บทที่ 23 Ink Stone_Romance
เพราะเป็นร้านอัญมณีที่นิยมของเหล่าชนชั้นสูง ภายในร้านจึงตกแต่งอย่างหรูหราและเต็มไปด้วยเพชรพลอยล้ำค่าเปล่งประกายระยิบระยับที่ไม่สามารถพบเห็นได้ง่ายๆ
กระจกตู้โชว์สินค้าสะอาดใสไม่มีแม้แต่ไรฝุ่น มันโปร่งใสมาก ถึงขนาดที่ว่าหากไม่สังเกตให้ดีแล้ว ก็จะคิดว่าไม่มีอะไรกั้นอยู่เลย เบื้องหลังกระจกใสมีเพชรพลอยนานาชนิดกำลังแข่งกันส่องประกายระยิบระยับ
“เชิญครับผม”
พนักงานสองคนแต่งกายด้วยชุดสูทสุภาพเรียบร้อย พวกเขาทักทายอาเรียอย่างสุภาพทันทีที่เธอเปิดประตูเข้ามา ด้วยการโค้งตัวทักทายเธออย่างมีมารยาทไร้ที่ติ
พวกเขาไม่เงยหน้าขึ้นจนกว่าอาเรียจะสั่ง คงเพราะต้องเจอกับชนชั้นสูงเป็นส่วนใหญ่ การกระทำของพวกเขาจึงสมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่อง
“ฉันอยากดูเข็มกลัดน่ะค่ะ”
“ได้เลยครับผม”
ในทันทีที่พนักงานนำทางอาเรียไปยังห้องส่วนตัวที่ถูกเตรียมไว้บนชั้นสอง ของว่างง่ายๆ อย่างช็อกโกแลตและคุกกี้ก็ถูกเสิร์ฟพร้อมกับชาอุ่นๆ
เขาโค้งตัวตอบรับความต้องการของอาเรียที่กำลังลิ้มรสน้ำชาอยู่บนโซฟาถัดไปหนึ่งก้าว
“ฉันอยากได้เข็มกลัดที่เหมาะกับผู้ชายอายุประมาณสิบปลายๆ ช่วยเลือกอันที่มีดีไซน์หรูหราและชิ้นที่ดูเรียบง่ายทั้งหมดมาให้ดูหน่อยนะคะ”
ทั้งที่อาเรียยังเด็กและแต่งตัวอย่างเรียบง่าย แต่พนักงานก็ยังคงรักษามารยาทและปฏิบัติต่อเธออย่างสุภาพ
หากจะบอกว่าเธอเป็นลูกค้าเลยได้รับการปรนนิบัติแบบนั้นก็คงจะไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะแม้เธอจะไม่ได้ประดับประดาร่างกายก็ตาม เขาก็สามารถรู้ถึงสถานะของเธอได้จากคนใช้ที่ติดตามเธอนั่นเอง
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้สามารถรู้ได้จากเครื่องประดับที่มีสัญลักษณ์ของตราประจำตระกูล แต่ในตอนนี้ทั้งอาเรียและคนใช้ของเธอไม่มีเครื่องหมายตราประจำตระกูลแสดงอยู่เลย
แม้จะมีที่ติดผมรูปดอกกุหลาบสีทองสะดุดตาติดผมอยู่ แต่ตระกูลเฟรดเดอริกไม่มีบุตรสาวอายุสิบปีต้นๆ ดูแล้วคงติดกิ๊บติดผมเพราะความสวยงามมากกว่า
ปกติแล้วชนชั้นสูงมักจะโอ้อวดฐานะของตนด้วยการแต่งกายหรูหราทั่วทั้งร่าง แม้จะมีอัญมณีราคาแพงที่ตนไม่สามารถจ่ายได้อยู่ตรงหน้า ก็จะทำเป็นไม่สะทกสะท้านหรือแสดงอาการอะไรออกมา แต่คนใช้นั้นต่างออกไป หากเห็นว่าเจ้านายของตนไม่สามารถจ่ายราคาแพงได้ก็จะแสดงอาการออกมาให้เห็น
เวลาชนชั้นสูงเดินทางไปที่ไหนก็จะมีคนใช้ติดตามไปด้วย โดยส่วนใหญ่มักจะไม่เก็บเงินไว้ที่ตนเองแต่จะให้คนใช้ทำหน้าที่ถือเงินแทน ดังนั้นคนรับใช้ที่ติดตามตลอดการเดินทาง จึงรู้ดีว่าเจ้านายของตนมีกำลังทางทรัพย์อยู่มากน้อยเพียงใดนั่นเอง
อาเรียขอดูเข็มกลัดทั้งหมดโดยที่ไม่ได้กำหนดราคาไว้ เจสซี่ที่ได้ยินอาเรียพูดเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด เพียงแค่ก้มหน้าลงเล็กน้อยอยู่ข้างหลังอาเรียเหมือนเป็นเรื่องปกติ
แม้จะไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน แต่ดูยังไงก็ไม่ใช่บุคคลชั้นสูงทั่วๆ ไปแน่นอน ไม่ว่าราคาของเข็มกลัดจะแพงสักแค่ไหน ขอเพียงถูกใจแล้วละก็ เธอจะต้องซื้อมันไปแน่
พนักงานค่อยๆ หยิบเอาเข็มกลัดราคาแพงและหาได้ยากที่อยู่ในตู้โชว์ออกมาวางเรียงบนถาดที่รองด้วยผ้าไหมอย่างไม่เร่งรีบ แล้วเดินไปที่ห้องรับรองที่มีอาเรียคอยอยู่
“กระผมเลือกแต่อันที่หาได้ยากและมีราคาแพงที่สุดในร้านมาให้ชมครับ”
อาเรียปราดตามองเข็มกลัดทั้งหลายที่ถูกยื่นอยู่ตรงหน้า อย่างที่พนักงานพูด มีแต่เข็มกลัดที่ทำด้วยอัญมณีหายากวางเรียงรายอยู่
ที่ผ่านมาอาเรียได้เห็นเครื่องประดับและอัญมณีอันหรูหราผ่านตามามากมายจากแวดวงสังคม จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอในการพิจารณาว่าของชิ้นไหนมีค่ามากน้อยเพียงใด
เนื่องจากพนักงานสวมชุดสูทสีดำพอดี เธอจึงหยิบเข็มกลัดแต่ละชิ้นขึ้นมาแตะที่ชุดของเขาเพื่อเทียบดูความเข้ากัน ไม่ว่าจะเข็มกลัดชิ้นไหนก็ดูเข้ากันไปหมด แต่สุดท้ายหลังจากเทียบดูหลายๆ ชิ้นแล้ว เธอก็เลือกเข็มกลัดบลูไดมอนด์ที่มีเพชรสีน้ำเงินเม็ดใหญ่ประดับอยู่ตรงกลาง
แม้ตัวเข็มกลัดจะไม่ได้ออกแบบมาอย่างหรูหรา แต่ขนาดและความแวววาวของตัวเพชรที่โดดเด่นสะดุดตานั้น มองยังไงก็รู้ว่าเป็นของมีค่าชั้นสูง อาเรียคิดกับตัวเองว่าหากเธอให้เข็มกลัดนี้กับออสการ์ เขาจะชอบมันหรือไม่ หากเขารู้สึกเกรงใจที่จะรับมันไว้ก็คงจะดี
เพราะเพชรบลูไดมอนด์เป็นของมีค่าที่หาได้ยากมาก ราคาของมันพอๆ กับชุดเดรสและเครื่องประดับทั้งหมดที่เขาส่งมาให้เธอ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรอัญมณีชิ้นนี้ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุด
“ช่วยห่อให้ด้วยนะคะ อะ แล้วก็ ฉันอยากสั่งทำเข็มกลัดเล็กๆ สักสามสี่ชิ้นด้วยค่ะ”
“อยากได้ขนาดประมาณไหนดีครับผม”
“อืม…ขนาดประมาณเล็บหัวแม่มือแล้วกัน”
ประจวบกับที่โต๊ะมีเครื่องเขียนวางอยู่พอดี อาเรียจึงอธิบายลักษณะของเข็มกลัดที่เธอคิดด้วยการวาดรูป เธอวาดรูปเข็มกลัดสีทองขนาดประมาณเล็บหัวแม่มือ สลักตราประจำตระกูลโรสเซนต์โดยมีจุดเด่นเป็นพลอยทับทิมเล็กๆ ตรงกลีบดอกไม้
ในตอนนั้นพนักงานจึงตระหนักได้ว่าเธอคือคนจากตระกูลโรสเซนต์ เขากลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอ เนื่องจากเขาจำใบหน้าของมิเอลได้ จึงรู้ว่าสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือลูกสาวของหญิงโสเภณีตามข่าวลือนั่นเอง
เขาไม่รู้เกี่ยวกับรูปโฉมภายนอกของเธอเลย ได้ยินข่าวลือว่าเธอเหมือนดั่งปีศาจร้ายเท่านั้น แต่พอได้เห็นตัวจริงของเธอแล้ว เขาก็คิดต่างออกไป ปีศาจร้ายอะไรกัน เธอดูเหมือนหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่ดึงดูดสายตาผู้พบเห็นเสียมากกว่า
นอกจากนั้น ยังต่างไปจากข่าวลือที่บอกว่าเธอชอบก่อเรื่องวุ่นวายอีกด้วย หากเทียบกับเลดี้ชนชั้นสูงทั่วไปแล้ว เธอดูสง่างามไม่มีข้อบกพร่องเสียด้วยซ้ำ
แถมยังสายตาเฉียบแหลมต่างจากชนชั้นสูงคนอื่นๆ ที่มักจะจ้องจับผิดแสร้งอวดรู้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นพนักงานก็ยิ่งรักษาท่าทีให้สุภาพแล้วปฏิบัติต่ออาเรียอย่างมีมารยาท
“เลดี้จะสั่งทำกี่ชิ้นดีขอรับ”
“สักห้าชิ้นก่อนแล้วกันค่ะ”
“ทางเราจำเป็นต้องขอเวลาในการทำประมาณหนึ่งวันนะขอรับ”
“เร็วจัง ถ้าอย่างนั้นช่วยเอามาส่งในวันพรุ่งนี้พร้อมกับของที่ซื้อวันนี้แล้วกันนะคะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
เนื่องจากร้านอัญมณีมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับช่างฝีมืออันประณีต จึงสามารถตอบรับคำสั่งของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
ครู่หนึ่งหลังจากการสั่งซื้อและการชำระเงินเสร็จสิ้น ใบสั่งซื้อที่สรุปยอดจำนวนมหาศาลก็มาอยู่ในมือของเจสซี่
“กระผมจะแนบกระดาษเขียนจดหมายไปด้วยเลยนะขอรับ”
“ฉันกำลังจะขอร้องแบบนั้นอยู่พอดีเลย ขอบคุณนะคะ”
“ของที่สั่งทั้งหมด จะถูกนำไปส่งที่คฤหาสน์ในช่วงสายของวันพรุ่งนี้นะขอรับ และสิ่งนี้เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางเราอยากมอบให้แก่เลดี้อาเรีย โรสเซนต์ครับผม”
พนักงานหยิบเอากล่องเครื่องประดับออกมาจากอ้อมแขน พอเปิดดูแล้วก็มีสร้อยคอพลอยแซปไฟร์สีน้ำเงินอยู่ข้างใน พิจารณาจากขนาดของมันแล้ว ดูจะมีราคาไม่น้อยเลยทีเดียว อาเรียรู้ถึงเจตนาของเขาได้ในทันที
เธอตอบรับเจตนาแอบแฝงของเขา
“เจสซี่ช่วยสวมสร้อยคอให้เราหน่อยจะได้ไหม”
“ค่ะ เลดี้”
ทั้งที่สร้อยเส้นนั้นไม่น่าจะเหมาะกับเด็กหญิงอายุน้อยแบบเธอแท้ๆ แต่พอลองใส่ดูแล้ว มันกลับเข้ากับใบหน้าอันงดงามของอาเรียได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับได้เจอเจ้าของที่แท้จริง
เมื่อเห็นดังนั้น แววตาของชายผู้ให้สร้อยเส้นนั้นเป็นของขวัญก็เปล่งประกายขึ้นมา หากเป็นอาเรียแล้วนั้น ในวันข้างหน้าเมื่อเธอได้ก้าวเข้าสู่แวดวงสังคมแล้ว ไม่ว่าเธอจะสวมใส่อะไรก็จะต้องเป็นที่นิยมไม่ผิดแน่ การทำดีกับเธอไว้จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
“ไม่เลวนี่ ขอบใจนะ”
อาเรียยิ้มหวาน แม้เธอจะไม่ทำแบบนั้น ภายในร้านก็หรูหราเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ด้วยรอยยิ้มของเธอมันเปลี่ยนบรรยากาศในร้านให้ดูงดงามราวกับมีดอกไม้สวยๆ เพิ่มขึ้นมา
พนักงานไม่สามารถซ่อนอาการได้ เขาค้อมศีรษะพร้อมกับใบหูที่รื้อเป็นสีแดง
“ทางเราหวังที่จะได้ต้อนรับเลดี้อีกครั้งในวันข้างหน้าครับผม”
สร้อยคอถูกใส่กลับเข้าไปในกล่องเครื่องประดับอีกครั้ง จากนั้นเจสซี่ก็ส่งมันกลับไปให้เขาอีกที เป็นนัยว่าให้ส่งมันไปพร้อมกับของทุกอย่างในวันพรุ่งนี้
ในตอนนี้เธอจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ได้ ยังไงเสียเขาก็ไม่ได้หวังว่าเธอจะใส่มันอยู่แล้ว มันเป็นเพียงของขวัญเพื่อไมตรีจิตเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นเจ้าของที่นี่หรือเปล่าคะ”
“ใช่แล้วครับผม”
“ไว้จะแวะมาบ่อยๆ นะคะ”
“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ”
ชายที่เธอเข้าใจว่าเป็นพนักงาน แท้จริงกลับเป็นเจ้าของร้านอัญมณีเสียอย่างนั้น ถึงขนาดดูแลลูกค้าด้วยตัวเองนี้คงจะบริหารกิจการด้วยความรักและทุ่มเทเป็นอย่างมาก
คงเพราะเป็นร้านอัญมณีที่หรูหราและใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง จึงจำเป็นต้องบริการลูกค้าชนชั้นสูงที่มักจะแวะเวียนมาบ่อยๆ อย่างละเอียดรอบคอบ
ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดเลยทีเดียว การที่ได้รู้จักสนิทสนมกับร้านบูติกและร้านอัญมณีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี หากทางร้านมีของล้ำค่าหาได้ยาก เธอก็จะได้รับการติดต่อจากเจ้าของร้านก่อนผู้อื่น และไม่แน่ว่าอาจจะได้ข่าวสารถึงสิ่งที่เป็นที่นิยมอย่างเงียบๆ ด้วย
แม้เธอจะรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากอดีตที่ผ่านมาก็ตาม แต่ใช่ว่าเธอจะจำรายละเอียดที่แน่ชัดได้ทั้งหมด ดังนั้นจำเป็นต้องพึ่งแรงสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายต่ออาเรียสักเท่าไหร่ เพราะเธอเคยใช้ชีวิตในอนาคตมาแล้ว ด้วยชื่อที่ไม่ค่อยจะดีนัก
เธอใช้เวลาพักจิบน้ำชาระหว่างรออัศวินที่ไม่ได้เรื่องไปหารถม้าคันใหม่มาให้ แต่ทว่าทั้งๆ ที่เธอยืดเวลารอเขาด้วยการดื่มชาแล้ว อัศวินที่ไม่ได้เรื่องคนนั้นก็ยังไม่โผล่หน้ามาเสียที
หลังจากเปลี่ยนน้ำชาเย็นชืดไปถึงสองครั้ง อาเรียก็อดทนรอไม่ไหวอีกต่อไป เธอสั่งให้อัศวินอีกคนไปเสาะหาวี่แววของเขา
แม้อาเรียจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ แต่เจสซี่ก็พอเดาได้ว่าอาเรียกำลังอารมณ์เสีย เธอจึงบอกกับอาเรียว่าจะไปเอาอาหารว่างอันใหม่มาให้ แล้วรีบออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ
อาเรียหันไปทางหลังของเจสซี่ที่ว่องไวยิ่งกว่าตอนไหนและบอกว่า‘ไม่ต้องกลับมาจนกว่าทุกอย่างจะพร้อม’
‘อย่างน้อยเจสซี่ก็ยังพอมีไหวพริบแหละนะ’
แม้อาเรียไม่ได้คิดจะโมโหร้ายก็ตาม แต่เธอก็ไม่อยากเห็นเจสซี่กระวนกระวายท่าทางล่อกแล่กทำตัวไม่ถูก อีกทั้ง
เธอยังหงุดหงิดตัวเองที่อารมณ์เสียเพราะหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันด้วย เลยกลัวว่าจะพูดอะไรไม่ดีออกไป
ระหว่างที่รอเจสซี่อย่างไม่มีอะไรจะทำ อาเรียก็เดินไปเปิดผ้าม่านที่อยู่ตรงกลางห้องแล้วเปิดหน้าต่างออก
ความสูงของกระจกหน้าต่างเริ่มจากระดับหน้าอกของอาเรียยาวเหยียดไปจนถึงเพดานสูง กระจกหน้าต่างบานมหึมาขนาดที่ว่าหากทรงตัวพลาดแล้ว ได้ข้ามตกลงไปทั้งตัวเป็นแน่
อาเรียนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ตรงริมหน้าต่าง เธอระมัดระวังไม่ให้ร่างเพรียวบางของตัวเองตกลงไป และมองวิวทิวทัศน์ข้างนอก
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างอันแสนธรรมดา ต่างจากภายในร้านอัญมณีที่ตกแต่งอย่างหรูหราจนแสบตา ผู้คนแต่งตัวปอนๆ ท่าทางซอมซ่อกำลังเดินสวนกันขวักไขว่
หากไม่นับรถม้าหรูที่นานๆ ทีจะผ่านมานั้น ผู้คนที่เดินไปมาบนถนนส่วนใหญ่คือสามัญชนทั่วไป เพราะพวกชนชั้นสูงจะไม่ออกมาเดินเตร่บนท้องถนน
ชาวบ้านทั่วไปแต่งกายด้วยชุดเก่าๆ ผิวดำคล้ำกรำแดด ปะปนอยู่กับฝูงชนทั่วไปที่สวมใส่เสื้อผ้าขาดเป็นรูมีร่องรอยปะชุน ไหนจะยังพวกเด็กๆ ที่ถูกปล่อยปละละเลยตามยถากรรม
ตรงข้ามกับร้านอัญมณีมีกรมศุลกากรตั้งอยู่ ทิวทัศน์ที่มีชาวบ้านเหล่านั้นยืนขนาบข้างกรมศุลกากร มองดูแล้วก็เหมือนกับฝุ่นที่เกาะอยู่บนเพชร
‘เมื่อก่อนฉันก็เคยใส่เสื้อผ้าแบบนั้นนี่นา’
เพราะแม่ของเธอมัวแต่ยุ่งอยู่กับการแต่งตัวประทินโฉมตัวเองตลอดเวลา เธอเลยได้แต่ทนใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ขนาดไม่พอดีตัว
หากแม่ของเธอเอาใจใส่เธอสักนิด บางทีอาเรียอาจจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาขนาดนั้นก็เป็นได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่หวัง
อาเรียมองไปนอกหน้าต่าง เหม่อลอยถึงเศษเสี้ยวแห่งวันวานในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว
เธอนึกขอบคุณแม่ ที่พาเธอออกมาจากวงจรชีวิตที่จมปลักอยู่ในบ่อโคลนนั่น และเพื่อที่จะไม่ต้องกลับไปเป็นดั่งในอดีต เธอจะปกปิดความตั้งใจที่แท้จริงต่อมิเอลหญิงชั่วที่ผลักเธอลงเหวคนนั้นเอาไว้
ความตั้งใจที่จะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตนเอง และหยิบยื่นจุดจบอันน่าสังเวชให้มิเอล
‘ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะให้แกต้องโทษฐานกบฏเสียจริง การได้เห็นหน้าสวยๆ นั่นห้อยอยู่บนกำแพงเมืองก็ฟังดูไม่เลวนัก’
แน่นอนว่าอาเรียไม่คิดจะทำแบบนั้นจริง เพราะหากคนใดคนหนึ่งในตระกูลคิดก่อกบฏขึ้นมาแล้วละก็ สุดท้ายจะต้องโทษประหารทั้งตระกูลนั่นเอง แม้จะเป็นแค่เรื่องที่เธอจินตนาการ แต่มันก็ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมา
ในขณะที่อาเรียเพลิดเพลินไปกับสายลมเย็นสบายแห่งฤดูใบไม้ร่วงพลางคิดว่าจะกำจัดมิเอลด้วยวิธีใดอยู่นั้น ก็มีบางอย่างที่ต่างจากคนทั่วไปสะดุดสายตาเธอ
‘ผู้ชายร่างสูงแต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัว! ’
เป็นเขาคนนั้นที่เคยพบกันในร้านสารพัดสิ่งไม่ผิดแน่ แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นออกมาจากช่องว่างของผ้าคลุมศีรษะก็ตาม แต่เสี้ยวหน้าที่โผล่ออกมาเล็กน้อยนั้น เรียกได้ว่าเป็นโครงหน้าอันงดงาม ไหนจะเส้นผมแลดูอ่อนนุ่มที่พ้นออกมาให้เห็นแวบๆ นั้นอีก รูปลักษณ์ที่ต่างจากคนทั่วไปนั่นทำให้เธอคาดเดาถึงใครอื่นไม่ได้เลยนอกจากเขา
ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นขุนนางที่ดูดีคนหนึ่งเลยมิใช่หรือ
ทั้งที่พิจารณาจากหน้าตาของเขาแล้ว น่าจะยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่กลับไม่ยอมปล่อยอาเรียไปง่ายๆ แถมยังเร่งรัดให้เธอตอบข้อสงสัยของเขาอีก
ในตอนที่เขาเปิดประตูของกรมศุลกากรออกมา ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงสายตาของอาเรีย เขาเงยหน้าและสบตาเธอ
ในอดีต อาเรียไม่เคยได้สบตากับเจ้าของดวงตาสีฟ้าโดยบังเอิญเช่นนี้เลย นั่นทำให้อาเรียรู้สึกถึงความหวาดกลัวในอดีตขึ้นมาทันที เธอตกใจและตั้งใจจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่สีหน้าของเขาที่เธอไม่คาดว่าจะได้เห็นนั้น รั้งตัวเธอเอาไว้
‘ยิ้มงั้นเหรอ…’
เขายกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างมีเสน่ห์ผ่านช่องว่างผ้าคลุมศีรษะ ราวกับถามเธอว่าเขาไปทำให้เธอรู้กลัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
อาเรียตกใจกลัว เธอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ยิ่งเห็นเขาทักทายเธอด้วยการเอามือวางไว้บริเวณหน้าอกอย่างนอบน้อมราวกับบอกว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เธอ ก็ยิ่งทำให้อาเรียรู้สึกขนลุกขึ้นมา
‘…ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่’
เป็นผู้ชายที่เดาความคิดไม่ออกเลยจริงๆ
เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู แม้คนที่เดินตามหลังออกมาจากกรมศุลกากรจะทำหน้าอึดอัดใจที่เขาขวางทางอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ขยับตัว เอาแต่มองไปทางอาเรีย
………………………………..