ภาคที่ 4 บทที่ 22 เยี่ยนเสี่ยวซื่อสุดสยิว!

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

ในเสี้ยววินาที หลัวช่าน้อยพุ่งเข้าไปรับเยี่ยนเสี่ยวซื่อที่ตกลงมาด้วยความเร็ว

เยี่ยนเสี่ยวซื่อยังคงหลับสนิท ไม่รู้ตัวว่าตกลงมาจากที่สูง แต่ภาพเนื้อแหลกละเอียดที่ทุกคนจินตนาการไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น ทารกน้อยเผ่ามนุษย์ผู้นี้ถูกเงาดำร่างเล็กพุ่งเข้าไปโอบอุ้มไว้

หลัวช่าน้อยกอดเยี่ยนเสี่ยวซื่อกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีรับการกระแทก ตั้งแต่เริ่มเขาไม่ได้ป้องกันตนเองเลย ใช้เข่ากับแขนทั้งสองข้างเปิดช่องว่างให้เพียงพอ ไม่บีบรัดเยี่ยนเสี่ยวซื่อและไม่ล้มทับนางให้เจ็บปวดแม้แต่น้อย

ความสามารถในการฟื้นฟูตนเองของหลัวช่าโลหิตเป็นที่น่าทึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลัวช่าโลหิตจะไม่บาดเจ็บ พวกเขาก็เจ็บได้เลือดออกได้เช่นกัน บาดแผลภายในที่ถูกโจวจิ่นทำร้ายเพราะความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ดีขึ้นแล้ว ทว่าอาการบาดเจ็บในยามนี้สาหัสยิ่งกว่า

แผ่นหลัง ข้อศอก หัวเข่า และร่างกายส่วนใหญ่ของหลัวช่าน้อยครูดไปกับพื้นเป็นรอยเลือด แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อในอ้อมแขนยังถูกปกป้องไว้อย่างดี

เมื่อเห็นว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่ได้รับอันตราย ดวงตาของเขาก็ไร้ความเจ็บปวด

ทหารเผ่ามารเข้ามาล้อมทั้งสอง

“น้องสาว! น้องเสี่ยวเจา!” เสี่ยวเป่าตะโกนเรียก

โจวจิ่นใช้พลังเวทควบคุมนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ พาไข่น้อยทั้งสามบินออกจากวังมาร ส่วนเขาก็กระโดดลงมาบังด้านหน้าของหลัวช่าน้อย

“ดี ดี ดี”

น้ำเสียงคล้ายหัวเราะแต่ไม่หัวเราะดังขึ้นตามมาติดๆ เหล่าทหารเผ่ามารยืนเรียงแถวอย่างรู้หน้าที่ ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารก้าวขึ้นมาอย่างองอาจ ก้มลงมองหนุ่มน้อยกับเด็กตรงหน้า “ข้าก็คิดว่าผู้ใดมาทำตัวไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ในวังมาร? ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้า เช่นนี้นับว่าตามหาจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาหรือไม่? ก็ดี ข้าไม่ต้องตามหาให้ทั่วทุกที่ ทหาร จับพวกมันไว้!”

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารออกคำสั่ง เหล่าทหารเผ่ามารปิดล้อมและพุ่งเข้าหาโจวจิ่นกับหลัวช่าน้อย แน่นอน พวกเขาเข้าใจดีว่าต้องจับเป็นเด็กทั้งสอง ส่วนทารกน้อยในห่อผ้า ผู้พิทักษ์ใหญ่มิได้เอ่ยสิ่งใด เช่นนั้นหากตายไปก็ไม่มีปัญหา

เพียงแต่ทารกอยู่ในอ้อมแขนหลัวช่าน้อย พวกเขาเกรงจะพลั้งมือทำร้าย จึงไม่อาจฆ่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อได้ทันที

ในการต่อสู้ พวกเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่าโจวจิ่นกับหลัวช่าน้อยไม่จำเป็น

โจวจิ่นร่ายพลังเวทต่อ เมื่อครู่เขาเพิ่งควบคุมสัตว์สายเลือดพญาหงส์ ใช้พลังมากเกินไป หลัวช่าน้อยมอบเยี่ยนเสี่ยวซื่อให้เขาอย่างหาได้ยาก อาจหมายความว่าให้เขาฟื้นฟูพลังที่นี่ มันจะจบศึกนี้เอง

โจวจิ่นกอดเยี่ยนเสี่ยวซื่อนั่งขัดสมาธิ ใช้พลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ฟื้นชี่ดั้งเดิมที่เสียหาย

หลัวช่าน้อยพุ่งไปราวกับกระบอกปืนเล็ก ชนทหารเผ่ามารที่ปิดล้อมกระเด็นกระดอน ไม่มีผู้ใดใครเข้าใกล้พวกเขาได้อีก

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารหรี่ตา ยามแรกที่เขาจับเจ้าสิ่งชั่วร้ายตนนี้มา มิได้เก่งกาจสามารถเช่นนี้ ไม่พบเพียงไม่กี่ชั่วยาม กลับดูเหมือนมีไอสังหารเพิ่มขึ้นหลายส่วนทีเดียว

แน่นอน ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารไม่คิดว่าสิ่งชั่วร้ายตนนี้จะใช้ยาเพิ่มพลังแต่อย่างใด มีเพียงคำอธิบายเดียว นั่นคือมันถูกกระตุ้นจนเกิดเป็นพลังเหนือจินตนาการ

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารจ้องมองทารกน้อยในอ้อมแขนของโจวจิ่น หรือเป็นเพราะเด็กน้อยผู้นี้?

ช่างน่าขัน สิ่งชั่วร้ายที่ไร้ความเป็นมนุษย์ กลับสนใจเด็กมนุษย์ผู้หนึ่ง?

พลังทำลายล้างทรงพลังถึงระดับนี้เป็นนักสู้ที่เผ่าปีศาจของพวกเขาต้องการ แต่น่าเสียดายที่ตันภายในของมันถูกกำหนดให้ใช้เพื่อประมุขมาร

หลัวช่าน้อยจัดการอันตรายทั้งหมดที่อาจเข้าใกล้เยี่ยนเสี่ยวซื่ออย่างไม่คิดชีวิต ดวงตาของมันกลายเป็นสีแดง กระทั่งจิตใจก็แทบถูกสัญชาตญาณกลืนกิน

“ฆ่าต่อไปไม่ได้แล้ว! เสี่ยวเจา กลับมานี่!” โจวจิ่นเอ่ยเสียงดัง

หากยังฆ่าต่อไป เขาจะสูญเสียสติการรับรู้ หลงเหลือเพียงสัญชาตญาณของสิ่งชั่วร้าย

ขณะที่หลัวช่าน้อยกำลังจะลงมือสังหารอีกครั้ง โจวจิ่นก็เหาะขึ้นไปดึงเขากลับมา หลัวช่าน้อยหันมองโจวจิ่นด้วยแววตาดุร้าย

“เอ้า นี่” โจวจิ่นส่งเยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้าไปในอ้อมแขนของเขา

วินาทีนั้นอสูรน้อยตาแดงคล้ายกับถูกดึงสติกลับมา หลัวช่าน้อยมองเยี่ยนเสี่ยวซื่อในอ้อมแขนตนเนือยนิ่ง ร่องรอยความอ่อนโยนปรากฏบนหว่างคิ้วของเขา

ยามนี้ถึงคราวที่โจวจิ่นจะปกป้องพวกเขาแล้ว

โจวจิ่นกระตุ้นพลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ในร่างกาย ครั้งหนึ่งเขาเคยปฏิเสธพลังนี้หัวชนฝา ทว่าในยามนี้กลับเป็นวิธีที่เฉียบคมที่สุดของเขาแล้ว มือสองข้างประกบกันร่ายพลัง ทันใดนั้นก็ปลดปล่อยพลังปราณราวดาบแสงมากมายนับไม่ถ้วน ทหารเผ่ามารทั้งหมดล้มตายภายใต้คมดาบแสงเหล่านี้ กลายเป็นควันขี้เถ้าสลายหายวับไป

“นี่หรือพลังที่แท้จริงของประมุขศักดิ์สิทธิ์?” ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารหรี่ตา

พลังการต่อสู้ที่โจวจิ่นแสดงออกมาไม่ควรมองข้ามเช่นกัน จู่ๆ ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารก็รู้สึกอารมณ์ค้างเล็กน้อย “กี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้? อยากไปที่ที่ไร้ผู้คนประลองกันสักครายิ่งนัก น่าเสียดาย นายข้าจะกลับมา ไม่อาจเสียเวลากับเจ้าได้ตลอด”

ผู้พิทักษ์ใหญ่สามารถสัมผัสได้ถึงการเรียกร้องของเมล็ดมารต่อชนเผ่า ประมุขมารใกล้ตื่นขึ้นแล้ว ศึกที่นี่ก็ควรจะรีบจบลงได้แล้ว

“มันจบแล้ว เจ้าหนุ่มน้อย”

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารเยาะเย้ย กางแขนทั้งสองข้างออก หมอกดำขมุกขมัวเคลื่อนตัวราวกับก้อนเมฆปกคลุมพวกโจวจิ่น

เขาเป็นยอดฝีมือขั้นไท่ซวีที่เคยติดตามประมุขมารไปยกทัพจับศึกมาทั่วทุกสารทิศ นกน้อยหัดบินอย่างทั้งสองจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร? รอพวกเขาโตขึ้นอาจยังพอคุยกันได้ ทว่าไม่ใช่ยามนี้แน่!

หลัวช่าน้อยกับโจวจิ่นพยายามต่อต้านอยู่นาน ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานได้ ดวงตาทั้งสองดำมืดสลบไป

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารเก็บคืนพลัง ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความไม่คาดคิด “อดทนได้นานถึงเพียงนี้ น่าประหลาดใจนัก”

เขาเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งขั้นไท่ซวี สามารถบดขยี้ยอดฝีมือในระดับเดียวกันได้เกือบทุกคน ทว่าเด็กสองคนนี้กลับทำให้เขารู้สึกไม่ง่ายดายนัก แน่นอนว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ยกไปที่แท่นบูชามาร!” เขาสั่ง

“ขอรับ!”

ทหารเผ่ามารเข้ามาแบกโจวจิ่นและหลัวช่าน้อยที่หมดสติขึ้นหลัง

จู่ๆ ทหารเผ่ามารคนหนึ่งก็ถามขึ้นว่า “ผู้พิทักษ์ใหญ่ จะทำเช่นไรกับทารกนี่ดีขอรับ?”

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารกล่าวว่า “พาไปที่ห้องข้า ข้าอยากดูว่ามันมีสิ่งใดพิเศษ ถึงทำให้สิ่งชั่วร้ายนั่นปกป้องถึงเพียงนี้”

สำหรับเขา เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งชั่วร้ายตัวน้อยจะมีความเป็นมนุษย์กับผู้ใด มีเพียงคำอธิบายเดียวคือ ทารกผู้นี้มีบางอย่างที่สิ่งชั่วร้ายนั่นต้องการ เช่นเดียวกับสัตว์ประหลาดบางตัวที่จะปกป้องหญ้าวิญญาณที่มีฤทธิ์รุนแรง

“ขอรับ” ทหารเผ่ามารคนเดิมเอื้อมมือออกไปอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อ “ผู้พิทักษ์ใหญ่”

“มีอะไรอีก?” ผู้พิทักษ์ใหญ่ถามอย่างไม่อดทน

“ยกไม่ขึ้นขอรับ” ทหารเผ่ามารกล่าว

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารขมวดคิ้ว “แม้แต่ทารก เจ้าก็อุ้มไม่ไหว?”

ล้อข้าเล่นรึ!

เมื่อทหารอีกคนเห็นเช่นนี้จึงรีบเดินไปข้างหน้า ก้มลงอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นจากพื้น แต่กลับพบว่ายกไม่ขึ้นจริงๆ!

เอ๊ะ?

มิใช่เพียงทารกเผ่ามนุษย์คนหนึ่งหรอกหรือ? เหตุใดหนักเช่นนี้

ทั้งสองตัดสินใจร่วมมือกัน แต่ไม่ว่าจะออกแรงอย่างไร ก็ไม่สามารถอุ้มทารกขึ้นมาได้เลย

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ จ้องมองเยี่ยนเสี่ยวซื่ออย่างลึกซึ้ง และเอ่ยเสียงขรึม “หลีกไป!”

ทั้งสองหลีกทางให้

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารพยายามยกเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นด้วยพละกำลังของตนเอง แต่กลับพบว่าไม่ขยับแม้แต่น้อย

แปลกยิ่งนัก

พละกำลังของเขา อย่างน้อยก็ยกได้พันจิน เหตุใดทารกคนเดียวก็ยังอุ้มไม่ได้?

เขาค่อยๆ เดินเข้าไป กำลังลังเลว่าจะก้มลงไปอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อดีหรือไม่ เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา

นางยกมืออวบอ้วนขึ้นขยี้ตาที่ปิดปรือ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง มองสถานที่รอบตัวที่ไม่คุ้นตาอย่างตกตะลึง ใบหน้าน้อยดูสับสน

ข้าเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ใด? ข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่?

ทันใดนั้นนางก็เห็นบุรุษกำยำร่างใหญ่คนหนึ่ง

สิ่งที่ต้องเอ่ยถึงคือ เพื่อนเล่นที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อรักที่สุดมีสองคน คนหนึ่งคือเซียวเจิ้นถิง อีกคนคือซิวหลัวฟันน้ำนม เพราะทั้งสองโยนนางขึ้นไปบนฟ้าได้ และมีลักษณะที่เหมือนกัน นั่นคือสูงใหญ่ สูงใหญ่ผิดปกติ!

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารเองก็สูงใหญ่มากเช่นกัน!

ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าผู้พิทักษ์ใหญ่ได้อย่างไร?

เยี่ยนเสี่ยวซื่อคลานเตาะแตะเข้ามา ขาของผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารถูกโอบรอบไว้ในทันที

โยนๆ อุ้มโยนขึ้นสูงๆ!

ตามสัญชาตญาณของผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารอยากผลักไสทารกมนุษย์ผู้นี้ออกไป แต่กลับพบว่าเหมือนเขาไม่อาจขยับขาได้

เขาผงะ และลองก้าวอีกครั้ง

ไม่ใช่เขารู้สึกไปเอง เขาขยับขาไม่ได้จริงๆ!

เป็นไปได้อย่างไร???

“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไร้เดียงสา

หนูยังสวยไม่พอ? หรือว่ายังน่ารักไม่พอ?

เหตุใดไม่โยนหนู?

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารมองดูเด็กน้อยบนขาของตน และนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขากับทหารต่างก็อุ้มนางไม่ไหว จู่ๆ เขาก็คาดเดาอย่างกล้าหาญ คงไม่ใช่ว่า…เป็นฝีมือเด็กผู้นี้กระมัง?

นี่มันตาชั่งเหล็กนิลหรืออย่างไร?

หนักมากมายเช่นนี้?!

ไม่สิ เมื่อครู่เขาก็เห็นเด็กหนุ่มกับสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยอุ้มนาง แถมยังอุ้มได้สบายๆ

หรือว่าน้ำหนักของนาง มีเพียงคนเผ่ามารเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้?

นี่มันเด็กบ้าอะไรกัน?!

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารรู้สึกว่าพลังของเขากำลังจะหายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเขาอยากจะใช้กำลังสลัดทารกมนุษย์ผู้นี้ออกไปก็ยังไม่อาจทำได้

สิ่งนี้ทำให้ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารตกใจ เขาก็รีบเอ่ยว่า “เอาๆๆ…เอานางออกไปจากข้า!”

ทหารเผ่ามารรีบเข้าไปดึง ทว่ากำลังของพวกเขาก็ดูไม่มีผลใดๆ กับเด็กคนนี้เลย ต่อมา ทหารที่ชาญฉลาดคนหนึ่งก็คิดวิธีได้ เขาหาเชือกเส้นหนึ่งมาผูกกับตัวของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ

เอ๊ะ? ดึงได้แล้ว

“หรือว่า…เราแตะต้องเด็กผู้นี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพลังจะหายไป?” ทหารเผ่ามารคนหนึ่งพึมพำเบาๆ

ทุกคนไม่กล้าฟันธงว่าจะใช่หรือไม่ หากเป็นจริง พวกเขาต้องแย่แน่ เด็กผู้นี้มาปราบพวกเขาชัดๆ!

เยี่ยนเสี่ยวซื่อถูกเชือกดึงออกไป นางมองดูตนเอง จากนั้นก็มองผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารที่ค่อยๆ ไกลออกไป นางยื่นมือน้อยๆ ออกมา “อูว้า อูว้า~”

หนังศีรษะของผู้พิทักษ์ใหญ่ร้อนรน!

ทะเลาะกับคนไม่น่ากลัว แต่การต่อสู้ที่แม้แต่สู้ก็ไม่อาจสู้สิน่ากลัว!

เขาหันหลังจะเดินจากไป!

ไหนเลยเพียงก้าวแรก ก็ได้ยินเสียงร้องอันไพเราะของทารก “อูว้า~”

เขาก้มลงมองก็ต้องอ้าปากหายใจเฮือก

เด็กคนนี้…เหตุใดมาอยู่บนตักของเขาอีก?!

พละกำลังของเขา แท้จริงแล้วแข็งแกร่งกว่าทหารเผ่ามารมาก จู่ๆ เขาก็นึกถึงอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งขึ้นได้ เขาหยิบถุงมือสีดำแวววาวคู่หนึ่งออกจากถุงเฉียนคุนแล้วสวมมัน

หลังจากสวมแล้ว เขาก็สามารถอุ้มเจ้าตัวเล็กนี่ได้จริงๆ

เขาโยนเยี่ยนเสี่ยวซื่อออกไปให้ไกล

“อูว้า อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อร้องด้วยความตื่นเต้น

หลังจากขว้างไปแล้ว ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารก็หันกลับวิ่งหนีไป!

ทว่าและแล้ว–

“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็มาอยู่บนขาของเขาอีกครั้ง!

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามาร “……!!!”

นี่ นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?!

ทหารเผ่ามารกัดฟัน หยิบเยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับไปที่เรือนของตน และโยนลงในหม้อพร้อมทั้งปิดฝา!

เขาหันกลับมา

“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเกาะอยู่บนหลังเขา

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารตื่นตระหนกตกใจ!

เขาใส่เยี่ยนเสี่ยวซื่อลงในกล่องและตอกตะปูปิด!

ครานี้คงหนีออกมาไม่ได้แล้วกระมัง!

“อูว้า~”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อเกาะอยู่บนเอวของเขา

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารแทบคลุ้มคลั่ง เขาให้คนนำโซ่เหล็กนิลมามัดเยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้ากับเสาที่ทำจากเหล็กนิลเช่นกัน

“ดูซิว่าเจ้าจะหนีอย่างไร!”

“อูว้า~” เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองเขาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

ผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารก้าวหนึ่งครั้งหยุดหนึ่งครั้งออกจากห้อง สามก้าวหันกลับมา เยี่ยนเสี่ยวซื่อยังอยู่ที่เดิม ห้าก้าวหันกลับมา เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ยังอยู่ที่เดิม

หึ!

เขาก้าวข้ามธรณีประตูและหันกลับมามองที่เสา เยี่ยนเสี่ยวซื่อยังอยู่ที่เดิม น้อยใจจนปากเล็กงองุ้มลง

เขาทอดถอนใจด้วยความโล่งอก

นับว่ายับยั้งเจ้าตัวเล็กนี่ได้แล้ว

เขาปิดประตูห้อง เพิ่งก้าวไปก้าวเดียวไม่วางใจ ผลักประตูเปิดไปอีกครั้ง เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ยังอยู่ ในที่สุดเขาก็สบายใจได้เสียที

ในเวลานี้เขาถึงพบว่าตนเปียกโชกไปทั้งตัว นึกถึงคราวไปรบทัพจับศึกกับประมุขมาร เขายังไม่เคยคับขันเช่นนี้ เด็กผู้นี้ต้องแปลกประหลาดเป็นแน่ ปล่อยให้นางหิวสามวันสามคืน หิวจนไม่มีแรงค่อยเรียนรู้ศึกษานาง!

เมื่อเอ่ยถึงความหิว จู่ๆ ท้องของผู้พิทักษ์ใหญ่แห่งเผ่ามารก็ร้องออกมาสองครั้ง

ระดับของเขาถึงปี้กู่[1]แล้ว ไม่จำเป็นต้องทานมาก แต่หลังจากสู้รบปรบมือกับเด็กนั่น ท้องก็หิวมาก เห็นได้ว่าเปลืองพลังงานไปมากทีเดียว

เขาสั่งให้ห้องครัวทำลูกแพะย่างจานโปรดของเขา

ผ่านไปไม่นาน อาหารก็ถูกนำขึ้นโต๊ะ

เขาเป็นผู้พิทักษ์ที่รักความสะอาด เขาล้างมือ กล่าวคำอธิษฐานเช่นเดียวกับประมุขมาร นั่งตัวตรงหน้าโต๊ะ เปิดฝาสีทองใบใหญ่ที่ครอบจานออกด้วยสีหน้าเคารพ

แต่แล้ว เขาเห็นอะไร?!

เยี่ยนเสี่ยวซื่อผู้น่ารัก มือข้างหนึ่งรองศีรษะนอนตะแคงอยู่บนจานกระเบื้องสีขาว ขาสองข้างไขว้กัน ท่าทางยั่วยวน ใบหน้าสุดสยิว~

…………………………………………


[1] ​​ปี้กู่ คือการไม่ทานธัญพืชห้าชนิด อันได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว เป็นวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรคเต๋า