บทที่ 303.2 แยกทาง ProjectZyphon
“การต่อสู้ระหว่างหมาว่านฝ่าและโต้วจื่อจือก่อนหน้านี้ บวกกับศึกตัดสินเป็นตายในวันนี้ โชคของพวกเราไม่เลวเลยจริงๆ ได้กำไรมาไม่น้อย หากเป็นเมื่อก่อนข้าคนเดียวก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวเช่นนี้ ต้องรู้ว่าเวลาที่ข้าอยู่ในตระกูลถูกเรียกขานว่า ‘เซียนใหญ่เก็บสมบัติ’ เชียวนะ”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม อยู่ดีๆ ก็นึกถึงหญิงสาวจากสำนักโองการเทพที่ได้รับการขนานนามว่ามี ‘โชควาสนายิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของทวีป’ ผู้นั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“กระบี่อาคมชือซินของโต้วจื่อจือเป็นของเจ้า กวานห้าขุนเขาเป็นของข้า จะพูดว่าเป็นของข้าก็ไม่ถูก ถือว่าข้าซื้อจากเจ้าก็แล้วกัน นอกจากข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นแล้ว เม็ดเสื้อเกราะที่เสียหายซึ่งเจ้าซื้อมาจากหอหลินจือที่ภูเขาห้อยหัวก่อนหน้านั้น เจ้าบ่นอยู่เสมอไม่ใช่หรือว่าต้องแยกชิ้นส่วนเสื้อเกราะใส่ไว้ในสืออู่ เปลืองพื้นที่อย่างมากน่ะ ข้าสามารถช่วยเจ้าซ่อมแซมให้เหมือนใหม่โดยไม่คิดค่าตอบแทน ทำให้มันเปลี่ยนมาเป็นเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเม็ดหนึ่ง เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าทำอย่างไร คนบนภูเขา…ย่อมมีวิธีการที่มหัศจรรย์อยู่แล้ว!”
ลู่ไถยิ้มกว้างอย่างสดใส “ดังนั้นเจ้าอาจจะต้องอยู่ที่ป้อมอินทรีบินอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่หรอก ก็ถือโอกาสพักฟื้นรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่ไปก่อน จากนั้นค่อยไปตามหาอารามเต๋าแห่งนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มาเจอกับลูกหลานเศรษฐีอย่างลู่ไถ เฉินผิงอันไม่มีทางใจอ่อนแน่นอน
ลู่ไถเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “กวานห้าขุนเขาสมบัติอาคมชั้นสูงหนึ่งชิ้น ข้าจำเป็นต้องมอบเงินเกล็ดหิมะให้เจ้าสองหมื่นเหรียญ หากหักเป็นเงินฝนธัญพืชก็เท่ากับยี่สิบเหรียญ ตอนที่ไล่ฆ่าหม่าว่านฝ่าและสังหารผู้ฝึกตนถือแส้ในหอหลัก ข้าเองก็ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเช่นกัน ลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว น่าจะยังต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะให้เจ้าอีกสองหมื่นเหรียญ หรือก็คือเงินฝนธัญพืช ยี่สิบเหรียญ ด้ามยาวของแส้ปัดฝุ่นที่สลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ นั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าเอาไปได้ ถือซะว่าเป็นของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ แล้วกัน”
เฉินผิงอันตื่นตะลึง “ได้เงินฝนธัญพืชมากขนาดนี้เชียวหรือ?”
ลู่ไถทอดสายตามองไปยังทิศไกลอยู่ตลอดเวลา ยิ้มบางบางเอ่ยว่า “เงินของเทพเซียนบนภูเขา ข้าพอมีติดตัวอยู่บ้าง เซียนดินก่อกำเนิดทั่วไปของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่มีใครกล้ามาแข่งขันเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับข้าหรอก”
ทำเอาเฉินผิงอันโมโหจนเงื้อมือตบไปหนึ่งฉาด “ถ้าอย่างนั้นตอนที่อยู่ภูเขาห้อยหัวเจ้าจะมาร่ำร้องกับข้าว่ายากจนไปทำไม? ลู่ไถ เจ้านี่มันใช้ได้จริงๆ เล่นละครเก่งนักนะ!”
ลู่ไถรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย กล่าวยังขลาดๆ ว่า “ก็ข้ากลัวว่าตอนนั้นเจ้าไม่ปรารถนาในความงามของข้า แต่ปรารถนาอยากได้เงินของข้าแทนนี่นา”
“ปรารถนาในความงามกับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ!” เฉินผิงอันฟาดมือลงไปอีกครั้ง ทำเอาลู่ไถอับอายจนพาลมาเป็นความโกรธ “เฉินผิงอัน ระวังข้าจะเลิกคบเจ้านะ!”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ แต่ก็ยังไม่หยุดตบอยู่ดี
ดวงตาของลู่ไถคลอประกายน้ำ ทำท่าว่าจะเรียกท่าไม้ตายออกมา แต่เฉินผิงอันกลับทำมือบอกให้ลู่ไถ ‘หยุด’ จากนั้นก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดว่า “เจ้าพูดต่อได้เลย”
ลู่ไถพลิกมือหนึ่งครั้ง ถุงผ้าที่ตัดเย็บอย่างประณีตใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา เขายื่นมันส่งให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เอามาทำไม?”
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ มอบให้เจ้า ลองเปิดดูสิ เจ้าต้องชอบแน่นอน เมล็ดพันธุ์ต้นอวี๋เฉียนที่มีภูมิหลังค่อนข้างพิเศษชนิดนี้ พอกลับไปถึงบ้านเกิดสามารถเอาไปปลูกไว้บนภูเขาที่ฮวงจุ้ยดีได้ จะต้องปลูกให้หันหน้าเข้าหาแสงแดด ประมาณสามปีห้าปี ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น”
แม้ว่าเฉินผิงอันจะรับถุงต้นอวี๋เฉียนมาแล้ว แต่ก็ยังพูดว่า “อธิบายให้ชัดเจนก่อน ไม่งั้นข้าก็จะคืนมันให้เจ้า”
ลู่ไถจึงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ทำเอาเฉินผิงอันที่ฟังอยู่ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง รีบเก็บมันลงไป ไอ้ที่บอกว่าจะคืนไม่คืนอะไรนั้น ถือซะว่าเค้าไม่เคยพูดแล้วกัน
ที่แท้อวี๋เฉียนถุงนี้ก็มหัศจรรย์อย่างมาก อีกทั้งยังถูกกับรสนิยมของเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด พวกมันคือเมล็ดพันธุ์ล้ำค่าจากต้นอวี๋ของตระกูลเซียนยุคบรรพกาลที่ห่างไกลในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เนื่องด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นลักษณะเหมือนเหรียญกษาปณ์ทรงกลมบางๆ จึงถูกตั้งชื่อเช่นนี้
ออกเสียงเหมือนคำว่า ‘อวี๋เฉียน’ ที่แปลว่าเงินเหลือ (อวี๋เฉียนที่เป็นต้นไม้ ภาษาจีนเขียนว่า 榆钱 แต่อวี๋เฉียนที่แปลว่าเงินเหลือ เขียนว่า 余钱)
เนื่องจากพวกชาวบ้านมีคำกล่าวว่ากินอวี๋เฉียนก็จะมีเงินเหลือ จึงถูกคนส่วนใหญ่เอามาเล่าลือกันปากต่อปากอย่างผิดๆ เพราะแท้จริงแล้ววิธีการกินแบบนั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือแค่ต้องหาภูตจินหวงที่ซ่อนอยู่ในต้นอวี๋เฉียนให้เจอ เอามันมาแช่ในไหเหล้า พอเหล้าหมักได้ที่แล้วก็เอาออกมากินสดๆ ทุกปีจึงจะมีรายได้เพิ่มพูนขึ้นมา ครอบครัวที่มีฐานะหน่อย เวลาถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อความเป็นสิริมงคลจึงมักจะจัด ‘งานเลี้ยงอวี๋เฉียน’ เพราะหวังว่าในช่วงปีใหม่จะมีเงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย
รายรับทรัพย์สินเงินทองที่คล้ายสายน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวต่อเนื่องนี้ เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันชื่นชอบมากที่สุด
เพราะลึกๆ ในใจของเฉินผิงอันเชื่อว่าความร่ำรวยสูงศักดิ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันยอมง่ายที่จะมาเร็วไปเร็ว เว้นเสียแต่ว่าจะทุ่มเททำงานอย่างยากลำบาก ถึงจะคว้าไว้ได้อยู่มือ ถึงจะรักษาไว้สำเร็จ แต่ผลกำไรและประโยชน์ที่สะดุดตาเป็นพิเศษอย่างอวี๋เฉียนนี้กลับทำให้เฉินผิงอันสบายใจได้มาก
เฉินผิงอันได้ผลประโยชน์ไปแล้วเพิ่งจะทำเป็นพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ล้ำค่าเกินไปหน่อยหรือ?”
ลู่ไถใช้นิ้วชี้กับนิวโป้งคลี่พัดเปิดและหุบพัดปิดเล่นไปเรื่อยๆ เขาพูดเหมือนสะท้อนใจว่า “เฉินผิงอัน การเดินทางมาขึ้นดาดฟ้าครั้งนี้เป็นการแสวงหามรรคาของข้า คำว่ามหามรรคา เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีน้ำหนักมากเท่าไหร่? ข้าถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะแปลงมันเป็นเงินอย่างไร แต่ข้ารู้สึกว่าในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรที่หยวนได้ก็หยวนๆ ไปเถอะ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าลู่ไถร่ำรวยแค่ไหน ต่อให้ใช้ทรัพย์สมบัติที่มีจนหมดสิ้นก็ยังควักเงินก้อนนี้ออกมาให้เจ้าไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือส่งไปให้ พลางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จะต้องทำอย่างไรอีก ก็ทำอย่างนี้แหละ!”
ลู่ไถรับกาเหล้ามา ชูขึ้นสูงแล้วแหงนหน้ากรอกเหล้าใส่ปาก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อยู่ห่างจากใบหน้าสูงหลายชุ่น ดื่มเหล้าแบบนี้ก็สะใจดีเหมือนกัน
เช็ดปากเรียบร้อยก็ส่ง ‘เจียงหู’ คืนให้กับเฉินผิงอัน “ควรเติมเหล้าได้แล้ว เดี๋ยวกลับไปข้าจะบอกให้ป้อมอินทรีบินเติมเหล้าให้เจ้าจนเต็ม”
เรื่องดีๆ แบบนี้เฉินผิงอันยอมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
จู่ๆ ลู่ไถก็กล่าวอย่างระอาใจว่า “ทำไมถึงชอบดื่มเหล้าขนาดนี้? เหล้ามีอะไรดี?”
เฉินผิงอันแค่ยิ้มรับ ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงดื่มเหล้าต่อไป
พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว อะไรที่กล้าคิดไม่กล้าคิด กล้าพูดไม่กล้าพูด กล้าทำไม่กล้าทำ ก็ล้วนต่างไปจากเดิม
สิบวันต่อมาเฉินผิงอันยังคงพักอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น เพียงแต่ว่าไม่มีวัตถุหยินหรือผีร้ายมารบกวนอีกแล้ว
บางครั้งเฉินผิงอันก็จะไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูบ้าน มองไปทางกำแพงที่อยู่สุดซอย นึกถึงผีเด็กที่ชะตากรรมน่าสงสารเหล่านั้น นึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เผยบนโลกเป็นครั้งสุดท้ายของพวกมัน
ส่วนลู่ไถพักอยู่ที่หอหลักแห่งนั้น บางครั้งก็จะมานั่งเล่นที่บ้านหลังนี้บ้าง เพียงแต่ว่าอยู่ไม่นานก็ต้องกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ
สิบวันผ่านไปลู่ไถก็เอาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่ถูกซ่อมแซมจนเหมือนใหม่เม็ดนั้นมาให้ เฉินผิงอันชอบใจจนแทบวางไม่ลง แขนข้างนั้นของเขากลับคืนมาเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ว่ายังใช้งานหนักๆ ได้ไม่คล่องนัก
นอกจากเม็ดเสื้อเกราะของหอหลิงจือภูเขาห้อยหัวเม็ดนี้แล้ว ลู่ไถยังนำดาบแคบที่มีฝักยาวเป็นสีขาวหิมะเล่มหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอันด้วย บอกว่าเป็นของตอบแทนของตระกูลหลวนแห่งป้อมอินทรีบิน หากไม่รับไว้คนตระกูลหลวนคงรู้สึกไม่สบายใจ
ครั้งนี้ลู่ไถแอบอู้งาน เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไป นั่งต้มชาอยู่ในลานบ้านให้ตัวเองหนึ่งกาแล้วก็ถือโอกาสเล่าถึงที่มาของดาบแคบให้เฉินผิงอันฟัง ปีนั้นเพื่อสยบฮวงจุ้ยที่มีธาตุหยินหนาข้นเกินไปของที่แห่งนี้ เซียนดินก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงท่านนั้นจึงได้มอบดาบพกเล่มหนึ่งให้แก่บรรพบุรุษที่เป็นนายพรานของป้อมอินทรีบิน มันมีชื่อว่า ‘หยุดหิมะ’ ลูกหลานของป้อมอินทรีบินในรุ่นหลังไม่มีใครที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน ดาบเล่มนี้ที่สืบทอดต่อกันมาจึงเป็นเหมือนแค่เครื่องประดับอย่างหนึ่ง นับว่าสิ้นเปลืองสมบัติแห่งสวรรค์โดยแท้
เฉินผิงอันรู้ดีถึงความล้ำค่าของดาบแคบเล่มนี้ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่ามันจะเป็นของรักของเทพเซียนพสุธาแห่งภูเขาไท่ผิงท่านนั้น ลู่ไถครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์อีก เขาเอาดาบแคบเล่มนี้มาหักเป็นเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญ ดังนั้นเงินฝนธัญพืชถุงหนึ่งที่เขาโยนให้เฉินผิงอันจึงมีแค่เงินยี่สิบเหรียญที่เขาติดค้างไว้คราวก่อน
สิบวันให้หลัง ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชากระบี่และนอนหลับ เขาไม่มองไปทางกำแพงแห่งนั้นอีกแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการพบเจอกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ต่อให้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเป็นความตาย แต่ถึงอย่างไรปมในใจก็ค่อยๆ คลายลงไปได้แล้วตามวันเวลา ก็เหมือนกับเหล้าหนึ่งจอกในร้านสุราข้างทางที่ต่อให้รสชาติจะดีสักแค่ไหน แต่จะทำให้คนคนหนึ่งเมามายได้หลายวันเชียวหรือ?
สิบวันนี้ลู่ไถมาหาแค่ครั้งเดียว เพื่อบอกว่าเขารับลูกศิษย์ไว้สามคน
เถาเสียหยาง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลวนอินและยังมีนักพรตหนุ่มที่เปลี่ยนสำนักเปลี่ยนอาจารย์อย่างหวงซ่างอีกคน
ส่วนเหตุผลนั้นลู่ไถไม่ได้บอกให้ฟังอย่างละเอียด พูดแค่หกคำว่า ‘ไม่ใกล้ความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม’ เป็นประโยคเก่าที่เอามาพูดซ้ำอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ลู่ไถเคยพูดตอนที่อยู่บนปลาวาฬกลืนสมบัติ
ก่อนที่ลู่ไถจะจากไปได้บอกว่าเขาอาจจะต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลานานมากจริงๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้คงยังไม่ได้กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เมื่อลู่ไถนำเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นมาให้เป็นครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันเองก็พักฟื้นจนแทบจะหายสนิทแล้ว
การจากลากำลังจะมาถึง
แต่กลับไม่มีความเสียใจใดๆ
คนหนึ่งมีความฝัน อีกคนหนึ่งเริ่มต้นการเดินทางบนมหามรรคา ไม่มีเหตุผลให้ต้องเศร้าเสียใจเกินไปนัก
ดังนั้นพวกเขาจึงจากลากันอย่างเรียบง่ายฉับไว คนหนึ่งอยู่ต่อในป้อมอินทรีบินต่างบ้าน อีกคนหนึ่งแบกกระบี่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
ลู่ไถถึงขั้นไม่ได้มาส่ง เพียงแค่ยืนอยู่บนดาดฟ้า มองตามเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมสีขาวค่อยๆ จากไปไกล
ก่อนหน้านี้เขายุให้เฉินผิงอันห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะไว้ที่เอว บอกว่าจะต้องเปี่ยมไปด้วยมาดแห่งยุทธภพแน่นอน น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่หลงกล บอกว่าข้าไม่ใช่ร้านขายอาวุธสักหน่อย
ลู่ไถรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
หากเฉินผิงอันทำแบบนั้นจริงๆ ลู่ไถก็จะสามารถหัวเราะเยาะว่าเขาเป็นคนโง่ได้อย่างตรงไปตรงมา
เดินออกจากประตูใหญ่ เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ เฉินผิงอันอดหันกลับไปมองป้อมอินทรีบินไม่ได้ ไม่ได้มองลู่ไถ แต่พอนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าน่าประหลาดใจ สุดท้ายก็ส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก
ระหว่างทางที่เดินออกจากป้อมอินทรีบินได้เดินสวนไหล่กับบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่จำได้ว่าไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่กลับดันรู้สึกว่าต้องเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง
บุรุษท่าทางซื่อๆ คนนั้นก็สังเกตเห็นสายตามองประเมินของเฉินผิงอันเช่นกัน จึงส่งยิ้มอายๆ มาให้ มองดูแล้วก็คือชายฉกรรจ์ชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่เฉินผิงอันออกห่างจากป้อมอินทรีบินไปไกลแล้ว ชายฉกรรจ์แต่งตัวบ้านๆ ที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศก็กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง แม่น้ำและภูเขาในรัศมีพันลี้ก็ไม่เหลือเวทอาคมพันธนาการไว้อีก
หาไม่แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวอึกทึกรุนแรงถึงเพียงนั้น สำนักฝูจีกลับยังนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
ลู่ไถฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ยิ้มตาหยีมองการพลิกกลับของโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาที่เปี่ยมไปด้วยความลี้ลับซับซ้อน ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ผู้สืบทอดมรรคาของเขา เมื่อเทียบกับอาจารย์อีกท่านที่ถ่ายทอดความรู้แล้ว นับว่าแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย
บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปหนึ่งล้อยลี้ ระหว่างที่เฉินผิงอันเดินนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงคิดถึงรสชาติของพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลขึ้นมา นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกขบขันตัวเอง คิดในใจว่าตอนนี้มีเงินมีทองแล้ว หากไปถึงเมืองหนึ่งเมื่อไหร่ จะหาร้านข้างทางที่ขายพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล แล้วซื้อมาสักสองไม้ ไม้หนึ่งถือมือซ้าย อีกไม้หนึ่งถึงมือขวา!
—–