มอบการวิพากษ์วิจารณ์แบบสั้นๆ เวลานี้เปลี่ยนอันดับประกาศ หอความลับสวรรค์อาจจะคิดไปถึงบทสนทนาที่ดึงดูดคนบนโลกนี้จำนวนมาก สุดท้ายจึงได้อธิบายว่าสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงเพราะเหตุใดไม่ได้เข้าไปอยู่ในประกาศเตี่ยนจิน แสดงว่านี่เป็นเพราะผู้อาวุโสหอความลับรอคอยการเดินทางไปสวนโจวของทั้งสองคน

จนถึงเวลานี้ ทั่วทั้งต้าลู่ต่างทราบดีว่าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงจะต้องเข้าไปในสวนโจว

เริ่มจากการชุมนุมไม้เลื้อยของปีที่แล้ว ข่าวคราวการหมั้นหมายของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงแพร่สะพัดไปทั่วใต้หล้า ในเรื่องราวเหล่านี้เต็มไปด้วยบุญคุณความแค้นหลากหลายชนิด เด็กชายเด็กหญิงที่รู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย โต้กลับและรอคอย สับสนวุ่นวาย ยากที่จะเอ่ยได้หมด ขณะนี้ เรื่องราวระหว่างหนุ่มสาวสุดท้ายแล้วก็ได้มาพบกันในสวนโจว นี่เป็นธรรมดาว่าดึงดูดความสนใจของคนจำนวนนับไม่ถ้วน

บุคคลสำคัญของเรื่องราวนี้อีกคน ชิวซานจวินมิได้ปรากฏตัวออกมา แต่ศิษย์น้องของเขาอยู่ในสนาม สายตาที่เหลียงเสี้ยวเซียวมองเฉินฉางเซิงฉายแววเยือกเย็น เพราะว่าช่วงเวลาที่อยู่สุสานเทียนซู ความรู้สึกที่ชีเจียนมีต่อเฉินฉางเซิงได้เปลี่ยนไป เวลานี้ได้ยินเสียงถกเถียง ใบหน้าเล็กก็เผยสีหน้าโมโหออกมา

“ถึงแม้เขาได้พบสิ่งมหัศจรรย์ในสวนโจว แล้วจะสามารถแย่งชิงอันดับแรกของประกาศจินเตี่ยนได้หรือ? แล้วจะเทียบกับชิวซานจวินได้หรือ?”

“เพราะเหตุใดถึงไม่ได้เล่า? ถึงแม้ชิวซานจวินจะสำเร็จขั้นรวบรวมดวงดาว แต่อย่าลืมว่าชิวซานจวินแก่กว่าเขาสี่ปี”

ในการถกเถียงมิได้เอ่ยชื่อของเฉินฉางเซิง แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเอ่ยถึงเขา

เยี่ยเสี่ยวเหลียนยืนอยู่กับศิษย์พี่ในกลุ่มฝูงชน จ้องมองภาพด้านหลังของเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านหน้า ในดวงตามีเพียงแค่ความแปลกประหลาดใจเท่านั้น ไม่เหมือนกับตอนแรกที่มีแต่ความไม่ชื่นชอบและโกรธแค้น

เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ถึงสายตาบริเวณรอบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทางของคนทิศใต้ชัดเจนว่ามิได้มีเจตนาดี รับรู้ได้ถึงแรงกดดัน อีกทั้งรู้สึกถึงความงงงวย อยู่ในสายตาของคนบนโลก เขากับสวีโหย่วหรงอาจจะเป็นคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย คงจะมีความรักใคร่ต่อกัน กลับมีเพียงเขาที่ชัดเจนว่าเรื่องราวเหล่านี้ที่จริงแล้วไม่ใช่ความจริง เขาไม่รู้ว่าสวีโหย่วหรงมีลักษณะเป็นอย่างไร เชื่อว่าสวีโหย่วหรงก็มิได้มีความทรงจำใดๆ ต่อเขาเช่นกัน

เดินออกมาทางประตูจิงตูทางทิศใต้ ขบวนก็ได้หยุดพัก อาจารย์ซินออกมาจากรถลากคันหน้าสุดที่ลากด้วยอาชาสวรรค์ เดินมายังด้านหน้าของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงรู้สึกเหนือความคาดหมาย เอ่ยว่า “ใต้เท้าสังฆราชเป็นผู้นำขบวนหรือ?”

อาจารย์ซินส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสระยะนี้สุขภาพไม่ค่อยจะดีเสียเท่าไหร่”

เฉินฉางเซิงจ้องมองรถลากที่อยู่ด้านหน้า เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “แล้วในรถคันนั้นมีผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงท่านใดกัน?”

อาจารย์ซินจ้องมองเขาพลางยิ้มออกมา “ข้ามาเชิญท่านขึ้นบนรถ”

เฉินฉางเซิงตกตะลึง เพียงชั่วครู่ถึงรู้สึกตัว เอ่ยออกมาด้วยความไม่มั่นใจ “ท่านจะบอกว่า…ไปยังสวนโจวครั้งนี้ ให้ข้านำขบวนหรือ?”

อาจารย์ซินสีหน้าเรียบเฉยกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ใต้เท้าสังฆราชได้นำธุระเหล่านี้มอบให้กับท่านแล้ว”

เฉินฉางเซิงคิดไปถึงนักบวชของหอจงซื่อกับสำนักเทียนเต้าก่อนหน้านี้ ภาพที่เหล่าคณาจารย์มาคารวะก่อนหน้านี้ ครุ่นคิดมิได้เอ่ยสิ่งใด ตนอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ล่วงรู้

……

……

ออกจากจิงตูมายังเมืองเวิ่นสุ่ย รถลากสิบกว่าคันได้ผ่านเข้าประตูเมืองอย่างต่อเนื่อง บนยอดของรถลากเหล่านั้นต่างก็มีสัญลักษณ์ของพระราชวังหลี ตำหนักศึกษาในหลายวันก่อนก็ได้รับข่าว จึงเตรียมการเอาไว้เสร็จสรรพ แล้วทหารองครักษ์ของประตูจะกล้าตรวจสอบและซักถามได้อย่างไร ประตูเมืองเปิดไว้นานแล้ว หนทางของพระราชวังทั้งสองข้างเต็มแน่นไปด้วยข่าวคราวของกลุ่มฝูงชนที่ล้อมรอบก่อนหน้านี้

“ผู้ใดคือเฉินฉางเซิง?”

“เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพมากี่คน?”

“หงส์สวรรค์สวีเดินทางออกมาจากสถานศึกษาหนานซี คงไม่อยู่ในขบวนใช่ไหม?”

“เฉินฉางเซิงอยู่ในรถคันไหน? หรือว่าเป็นรถคันแรก? เจ้าชำเลืองไปยังปีกสีขาวหิมะของอาชาสวรรค์…คล้ายกับผ้าคลุมเตียงพวกเราเลย”

พวกฝูงชนพูดคุยกับคึกคัก ชี้ไปยังรถลากที่อยู่ในขบวนเหล่านั้น อาชาสวรรค์ที่งดงามเป็นธรรมดาที่จะเป็นจุดสนใจของทุกคน เมื่อทุกคนรู้ว่าเฉินฉางเซิงอยู่ในรถคันแรก จึงพากันพรั่งพรูออกมาข้างหน้า บนหนทางเพียงชั่วพริบตาก็มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ จนถึงขนาดว่ามีคนขานชื่อของเขาเสียงดังไม่หยุด

หนุ่มน้อยนักพรตที่มาจากเมืองซีหนิง มีความรู้แตกฉานในคัมภีร์เต๋า ได้อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ ศึกษาป้ายสุสานสิบเจ็ดแผ่นด้านหน้าสุสานเทียนซูภายในหนึ่งวัน และเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง

ไม่ว่าจากมองจากมุมไหน นี่เป็นตำนาน เขาก็คือตำนาน

สายตานับไม่ถ้วนร่วงหล่นบนรถ ดุเดือดเร่าร้อนไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบได้ ประหนึ่งจะทำให้ผ้าม่านมาเผาไหม้เสียแล้ว

ถึงแม้หลังจากการสอบใหญ่จะมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินขบวนในเมืองจิงตู เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่ค่อยคุ้นเคยกับการต้อนรับเช่นนี้ รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าวไร้สิ่งใดเปรียบ

กลับกันคือเจ๋อซิ่วที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึก มิได้สะทกสะท้านกับเสียงและสายตาที่ส่งมาจากด้านนอกรถลากแต่อย่างใด

คณะที่มุ่งหน้าไปยังสวนโจวมาถึงตำหนักศึกษาของเมืองเวิ่นสุ่ย มีเพียงอาจารย์ซินที่นำนักบวชใต้บังคับบัญชาไปจัดการเรื่องราวอย่างละเอียด เฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง อีกทั้งเป็นผู้นำขบวนครั้งนี้ด้วย แล้วจะไปทำเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร เปลี่ยนประโยคพูดก็คือ เขามีความหมายไม่ต่างกับกับภาพเทพเจ้าที่แปะเอาไว้ตรงหน้าประตู

ตำหนักศึกษาได้เตรียมห้องก่อนหน้านี้แล้ว ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรของทุกสำนักทุกพรรคต่างแยกย้ายกันเข้าไป ระยะสองสามปีนี้ชื่อเสียงของพรรคกระบี่หลีซานเลื่องลือยิ่งนัก ชีเจียนกับเหลียงเสี้ยวเซียวเข้าไปยังจวนทางตะวันออก หญิงสาวของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนอยู่ถัดไป แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงจะได้ที่พักดีที่สุด มุขนายกของเมืองเวิ่นสุ่ยออกมาต้อนรับเขาเข้าไปยังจวนใหญ่อย่างมีไมตรีจิต เจ๋อซิ่วก็ตามเข้าไปอย่างมิได้อ้อมค้อม

หลังจากล้างหน้าล้างตา จัดของอย่างง่ายๆ ยังมิทันได้พักผ่อน ก็มีนักบวชเข้ามารายงานว่ามีคนต้องการจะมาเยี่ยมเยือนเจ้าสำนักเฉิน

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน คาดเดาใดว่าคนที่มาคือผู้ใด จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดเอี่ยม เดินออกมายังด้านหน้าจวน

บุรุษคนหนึ่งท่าทางเป็นผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหน้าจวน เห็นว่าเสื้อผ้าของคนผู้นี้เรียบง่าย ตรงเอวห้อยหยกก้อนหนึ่ง ทว่าเป็นสิ่งของที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นเฉินฉางเซิง ผู้ดูแลคนนั้นทำความเคารพ คล้ายกับว่าเคารพอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่านักบวชเวิ่นสุ่ยที่อยู่ด้วยต่างก็ตกตะลึง

ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยแต่ไหนแต่ไรยิ่งยโสโอหัง ถึงแม้จะเป็นตระกูลเทียนไห่กับตระกูลชิวซานก็มิได้สนใจแต่อย่างใด ผู้ดูแลผู้นี้วันปกติแม้แต่ใต้เท้ามุขนายกก็พบเห็นได้น้อยอย่างยิ่ง เหตุใดเวลานี้ถึงแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้เล่า? จะต้องรู้ว่าเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงเป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น ตำแหน่งก็มีเพียงแค่ในส่วนของนิกายหลวงเท่านั้น ถึงแม้เฉินฉางเซิงกับหลานชายคนเดียวของตระกูลถังมีความสัมพันธ์อันดี ก็คงจะไม่ให้เกียรติถึงขนาดนี้

เฉินฉางเซิงเอ่ยขออภัยกับผู้ดูแลตระกูลถังผู้นั้น “กล่าวตามเหตุผลแล้ว ข้าเป็นผู้น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโส เพียงแต่เดินทางมาสวนโจวครั้งนี้ช่างเร่งรีบ อีกทั้งใต้เท้าสังฆราชให้ข้ารับผิดชอบนำขบวน ด้วยเหตุนี้จึงไม่สะดวกปลีกตัวไป จึงรบกวนผู้ดูแลฝากความห่วงใยไปยังผู้อาวุโสแทนข้าด้วย”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาหยิบตลับเล็กๆ ที่เตรียมมาจากจิงตูยื่นส่งออกไป

ในตลับนี้ก็คือยา แรกเริ่มเขากับถังซานสือลิ่วอยู่ในสวนร้อยหญ้าได้ขโมยหญ้าสมุนไพรผลไม้ประหลาดจำนวนไม่ถ้วน บวกกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นพิเศษซึ่งพบได้น้อยยิ่งในโลกมนุษย์ที่ลั่วลั่วส่งมาจากแม่น้ำแดงเหล่านั้น นอกจากให้นักบวชพระราชวังหลีนำมาปรุงเป็นยา แล้วมาใช้สำหรับการบรรลุขั้นทะลวงอเวจีแล้ว ยังเหลืออีกจำนวนมาก จะนำมาช่วยเหลือการฝึกบำเพ็ญเพียรก็ไม่ค่อยราบรื่น สำหรับผู้แข็งแกร่งแล้วจะนำมาช่วยให้ร่างกายแข็งแกร่ง แต่ดีที่สุดยังใช้เป็นยาให้มีอายุยืนยาว

ผู้ดูแลผู้นั้นรับเอาตลับเล็กๆ กล่องนั้น กล่าวขอบคุณอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงหยิบกล่องใบเล็กออกมาจากอก มือทั้งคู่ยกขึ้น ท่าทางนอบน้อม เอ่ยว่าเป็นสิ่งคารวะของผู้เฒ่าตระกูลถัง จากนั้นจึงได้ขอตัวลากลับไป

……

……

เดินกลับมายังด้านในโถงที่เงียบสนิท เฉินฉางเซิงวางตลับไว้บนโต๊ะแล้วเปิดออก พบเพียงแค่ด้านในเป็นโลหะลูกกลมๆ

ลูกโลหะทรงกลมมีขนาดประมาณหนึ่งกำมือ คล้ายกับว่าหนักอย่างยิ่ง ผิวภายนอกมันเงา กลับมีเส้นคล้ายกับเกล็ดที่แบ่งลูกโลหะออกเป็นสามส่วน

เจ๋อซิ่วเดินมายังข้างโต๊ะมองแวบหนึ่ง ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเงียบนิ่งเป็นเวลานาน

เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาพลางเอ่ยถาม “เป็นอะไร? มองท่าทางเจ้าแล้วตกตะลึงยิ่งนัก”

เจ๋อซิ่วมองเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากับถังซานสือลิ่วแท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์กันเช่นไร?”

เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ข้ากับเขาเป็นสหายกัน”

ถูกแล้ว ถังซานสือลิ่วเป็นสหายคนแรกที่เขารู้จักหลังจากมายังจิงตู

“ถ้าหากเป็นเพียงแค่สหาย เหตุใดตระกูลถังถึงมอบสิ่งล้ำค่านี้ให้แก่เจ้า” เจ๋อซิ่วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปหยิบลูกโลหะธรรมดาออกมาจากตลับ สังเกตอย่างละเอียด มองไม่เห็นว่ามีตรงไหนมีความพิเศษ

“นี่คืออะไร?”

เจ๋อซิ่วเดินไปด้านหน้าเขา มองไปยังลูกโลหะลูกนี้ นัยน์ตาที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความรู้สึกผันแปร กลับมีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้น

ค่ายกลทุกเมืองของโลกมนุษย์ ล้วนแต่เป็นสิ่งประดิษฐ์มาจากตระกูลถัง ศาสตราวุธที่ดีที่สุดของกองทัพก็เป็นตระกูลถังที่ประดิษฐ์ขึ้น เกราะทั้งหมดของสามสิบแปดขุนพลเทพแห่งต้าลู่ก็เป็นตระกูลถังที่สร้างขึ้น แม้เป็นเส้นล้อมแม่น้ำแดงเมืองไป๋ตี้ เล่ากันว่าก็เป็นบรรพบุรุษของตระกูลถังที่สร้างขึ้น

นี่เป็นตระกูลที่สืบทอดกันมากว่าพันปีของเวิ่นสุ่ย ร่ำรวยจนแม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังต้องหวาดกลัว ไม่อาจลงมือได้

ของล้ำค่าของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย แน่นอนว่ามิใช่ของล้ำค่าธรรมดา

เจ๋อซิ่วกล่าวต่อ “ศาสตราวิเศษที่อยู่ในอันดับร้อยศาสตราเหล่านั้น อย่างน้อยมีสิบเจ็ดชนิดที่มาจากตระกูลถัง ขณะนี้ตระกูลถังก็ยังสามารถสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ธรรมดาบางอย่าง ถึงแม้เพราะว่าเป็นหินแร่ที่ล้ำค่าหายาก จึงไร้หนทางที่จะเข้าไปอยู่อันดับร้อยศาสตรา แต่ทางด้านการออกแบบก็ประณีตล้ำเลิศกว่ามาก ศาสตราวิเศษที่อยู่ในร้อยอันดับขณะนี้ส่วนมากล้วนถูกหลายสำนักซุกซ่อนไว้ ก็เหมือนกับหอกน้ำค้างเทพที่ถูกถวายให้กับพระราชวังต้าโจว สมัยนี้สิ่งที่ผู้แข็งแกร่งต้องการมากที่สุดแน่นอนว่าก็คือศาสตราวิเศษที่ผลิตมาจากตระกูลถัง ด้วยเหตุนี้เกรงว่าถึงแม้จะเป็นเจ้าเด็กวิปลาสเซียวจาง ก็ไม่อาจเอาผิดตระกูลถังได้”

เฉินฉางเซิงจู่ๆ ก็รู้สึกว่าลูกโลหะกลางฝ่ามือนี้เปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง

เจ๋อซิ่วจึงเอ่ยต่อ “ถ้าหากข้ามองไม่ผิด ลูกโลหะในมือเจ้าลูกนี้ก็คงจะเป็นร่มกระดาษทอง”

เฉินฉางเซิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจอีกครา “ร่มกระดาษทอง?”

เขาคลับคล้ายกับว่าเคยเห็นชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน

“มิผิด ปีนั้นอาจารย์ปู่เล็กท่านนั้นของพรรคกระบี่หลีซาน ได้สั่งทำอาวุธกับตระกูลถัง ตระกูลถังจึงแก้ไขการประดิษฐ์ดังเดิมของต้น ในที่สุดจึงใช้เวลาทั้งสิ้นสามสิบปีถึงจะสร้างสำเร็จ ศาสตราวิเศษนั้นก็คือลูกโลหะที่อยู่ในมือเจ้าขณะนี้ มีนามว่าร่มกระดาษทอง”

“เป็นอาจารย์ปู่ท่านนั้นที่พวกของโก่วหานสือมักจะกล่าวถึงบ่อยๆ อย่างนั้นหรือ? …ในเมื่อเป็นอาวุธที่สั่งทำของผู้แข็งแกร่งในตำนาน เพราะเหตุใดขณะนี้ยังคงอยู่กับตระกูลถังเล่า”

“เพราะว่าสุดท้ายแล้วอาจารย์ปู่เล็กท่านนั้นไม่ได้มาเอา”

“เพราะเหตุใดเล่า?”

“เพราะว่า…เขาจ่ายเงินไม่ไหว”

ในห้องเงียบเชียบ

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าลูกโลหะในมือได้เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งหลายเท่าตัว เสียงก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้น “ของสิ่งนี้…แพงอย่างยิ่ง?”

เจ๋อซิ่วเอ่ยต่อ “ผู้เฒ่าแห่งตระกูลถังเป็นคนตั้งชื่อร่มกระดาษทองด้วยตนเอง”

เฉินฉางเซิงเปล่งเสียงเอ๋ออกมา แสดงว่าไม่เข้าใจความหมาย

“กระดาษทองก็คือเงิน” เจ๋อซิ่วมองเขาพลางเอ่ยออกมา

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดจนเข้าใจ กระดาษทองกับตั๋วเงินที่ใช้กันในโลกปัจจุบันนี้ไม่เหมือนกัน

ถ้าหากนำกระดาษทองจำนวนมากมาเปลี่ยนเป็นเงินจริงๆ เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเงินเท่าไหร่?

บนโลกใบนี้นอกจากตระกูลถัง ยังมีคนที่จะมีเงินมากมายเช่นนี้ได้อีกหรือ?

อาจารย์ปู่เล็กของพรรคกระบี่หลีซาน ชัดเจนว่าเป็นอาวุธที่ตนออกแบบด้วยตนเอง สุดท้ายแล้วกลับต้องจำยอมสละทิ้งไป

ร่มกระดาษทองคันนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นคนยากจน

ขณะนี้กลับร่วงหล่นอยู่ในมือของเขา