บทที่ 136 คนทึ่มอะไรเช่นนี้ ! (ปลาย)
หลังได้ยินคำนั้น เยี่ยฉวนกลับยิ้มกว้างแล้วเอ่ยตอบ “กระหม่อมทราบดีพะย่ะค่ะ ทูลด้วยความสัตย์จริง ตอนที่กระหม่อมรับแผ่นป้ายมือของกระหม่อมยังอดสั่นไม่ได้ ด้วยไม่เคยสัมผัสเงินมากมายขนาดนี้…”
นางยังจ้องหน้าเยี่ยฉวนอยู่เช่นเดิม “เจ้าไม่ต้องให้ข้าก็ได้”
ทว่าอีกฝ่ายกลับยัดเยียดแผ่นป้ายใส่ในมือของนาง “ท่านเป็นสตรีที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยตั้งแต่เมื่อไร ?”
คราวนี้เจียงจิ้วยิ้มออกบ้าง “ตกลง”
หลังจากเจียงจิ้วยอมรับแผ่นป้ายสีทองไว้แต่โดยดี ฉับพลันนางก็ได้หันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง ก่อนที่ในทันทีนั้นได้ปรากฏร่างชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมา พร้อมกับส่งกล่องวัตถุสีฟ้าใสที่ถืออยู่ในมือให้เยี่ยฉวนพลางกล่าวว่า “คุณชายเยี่ย สิ่งนี้คือจิตวิญญาณอัคนี เมื่อหลายคืนก่อนองค์หญิงเก้าส่งข้าไปทูลขอจากฮ่องเต้ ทั้งราช สำนักมีจิตวิญญาณอัคนีอยู่เพียงชิ้นเดียว อันที่จริงเพื่อที่จะให้ฮ่องเต้พระราชทานดังนั้นองค์หญิงจึงทรง…”
“พอได้แล้ว !”
ทันใดนั้น เจียงจิ้วพูดขัดขึ้นว่า “เหตุใดจึงชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระ ?”
จากนั้นนางจึงหันมาทางเยี่ยฉวน “ข้ารู้ว่าน้องสาวของท่านป่วยหนัก จิตวิญญาณอัคนีชิ้นนี้จะสามารถช่วยนางได้ อีกอย่างข้าขอให้ฮ่องเต้ส่งหมอหลวงซึ่งเป็นแพทย์วิถีเต๋าที่ดีที่สุดในแคว้นเจียงไปที่สถานศึกษา ฉางหลานแล้ว เพียงแต่เวลานี้ข้ายังไม่ได้รับรายงานผลก็เท่านั้น !”
เยี่ยฉวนรับกล่องสีฟ้ามาถือไว้ จากนั้นจึงหันไปทางหญิงสาวพร้อมพูดตอบด้วยท่าทางจริงจัง “ขอบ พระทัยพะย่ะค่ะ”
เจียงจิ้วยกแผ่นป้ายสีทองในมือขึ้นดูพลางสั่นศีรษะพร้อมถอนใจเฮือกใหญ่ “เจ้าทำเป็นคนทึ่ม… เจ้า ต่างหากเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ แต่ยังอุตส่าห์มาขอบใจข้า ทึ่มอะไรเช่นนี้ !”
เยี่ยฉวนได้แต่นิ่งเงียบ “…”
ตู้ม !
ทันใดนั้นปรากฏเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากเทือกเขาชายแดน บนยอดเขาบังเกิดเป็นกลุ่มควันรูปดอก เห็ดสีขาวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทั้งเยี่ยฉวนและเจียงจิ้วหันไปตามทิศทางที่ตั้งของเทือกเขาชายแดนซึ่งเป็นที่มาของเสียง “พวกนั้นคงทำการขัดขวางเส้นโลหิตแห่งจิตวิญญาณ ดูท่าสงครามใกล้ปะทุเต็มที !”
“เพราะเหตุใดหรือพะย่ะค่ะ ?”
ฝ่ายหญิงสาวตอบเสียงเบาราวกระซิบ “การขัดขวางเส้นโลหิตแห่งจิตวิญญาณส่งผลต่อพลังชี่แห่งจิต วิญญาณ ทำให้เกิดการไหลทะลัก ทำเลที่ตั้งของเมืองชายแดนอยู่ใกล้เคียง ดังนั้นที่นี่จึงเป็นแหล่งผลประโยชน์ที่สำคัญ หากถึงตอนนั้นเมืองชายแดนจะกลายเป็นแผ่นดินซึ่งทั้งกลุ่มอำนาจและชนชั้นสูงต่างพากันมุ่งมาที่นี่ เมืองนี้จะมิใช่เพียงที่ตั้งค่ายทหารอ้างว้างอีกต่อไป… แคว้นถังเองก็จะต่อสู้เพื่อช่วงชิงดินแดนแถบนี้ด้วยเช่นกัน”
หลังจากกล่าวจบ นางหันมาทางเยี่ยฉวน “กลับเมืองหลวงไปเสีย !”
ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่ พลันพยักหน้ารับ “ข้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในเรื่องที่ขัดแย้งระหว่างแคว้นถังกับ แคว้นเจียง จึงไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ อีกอย่างข้าออกมานานพอสมควร ดังนั้นจึงได้เวลาจะต้องกลับเสียที พะย่ะค่ะ !”
ตอนนั้นเอง เจียงจิ้วได้พูดเตือนว่า “เมื่อเจ้าเดินทางกลับ พึงระมัดระวังให้มาก”
“หมายความว่าอย่างไรพะย่ะค่ะ ?” เยี่ยฉวนถามด้วยความพิศวง
อีกฝ่ายตอบเสียงขรึม “เท่าที่ข้ารู้ สถานศึกษาฉางมู่ได้ทุ่มเทในการติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้า อย่างมาก สถานศึกษาแห่งนี้ต้องการมีอำนาจเหนือในทุกสิ่ง เทียบเท่ากับสำนักอัปสรเมรัยทีเดียว ถ้าพวกเขา ล่วงรู้ภูมิหลังอันไม่ปรากฏของเจ้า มันจะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมในการโจมตีเจ้าแน่”
ผู้ฟังนิ่วหน้า “พวกเขาขาดความมั่นใจต่ออำนาจของตนเองหรือพะย่ะค่ะ ?”
หญิงสาวส่ายหน้า “มิใช่เพราะพวกเขาขาดความมั่นใจในอำนาจ หากแต่เพราะต้องการความมั่นใจว่าจะไม่เกิดความเสี่ยงใดทั้งสิ้นต่ออำนาจต่างหาก… ดังเช่นที่ผ่านมาในอดีต ยอดฝีมือแห่งสถานศึกษาฉางหลานมากมายได้หายสาบสูญไปอย่างไร้วี่แวว เอาเป็นว่าจงระวังตัวด้วยก็แล้วกัน !”
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับคำ “เข้าใจแล้วพะย่ะค่ะ ! ถ้าเช่นนั้นข้าขอลากลับ ค่อยพบกันใหม่โอกาสหน้า พะย่ะค่ะ !”
กล่าวจบเขาหันหลังกลับและเดินออกไปทันที
เจียงจิ้วยืนมองตามหลังชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งเดินออกไปจนลับสายตาอย่างสิ้นเชิง ทันใดนั้นนางพลันส่าย ศีรษะน้อย ๆ พร้อมเสียงรำพึงกับตนเองว่า “คนทึ่มอะไรเช่นนี้…”
หลังจากนั้นอีกสองชั่วยามถัดมา เยี่ยฉวนก็ได้ขึ้นไปอยู่บนเรือเหาะซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
เพราะเขาถือแผ่นป้ายแขกพิเศษ ดังนั้นจึงโดยสารในชั้นหนึ่งได้โดยไม่เสียค่าเดินทาง !
ภายในหอคอยแห่งเรือนจำ
บนดาดฟ้าของเรือเหาะ เยี่ยฉวนนั่งมองไม้แกะสลักรูปเยี่ยหลิงในมือ ก่อนที่จะปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก
ในช่วงหลายวันมานี้ เขารู้สึกเป็นห่วงน้องสาวมากที่สุด !
ด้วยเขาไม่เคยห่างจากน้องสาวเยี่ยหลิงเป็นเวลานานเช่นนี้ !
…ราวกับนึกขึ้นได้ เขาหยิบไม้แกะสลักเป็นรูปอันหลานซิ่วขึ้นมา และยิ่งเห็นรูปไม้แกะสลักในมือ รอยยิ้มของชายหนุ่มยิ่งสดใส !
ทว่าในทันทีทันใด รอยยิ้มก็ได้พลันจางหายเช่นเดียวกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม !
อันหลานซิ่ว !
สายตาเหม่อมองไปถึงเส้นโค้งขอบฟ้า หลังจากที่ได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเขาก็เริ่มมั่นใจแล้ว ว่าเบื้องหลังของอันหลานซิ่วนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดา นางเป็นผู้หนึ่งที่ทั้งสำนักอัปสรเมรัยและสถานศึกษาฉางมู่ไม่ประสงค์จะทำให้เกิดความขุ่นเคือง เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้เบื้องหลังของนางเป็นเพียงคนธรรมดาได้อย่างไร ?
ชั่วขณะนั้น ที่มุมปากของเยี่ยฉวนบังเกิดสัมผัสแห่งรอยยิ้ม “ข้าจะตามท่านไป ! เมื่อถึงตอนนั้นใครหน้าไหนก็ขวางข้าไม่ได้ !”
ในขณะนั้นเองเงื้อมเงาสีดำมืดพลันปรากฏบนท้องฟ้าเหนือเรือเหาะ ต่อมาก็ได้บังเกิดความกดอากาศอย่างรุนแรงด้วยภาพมายาของฝ่ามือขนาดมโหฬารที่เหวี่ยงตวัดลงมาจากท้องฟ้าราวสายฟ้าฟาด !
ขณะที่พลังรุนแรงของความกดอากาศบังเกิด มันก็เป็นเหตุให้เรือเหาะเกิดแตกร้าวเปิดอ้าออก !
เสียงของผู้โดยสารอื่นในเรือเหาะต่างพากันกรีดร้องระงมฟังไม่ได้ศัพท์ !
บนดาดฟ้าเรือเหาะ ทันทีที่เยี่ยฉวนมองออกไปภายนอกเห็นภาพลวงตาของฝ่ามือยักษ์ รูม่านตาพลัน บีบเข้าเมื่อผู้เป็นเจ้าขอเพ่งมองบางสิ่ง โดยไม่คิดลังเลเขากระโดดออกจากเรือเหาะที่กำลังจะแตกลำนั้นทันที…
ในเวลานั้นเรือเหาะลอยสูงจากพื้นดินกว่าพันจั้ง !
ถึงกระนั้น เขาไม่มีทางเลือกนอกจากกระโดดหนีออกไปด้านนอก ด้วยหากไม่กระโดดก็คงต้องตาย เพราะฝ่ามือยักษ์ที่ตวัดลงกลางลำเรือ ในขณะที่การกระโดดหนี อาจมีโอกาสรอดแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามที !!
เมื่อร่างของเยี่ยฉวนลอยพ้นจากตัวเรือเหาะ ทันใดนั้นเรือเหาะเบื้องหลังที่เพิ่งละทิ้งมาพลันระเบิดแตกออกทันที
ร่างของเยี่ยฉวนตกลงสู่ใต้เรือเหาะอย่างรวดเร็ว ทั้งความเร็วยังเพิ่มขึ้นทุกที… และด้วยความเร็วเท่านี้ ร่างกายของเขาคงเละเป็นวุ้นแน่เมื่อตกกระแทกพื้น !
อย่าว่าแต่มนุษย์เช่นเขา ต่อให้เป็นอสูรขั้นพลังสันโดษ ถ้าตกจากความสูงเท่านี้ร่างคงแหลกเหลว กระจัดกระจาย !
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากการตกจากที่สูง เป็นผลให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เริ่มฉีกขาดเป็นริ้ว…