DC บทที่ 225: ปราณหยางที่จัดหาได้ไม่สิ้นสุด

 

หลายชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่ศิษย์ทั้งเก้าจากตำหนักโอสถเข้าไปในห้องของซูหยางเพื่อท้าทายเขาบนเตียง

 

อย่างไรก็ตาม พวกเธอรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าพวกเธอกำลังปะทะอยู่กับสัตว์ประหลาดที่เหมือนจะมีร่างกายเป็นอมตะไม่มีวันหมดแรง ทำให้เขาสามารถร่วมรักกับพวกเธอทุกคนโดยไม่แม้จะมีเหงื่อสักเม็ด

 

“อาาาาาา” เจียปี้อวีส่งเสียงครางสุขสมบาดหูออกมาเมื่อซูหยางพลันปลดปล่อยปราณหยางเข้าไปในท้องของเธอ โอบล้อมร่างของเธอด้วยความเสพสมประดุจสรวงค์สวรรค์

 

หลังจากที่ปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไปในเจียปี้อวีแล้ว ซูหยางก็วางเธอหงายหน้าลงไปบนเตียงเพื่อให้ได้พัก

 

“ใครคนต่อไป” ซูหยางหันไปมองสาวสวยที่เหลืออีกแปดคนด้วยดวงตาหรี่เรียวซึ่งคล้ายกับนักล่าที่กำลังมองหาเหยื่อของเขา

 

เมื่อหญิงสาวคนอื่นๆมองเห็นแก่นกายของซูหยางยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าจะเพิ่งปลดปล่อยปราณหยางออกมา พวกเธอก็ตื่นกลัวหวาดหวั่น

 

อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เป็นส่วนที่น่าหวาดหวั่นที่สุด

 

“น-นี่เป็นครั้งที่สี่สิบสองที่เขาหลั่งปราณหยาง…” ซวนจิงหลินพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน

 

ปกติแล้วชายทั่วไปจะเหี่ยวแฟบลงหลังจากที่มีการหลั่งหนึ่งครั้ง และแม้จะเป็นผู้ชำนาญการที่เชี่ยวชาญภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไม่สามารถที่จะคงสภาพแข็งตัวได้หลังจากการปลดปล่อยสองสามครั้ง แต่ซูหยางกลับเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ สามารถที่จะปลดปล่อยปราณหยางได้ถึงสี่สิบสองครั้งและยังคงดูมีเรี่ยวแรงแข็งขันเหมือนกับตอนแรก

 

นั่นเหมือนกับว่าซูหยางมีปราณหยางที่จัดหามาได้ไม่สิ้นสุดไหลเวียนอยู่ภายในร่างของเขา จึงทำให้เขามีปราณหยางจำนวนมากเช่นนั้น ส่วนเหตุผลอื่นที่ทำไมซูหยางจึงสามารถยังคงแข็งตัวหลังจากที่ปลดปล่อย อาจจะเนื่องจากว่าร่างของเขามีความสามารถในการสร้างปราณหยางขึ้นมาทดแทนด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าการปลดปล่อย

 

ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ร่างของซูหยางก็ไม่ต่างไปจากสมบัติล้ำค่าสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะต้องสร้างความปั่นป่วนภายในนิกายถ้าหากว่าศิษย์หญิงได้รับรู้เรื่องนี้

 

ท้ายที่สุดนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คือสถานที่ที่ประชากรหญิงทั้งหมดฝึกฝนโดยใช้ปราณหยางมากที่สุด อีกนัยหนึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้ความสำคัญกับปราณหยางเหมือนกับที่ทั้งโลกให้คุณค่ากับหินวิญญาณในฐานะเป็นวัตถุดิบหลักในการฝึกฝนฝีมือ

 

ไม่มีข้อสงสัยเลยว่านี่เป็นเหตุที่ทำไมความสามารถขั้นท้าทายสวรรค์ของซูหยางในการผลิตปราณหยางจำนวนมหาศาลจะเป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนภายในนิกาย ในเมื่อเขาไม่ได้ต่างไปจากน้ำพุปาฏิหาริย์ที่ดูเหมือนว่าสามารถผลิตวัตถุดิบไม่รู้จบให้กับบรรดาศิษย์หญิงเพื่อใช้ฝึกฝน

 

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดถ้าหากมีคนผิดประเภทรู้ถึงความสามารถที่มหัศจรรย์ของซูหยาง พวกเธออาจจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นทาสปราณหยางของพวกเธอ ซึ่งมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวในชีวิตก็คือผลิตปราณหยางจนกว่าจะตายในที่คุมขัง

 

และเนื่องมาจากความอุดมสมบูรณ์ของปราณหยางของเขา โอกาสที่จะเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ในอนาคตย่อมสูงขึ้น

 

“ข-ข้าเป็นคนถัดไป” อวี้เยียนตรงเข้าไปหาซูหยางหลังจากที่นั่นเงียบลงไปเพราะว่าหญิงสาวคนอื่นล้วนหมดสิ้นเรี่ยวแรงและไวต่อการสัมผัสจนเกินไปในเวลานั้น ในเมื่อเธอไม่ได้คิดจะทำให้ซูหยางเป็นทาสปราณหยาง เธอจึงมีเจตนาใช้ประโยชน์ในโอกาสนี้ทำการร่วมฝึกคู่ให้ได้รับปราณหยางของเขาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

 

“คุณภาพของปราณหยางของเขานั้นช่างยอดเยี่ยมสูงส่งดีกว่าเม็ดยาหรือวัตถุดิบใดๆที่ข้าเคยใช้มาก่อนจะเทียบเคียงได้ นั่นคงเป็นเรื่องโง่เง่าสำหรับตัวข้าถ้าปล่อยโอกาสเช่นนี้เสียเปล่า” อวี้เยียนคิดในใจขณะที่เธอนั่งลงบนตักของซูหยางซึ่งอยู่ในท่านั่ง สอดแกนแกร่งลึกเข้าไปในรูร่องของเธอ

 

เหมือนกับทุกคนในที่นั้น เธอมุ่งมั่นที่จะร่วมฝึกคู่กับซูหยางจนกว่าเธอจะสลบไสลไปจากความอ่อนเพลียเพราะว่าปลดปล่อยออกมามากเกินไป

 

“โอออ ใช่… ใช่”

 

อวี้เยียนเริ่มขยับร่างของเธอขึ้นลง ทิ่มแทงตนเองด้วยแก่นกายของซูหยาง

 

อย่างไรก็ตามการกระทำของเธอไม่ได้ทนอยู่ได้นานนัก ในเมื่ออาการหมดเรี่ยวแรงของเธอเริ่มเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที

 

ครั้นเมื่อเธอช้าลง ซูหยางก็ยกก้นเธอไว้และทิ่มแทงเธอด้วยตนเอง

 

“อาาาาาาาา”

 

อวี้เยียนสามารถรู้สึกว่ากลีบสาวของเธอแผดเผาไปด้วยหลงไหล จนเธอต้องกรีดร้องออกมาด้วยความพึงพอใจ

 

หลังจากนั้น เมื่อซูหยางสังเกตเห็นว่าอวี้เยียนเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะเพราะความสุขสมที่ท่วมท้นจนเกินไป เขาก็หลั่งปราณหยางจำนวนมากเข้าไปในร่างเธอ เติมเต็มร่างเธอด้วยพลังงานซึ่งจะทำให้เธอยังคงตื่นอยู่ได้

 

“เทพยดา… เขาหลั่งอีกแล้ว…”

 

“และเขาก็ยังคงแข็งแกร่งดังปกติ…”

 

สุดท้ายในวันนี้บรรดาหญิงสาวจึงเริ่มเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ทรหด” โดยมีซูหยางเป็นตัวแทนของคำนั้น

 

“พวกเจ้ายังคงต้องการต่อหรือไม่” ซูหยางถามผู้ชมที่ตื่นตระหนกหลังจากย้ายอวี้เยียนไปยังด้านข้างด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะบนใบหน้า

บรรดาหญิงสาวมองดูใบหน้าหยิ่งผยองและแก่นอวบของเขาที่กำลังยั่วยุความกำหนัดของพวกเธอ แต่อนิจจาพวกเธอล้วนได้แต่ก้มหน้าและยอมรับความพ่ายแพ้

 

“ท่านเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ศิษย์พี่ชายซู มิเพียงแต่เคล็ดวิชาของท่านไร้เทียมทานแต่กระทั่งความอึดของท่านด้วย พวกเรายอมแพ้” ซวนจิงหลินกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม

 

“ใช่แล้ว…ท่านได้สอนข้าบทเรียนทรงค่าในวันนี้…ว่าคนแบบท่านยังมีอยู่บนโลกที่ล้าหลังนี้…” จางเหวินจีกล่าวพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเมื่อมองไปยังตัวตนที่ประดุจความสมบูรณ์แบบของเขา

 

“ศิษย์พี่ชาย ทำไมท่านจึงยังแข็งแกร่งกระทั่งตอนนี้ ข้าจนถ้อยคำแล้ว…” อวี้เยียนถอนหายใจ ร่างกายของเธอรู้สึกเจ็บแสบมากมาย

 

“ข้ายินดีที่จะร่วมฝึกคู่กับท่านจนกว่าท่านจะเหนื่อย ช่างโชคร้ายนักร่างกายข้ามิอาจที่จะรองรับไหว ตอนนี้ข้ายากที่จะขยับตัว…” เจียปี้อวีหัวเราะเสียงนุ่มนวล

 

หลังจากที่พูดความในใจของพวกเธอให้กับซูหยางแล้ว บรรดาหญิงสาวต่างก็สบสายตากัน

 

สองสามวินาทีหลังจากนั้นหญิงสาวทั้งเก้าใช้แรงที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนเตียง

 

“ขอบคุณศิษย์พี่ชายซูสำหรับการชุมนุมฝึกร่วมกันในวันนี้” พวกเธอพูดกับเขาขณะที่อยู่ในท่านั่งคุกเข่า เสียงของพวกเธอจริงใจ ฟังเหมือนว่ามาจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

มันเป็นเรื่องแสนยากภายในนิกายที่จะมีศิษย์ในยอมเสียเวลากับศิษย์นอกเช่นพวกเธอเพราะว่าพวกเธอมีพลังการฝึกปรือที่ต่ำ ดังนั้นสำหรับการที่ซูหยางมาร่วมฝึกคู่กับพวกเธอและยังทำให้ร่างกายพวกเธอพึงพอใจมากถึงขนาดนี้ พวกเธอไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความนับถือต่อเขา

 

ว่าตามจริง พวกเธอเองยังสงสัยว่ากระทั่งศิษย์หลักจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับร่างกายของพวกเธอได้เท่ากับซูหยางหรือไม่

 

แม้ว่านั่นจะเป็นภาพที่ต่างออกไปจากปกติ ซูหยางยังคงสงบเรียบและพูดจากับพวกเธอด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้า “นับเป็นความยินดีที่สามารถได้ร่วมฝึกคู่กับพวกเจ้าเหล่าหญิงสาว”