บทที่ 26 Ink Stone_Romance

“ลูกว่าเราเรียกกองทหารรักษาการณ์ดีกว่านะคะ”

เคาน์ติสถามกลับด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำพูดปนเสียงทอดถอนใจของอาเรียราวกับเธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

“กองทหารรักษาการณ์อย่างนั้นหรือ”

“เพราะหากคนขับรถม้าจงใจเลือกรถม้าที่พังแล้วมาใช้… ก็เท่ากับเป็นอุบายที่จะทำให้ลูกเป็นอันตรายได้นะคะ ลูกกลับมาถึงคฤหาสน์อย่างปลอดภัยก็จริงแต่หากมีอะไรผิดพลาดแล้วรถม้าเกิดพลิกคว่ำขึ้นมา ลูกก็อาจตายได้เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น…”

อาเรียกวาดสายตามองผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ในห้องโถงจนทั่วก่อนจะพูดต่อ

“ถ้าแม้แต่คนรับใช้ยังไม่รู้ ก็หมายความว่าพวกเขาจงใจให้มันเกิดขึ้นยังไงล่ะคะ”

ความตกใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของทุกคนเพราะข้อสรุปอันแสนน่ากลัวนั้น ที่จริงแล้วข้อสรุปข้อนี้ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด ข้อสรุปที่ว่ามันคือแผนการที่วางเอาไว้เพราะไม่ชอบอาเรีย

มีอะไหล่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่หลุดหายไปและไม่ได้เสียหายพอจะทำให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่ๆ ได้ก็จริง แต่คนที่รู้ความจริงข้อนี้ก็มีน้อยมากเช่นกัน และคงไม่มีใครสามารถแก้ต่างให้คนขับรถม้าได้ในเมื่อเขาคือหนึ่งในผู้ต้องสงสัย

จะเว้นก็แต่มิเอลที่น่าจะเป็นคนสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา

มิเอลที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่ห่างๆ เข้ามาถือหางคนขับรถม้าโดยพูดเข้าข้างเขาว่ามันไม่เกินกว่าเหตุไปหรืออย่างไร ราวกับเธอไม่สามารถทนดูคนที่ตนบงการถูกไล่ต้อนได้อีกต่อไปแล้ว

“คือว่า… ท่านแม่คะ แล้วก็พี่ด้วย การเรียกกองทหารรักษาการณ์มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะ เขาเองก็อยู่ในวัยใกล้เกษียณแล้วอาจจะมีหลงลืมไปบ้างก็ได้นะคะ แล้วนี่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บด้วย… พอคิดแบบนั้นแล้วเขาน่าสงสารออกนะคะ”

ตอนนี้คนขับรถม้าอายุใกล้จะหกสิบและกำลังจะเกษียณในเร็ววันแล้วจริงๆ เขาอยู่ในช่วงอายุที่กำลังกายเสื่อมถอยเพียงพอที่จะเชื่อได้หากจะบอกว่าเขามีอาการหลงๆ ลืมๆ เพราะโรคบางอย่าง ดังนั้นการจะบอกว่าเขาสับสนเรื่องสถานที่เก็บรถม้าก็ยังถือว่าเข้าใจได้

นอกจากนั้นยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและรถม้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยดังที่มิเอลได้พูดไป อีกทั้งยังไม่มีเรื่องใดที่เธอจะสามารถถามหาความรับผิดชอบได้ นอกจากเรื่องความไม่สบายใจระหว่างเดินทางที่น่าอกสั่นขวัญแขวนและการที่ยังไม่มีการรายงานเหตุเท่านั้น

ชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายไปมีเพียงไม่กี่ชิ้นและไม่ได้มากมายถึงกับจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ดังนั้นหากเธอจะเมตตาเขาอีกสักหน่อย ปัญหานี้ก็สามารถทำให้จบลงได้ด้วยบทลงโทษเพียงเล็กน้อยอย่างเช่นการลดค่าจ้าง

และมิเอลเองก็คงคิดว่าเรื่องจะจบลงแบบนั้นด้วยเช่นกัน บางทีนี่อาจเป็นการหยอกเล่นเพียงเล็กน้อยที่มีให้กับนางมารร้ายผู้เป็นที่รักของเขาก็ได้

แต่อาเรียไม่คิดจะทำอย่างนั้น

ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเธอจะให้การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ แก่มิเอลในวันข้างหน้าแล้วค่อยมาเฉลยว่ามันคือการแก้แค้นจนหล่อนไม่อาจทำอะไรได้เลยอย่างไรล่ะ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะไม่มีใครอยู่ข้างคนโง่เขลาอย่างหล่อนอีกต่อไป

“…มิเอล นี่น้องลืมไปแล้วหรือว่ามันคืออุบัติเหตุที่อาจทำให้พี่ถึงตายได้นะถ้าหากเกิดจากการทำพลาดของเขา”

“แต่ก็… ไม่ได้ถึงตายนี่คะ แล้วรถม้าก็ยังกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”

คำพูดที่เหมือนจะถามว่าเหตุใดเธอจึงทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมเช่นนั้นทำเอาอาเรียเกือบจะโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี เธอกลั้นมันไว้อย่างยากลำบากก่อนจะถามกลับไปด้วยความตกใจ

“มิเอล น้องรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”

แกรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงเพียงนั้น ในเมื่อฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากเรื่องอะไหล่ที่หลุดไปไม่กี่ชิ้นนั่น

และหากอะไหล่ที่หลุดไปไม่ใช่อะไหล่หลวมแต่เป็นอะไหล่หลัก จะต้องทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ได้แน่นอน

ฉันยังไม่ได้อธิบายเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วแกรู้ได้อย่างไรกันเล่า

‘เปิดโปงความผิดของตัวเองให้ทั้งโลกได้รู้ ช่างโง่เขลาเสียจริง!’

มิเอลหน้าเสียไปทันทีราวกับเพิ่งรู้ว่าตนได้พลั้งปากพูดไป ภาพที่หล่อนต้องหันไปจับมือสาวใช้อย่างเอ็มม่าไว้แน่นนั้นช่างน่าสมเพชเสียจริง น่าสมเพชจนอยากจะเข้าไปบิดมือนั่นออกเสียให้รู้แล้วรู้รอด

 “เอ น้องไปได้ยินมาจากไหนกัน”

“…”

อาเรียเอ่ยเร่งแต่มิเอลกลับไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้และเอาแต่ปิดปากเงียบ เอ็มม่าหันไปกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูเจ้านายที่ตัวสั่นระริกเป็นลูกนกน่าสงสารของตนเสียงเบาไม่ให้ใครได้ยินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หล่อนคงกำลังบอกแผนการที่จะทำให้ผู้เป็นนายหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้อยู่สินะ

อาเรียมองภาพนั้นอย่างตั้งใจ อีกประเดี๋ยวมิเอลจะต้องหาข้อแก้ตัวให้กับสิ่งที่ตนได้พูดไปไม่ผิดแน่

“น้อง น้องเพียงพูดถึงผลลัพธ์เท่านั้นเองค่ะ น้องหมายความว่ามันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้นเพราะพี่ไม่ได้บาดเจ็บน่ะค่ะ”

“ใช่แล้วล่ะมิเอล ที่น้องพูดมาก็มีเหตุผล”

เคาน์ติสหันไปมองอาเรียเพราะคำพูดของลูกสาวที่จู่ๆ ก็ยอมถอยลงมาก้าวหนึ่งเสียอย่างนั้น เสมือนเป็นคำถามว่าเธอมีแผนการอะไรในใจกันแน่ตอนที่มาฟ้องเรื่องนี้ อาเรียทำหน้าเศร้าก่อนจะแถลงไขว่าเหตุใดเธอจึงเห็นด้วยกับมิเอล

“แต่น้องก็ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจด้วยว่าพี่เองก็อาจบาดเจ็บสาหัสได้เหมือนกัน ที่พี่ไม่เป็นอะไรนั้นอาจจะเป็นเพราะโชคช่วยก็ได้”

“นั่น… นั่นสินะคะ”

หล่อนตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะถ้าหากหล่อนยังปฏิเสธตรงนี้อีกจะกลายเป็นว่าหล่อนคอยแต่จะปกป้องผู้กระทำผิดอย่างคนขับรถม้าจนน่าสงสัย หล่อนจึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีก

“แต่ถือว่าโชคยังดีที่บนรถม้านั่นมีเพียงพี่คนเดียว เพราะถ้าลองจินตนาการว่าน้องอยู่บนรถม้าที่อะไหล่ไม่ครบนั่นแล้ว… พี่คงเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้นหากต้องเห็นน้องเลือดท่วมหัว”

ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องผิดแผกมากทีเดียวที่แกเอาแต่เข้าข้างเจ้าคนขับรถม้านั่นแบบนี้ เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าแกควรเข้าข้างพี่สาวคนเดียวของแกคนนี้ต่างหาก

แกต้องลงโทษคนที่แกหนุนหลังอยู่ด้วยน้ำมือของแกเอง นี่ล่ะ จุดจบของเรื่องนี้ที่อาเรียต้องการ

“…”

มิเอลไม่อาจตอบอะไรกลับไปได้เพราะกับดักที่อาเรียวางไว้ หากหล่อนเห็นด้วยก็จะต้องไล่คนขับรถม้าออกไป และหากคัดค้านก็มีแต่จะได้ความเคลือบแคลงใจจากทุกคน

เอาล่ะ จะทำอย่างไรดีล่ะ

ใบหน้าของคนขับรถม้าจากที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดลงไปมากกว่าเดิมจนไม่ต่างจากซากศพ เขาไม่อาจแก้ตัวจึงรอคอยเพียงคำพิพากษาของตนเท่านั้น

อาเรียทำเป็นปาดน้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมาพลางซ่อนใบหน้าไว้กับชายเสื้อของผู้เป็นมารดาด้วยหวังจะปิดบังเสียงหัวเราะที่หลุดออกมาเบาๆ มิเอลยังไม่พูดอะไรออกมาแม้ทั้งห้องโถงจะตกอยู่ในความเงียบก็ตาม

เคาน์ติสสังเกตเห็นว่าลูกสาวจอมเจ้าเล่ห์ของตนกำลังทำอะไรบางอย่างมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว จึงคอยดูเธออยู่เงียบๆ แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่สิ่งที่เธอกำลังทำจะต้องเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากแน่นอน

อาเรียลบเศษเสี้ยวแห่งความยินดีออกจากชายเสื้อของเคาน์ติสก่อนจะเอ่ยถามมิเอลด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

“น้องเองก็คิดเหมือนพี่ใช่ไหมมิเอล”

“…แน่นอนค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เรื่องก็ถูกจัดการแล้ว หลังจากนี้คงต้องขอให้ท่านแม่กรุณาช่วยตัดสินอย่างยุติธรรมและชาญฉลาดด้วยนะคะ”

หล่อนเป็นแม่แท้ๆ ของอาเรียและเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างเธอ ไม่มีทางเสียหรอกที่จะตัดสินอย่างยุติธรรม เห็นได้ชัดว่าอาเรียได้เปรียบอย่างมากและหล่อนจะให้คำตัดสินตามที่เธอต้องการแน่นอน

เมื่อเห็นมิเอลไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งยังปิดปากแน่นขณะที่ขนตาก็สั่นไหว อาเรียจึงถามความเห็นกลับไปว่า ‘น้องคิดเช่นไร’

‘เอาสิ กำจัดคนขับรถม้านั่นด้วยมือแกเอง! กำจัดคนที่ทำงานให้แกไง!’

แววตาของอาเรียวาววับทั้งที่ยังตีหน้าเศร้า เปรียบดังอสรพิษที่ส่งลูกแอปเปิลให้มนุษย์เมื่อแรกกำเนิดโลก

ใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะเป็นตัวกระตุ้นมิเอล หล่อนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากต้องกัดลูกแอปเปิลที่เจ้างูร้ายหยิบยื่นมาให้

“…เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ”

คนขับรถม้าหมดแรงจะยืนจนทรุดตัวลงกับพื้น สาวใช้ของมิเอลอย่างเอ็มม่าจับแขนและไหล่ของหล่อนไว้แน่นก่อนจะรีบหนีหายเข้ามุมไปอย่างรวดเร็ว

เธอนึกอยากปรบมือให้พวกหล่อนทั้งหลายที่ทำสีหน้าปีติยินดีจนถึงที่สุดเสียเหลือเกิน แต่ก็รีบเก็บอาการแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ แทน

ขณะเดียวกันก็รอฟังคำตัดสินที่แสนยุติธรรมของมารดาไปด้วย

* * *

การตัดสินถูกเลื่อนออกไปเป็นวันรุ่งขึ้นแทนเพราะตอนนี้ดึกเกินไปแล้ว ทั้งที่หล่อนไม่จำเป็นต้องเลื่อนก็ได้ แต่เคาน์ติสได้ประกาศว่าหล่อนจะทำการตัดสินโทษของเขาหลังจากมื้อเช้าในวันรุ่งขึ้นราวกับต้องการให้ทุกคนเห็นว่าหล่อนตัดสินด้วยความรอบคอบ แม้ว่าบทสรุปสุดท้ายจะถูกกำหนดเอาไว้แล้วก็ตาม

วันต่อมา อาเรียเข้ามาที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า แต่กลับเห็นว่าเก้าอี้ทั้งหลายว่างเปล่าจึงหันไปถามมหาดเล็ก

“มิเอลล่ะ”

“เลดี้บอกว่าจะรับประทานที่ห้องเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายครับ”

“ฮืม… งั้นหรือ”

มิเอลมักจะทานอาหารที่ห้องเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในวันนี้เธอว่าเธอพอจะเข้าใจว่าหล่อนเก็บตัวและทานมื้อเช้าในห้องด้วยความรู้สึกเช่นไร

‘ท้องไส้คงจะปั่นป่วนน่าดูเลยสินะ’

แค่เห็นหน้าเธออาจทำให้หล่อนอาเจียนออกมาก็ได้ เพราะอาเรียเองก็เป็นเช่นนั้นตลอดมา

‘น่าเสียดายจังเลยนะ หล่อนคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องเล่นตุกติกจนทำให้คนของตัวเองไม่ไว้ใจไปเสียได้’

และการเล่นตุกติกก็ดันเป็นวิธีของคนฉลาดเสียด้วยสิ

เป็นที่แน่นอนว่าตอนนี้มิเอลยังคิดว่าตนฉลาดหลักแหลม และคิดว่าฝั่งตรงข้ามอย่างอาเรียนั้นช่างโง่เขลาเบาปัญญา แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

ไม่ว่าจะปราดเปรื่องเพียงใด หล่อนในวัยเพียงสิบสามปีย่อมไม่มีทางเอาชนะคนที่อยู่มามากกว่า 20 ปีอย่างอาเรียได้

เธอทานมื้อเช้าหน้าตาน่าทานและรสชาติกลมกล่อมในวันนี้ร่วมกับเคาน์ติสที่ตามเข้ามาหลังเลยเวลาอาหารมาเล็กน้อย มันอาจจะเป็นเมนูที่แสนขมขื่นสำหรับมิเอล แต่กับอาเรียแล้วนับว่าเป็นเมนูที่น่าพอใจมากทีเดียว

หลังจากมื้อเช้าอันน่าอภิรมย์ คนรับใช้คนหนึ่งได้เอ่ยเรียกเธอไว้ทันทีที่เธอออกมาจากห้องอาหารและกำลังเดินคุยอยู่กับเคาน์ติสเพียงลำพังเรื่องคำตัดสินของคนขับรถม้า

“เลดี้ มีคนจากร้านขายอัญมณีมาหาครับ ตอนนี้รออยู่ที่ประตูหน้าครับ”

เขาที่เคยทำหน้าตึงใส่อาเรียอยู่เสมอ มาวันนี้กลับมีสีหน้าที่ดูอ่อนโยนกว่าปกติมากเหลือเกิน

เขามักจะพูดกับเธอแบบถามคำตอบคำ แต่ดูจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั่น คงจะรู้แล้วล่ะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาตนต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างยากลำบากขนาดไหน

“งั้นหรือ ขอบใจนะ”

เพราะอย่างนั้นเธอจึงเพิ่มคำที่ปกติไม่เคยพูดเข้าไปด้วย แววตาของคนรับใช้ยังคงอ่อนโยนอยู่เช่นเดิม

“ดูเหมือนของตอบแทนที่คุณออสการ์ส่งมาจะมาถึงแล้วล่ะค่ะ”

“ตายจริง รีบไปรีบมาก็แล้วกันนะ”

“ลูกไปไม่นานหรอกค่ะ”

อาเรียเปลี่ยนทิศทางไปยังประตูหน้าเพียงคนเดียว

คนงานจากร้านอัญมณีน่าจะรอให้อาเรียทานมื้อเช้าเสร็จเสียก่อน เพราะสีหน้าของเขาดูสดใสขึ้นทันทีที่มองเห็นเธอ อาเรียไม่สามารถเก็บความประทับใจเอาไว้ได้เมื่อเห็นเข็มกลัดที่เขานำมาด้วย

“…งดงามจริงๆ”

“ขอบคุณครับ เลดี้ นายท่านยังฝากมาบอกด้วยว่าต่อไปก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ”

“งั้นฝากไปบอกด้วยนะว่าเราจะทำตามนั้น”

มันอาจดูเหมือนผลงานสมบูรณ์แบบที่มาพร้อมกับการประจบสอพลอ แต่ทับทิมสีแดงบนงานประดิษฐ์รูปดอกลิลลี่กลับเข้ากันได้ดีอย่างไร้ที่ติ

เขาไม่จำเป็นต้องทำดีถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำเพราะมันคือสิ่งที่ควรจะมีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังรู้สึกดีที่เห็นว่าเขาทุ่มเทความพยายามทำให้เธอเช่นนี้

‘ทุกอย่างราบรื่นแบบนี้ได้ยังไงกันนะ’

เธอทิ้งคนงานจากร้านอัญมณีที่แสดงความเคารพเธอด้วยการโค้งให้จนสุดตัวไว้เบื้องหลัง แล้วก้าวย่างไปเพียงลำพังเพื่อทำการตัดสินโชคชะตาของคนขับรถม้า เจสซี่เดินตามเธอไปทั้งที่ยังถือห่อใส่เข็มกลัดและสร้อยคอไว้ในมือ

อาเรียระบายยิ้มจนเต็มใบหน้าเมื่อจินตนาการถึงใบหน้าบูดเบี้ยวของมิเอล

……………………….