บทที่ 1518+1519

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1518 รุ่งโรจน์เจิดจรัส 3

กลับกลายเป็นยันต์ถ่ายทอดเสียงที่มีปัญหาเสียแล้ว!

กู้ซีจิ่วก็พูดไม่ออกเช่นกัน ทว่าความขุ่นเคืองในใจกลับหายไปกว่าครึ่ง

เธออดไม่ได้ที่จะมองยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือ ตรวจสอบดูเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

และหยิบของเขามาดูเช่นกัน ในที่สุดก็พบความผิดปกติ มุมขวาบนของยันต์ถ่ายทอดเสียงมีจุดขาวจางๆ จุดหนึ่ง จุดขาวจางๆ นั้นเล็กน้อยมาก เพียงแค่เช็ดออกก็หายไปแล้ว จากนั้นกู่ซีจิ่วลองติดต่ออีกครั้ง ครั้งนี้ติดต่อได้แล้ว

ตี้ฝูอีลูบจมูกเล็กน้อย “ของสิ่งนี้ละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้? เพียงแค่เลอะฝุ่นผงนิดหน่อยเองก็…”

กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขา “นั่นเป็นเพราะฝุ่นผงนี้อยู่ตรงจุดรับสัญญาณพอดี ท่านเป็นคนรักสะอาดเยี่ยงนี้กลับมองไม่เห็นฝุ่นผงนี่…”

ตี้ฝูอียกแขนดึงนางไว้ในอ้อมกอด “นั่นเป็นเพราะว่าข้ารีบร้อนอยากกลับมา แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่ได้หยุดพัก”

เอาเถิด ถือว่าเขามีเหตุผล

กู้ซีจิ่วเป็นผู้หญิงใจกว้าง ไม่ซักไซ้ไล่เรียงอันใดแล้ว

เธอยังคิดถึงด้านล่าง ยามนี้ย่อมไม่สนใจเรื่องที่ไปแล้วของเขา พูดคุยกับเขาเพียงสองสามประโยคก็อยากจะลงไปแล้ว

ตี้ฝูอีกล่าว “เจ้าเป็นห่วงมิผิด พวกเขาทั้งสามไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าตัวยักษ์นั้นจริงๆ ตอนนี้คงใกล้จะพ่ายแพ้แล้ว เจ้าลงไปจัดการก็พอดี…”

เมื่อพูดจบเขาก็คลายเขตแดน ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงร่อนลงจากฟากฟ้าเข้าสู่สนามรบในทันใด…

เจ้าคนผู้นี้คลายเขตแดนได้รวดเร็วเหนือธรรมดา กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้ฝากฝังอันใดกับเขาก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมสนามรบแล้ว

วินาทีที่เธอร่อนลงมาก็มองเห็นตี้ฝูอีร่อนลงมาเช่นกัน เขาเปลี่ยนร่างกลับเป็นตี้ฝูอีแล้ว หลังจากลงมาเขาก็รับชมการต่อสู้อย่างสบายใจ เหมือนกับคนไม่มีเรื่องอันใด

ใครก็นึกไม่ถึงว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในวินาทีนี้จะเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงแล้ว จริงแท้แน่นอน

ส่วนเทพศักดิ์สิทธิ์…

เดิมทีเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไปมาไร้ร่องรอย เขามาอย่างฉับพลันและจากไปอย่างฉับพลัน ใครก็ไม่อาจคาดคิด

แม้แต่พวกผู้พิทักษ์ทั้งสี่อย่างมู่เฟิงก็ค่อนข้างตกตะลึง พวกเขามองกู้ซีจิ่ว และมองตี้ฝูอีอีกครั้งหนึ่ง หยั่งเชิงเล็กน้อย “นายท่าน? เป็นท่านใช่หรือไม่?”

ตี้ฝูอียืนพิงเสาต้นหนึ่ง เหลือบมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ครานี้พวกเจ้าไม่ได้ถูกกู่ควบคุมแต่กลับเป็นน้ำเข้าสมองแทนอย่างงั้นรึ? นายท่านของตัวเองก็ควรจะดูออกตั้งแต่แวบแรกเลยมิใช่หรือ?”

พวกมู่เฟิงไม่กล้าตอบกลับ ทว่าในที่สุดก็เป็นนายท่านตัวเองแล้วจริงๆ

ปากร้ายตอกกลับพวกเขาเยี่ยงนี้ นอกจากนายท่านของพวกเขาแล้ว ไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้

มู่เฟิงคร่ำครวญ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้น พวกเขามองแค่แวบแรกก็รู้แล้ว แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่กู้ซีจิ่วปลอมตัวมาเหมือนมากเกินไปแล้ว! หากก่อนเกิดเรื่องนางไม่ได้ติดต่อพวกเขามา พวกเขาคงจะจำผิดคนแล้ว…

ทว่ามู่เฟิงยังคงค่านข้างเลื่อมใสนายท่านของตัวเองกับกู้ซีจิ่ว ทั้งสองคนช่างเข้ากันได้กีเหลือเกิน! ต่างคนต่างหวนคืนฐานะของตัวเองได้รวดเร็วปานนี้ ถึงขนาดเทพไม่รู้ผีไม่เห็น นอกจากพวกเขาทั้งสี่แล้วคงไม่มีผู้ใดดูออก

กู้ซีจิ่วที่อยู่กลางอากาศอาจหาญแกร่งกล้า ต่อสู้กับเจ้าตัวยักษ์นั้นจนฟ้าดินไร้ซึ่งสีสัน

ผู้คนมากมายด้านล่างแหงนหน้ามองอย่างเคลิบเคลิ้ม

กู่ฉานโม่เขยิบเข้าใกล้ตี้ฝูอี มองเขาและมองไปยังกู้ซีจิ่วที่กำลังต่อสู้อยู่บนท้องนภา คร่ำครวญทว่าแฝงด้วยความจริงใจ “จริงสิ ซีจิ่ว เช้านี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายติดต่อข้ามา ข้ากำลังยุ่งง่วนเลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เจ้าว่าเจ้าปลอมตัวเป็นเขาเพื่อล้างมลทินให้เขา เขาก็ปลอมตัวเป็นเจ้าสวมชุดสตรีออกศึกสงครามยิ่งใหญ่ พวกเจ้าทั้งสองคิดแทนอีกฝ่าย เชื่อว่าหลังจากศึกครั้งนี้ ชื่อเสียงของเจ้าคงเลื่องลือระบือนามไปทั่วทุกสารทิศ…”

ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าติดต่อเจ้าให้เจ้าบอกซีจิ่วว่าข้าปลอดภัย แต่เจ้ากลับลืมมันงั้นหรือ?”

กู่ฉานโม่กล่าว “ก็มันยุ่งนี่ มีเรื่องราววุ่นวายมากมายที่ข้าต้องจัดการ…เอ๊ะ ช้าก่อน เจ้าคือ…ตี้ฝูอี?!”

————————————————————————————-

บทที่ 1519 รุ่งโรจน์เจิดจรัส 4

ตี้ฝูอีตอบกลับเขาเพียงสองคำ “โง่เง่า!”

กู่ฉานโม่กระชับกำปั้น ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีไม่เคยเกรงใจเวลาพูดคุยกับเขามาก่อน ไม่น่ารักแม้แต่น้อย! ไม่เหมือนตอนซีจิ่วปลอมตัวเป็นตี้ฝูอีที่ค่อนข้างเคารพและเกรงใจเขาอยู่บ้าง ทำให้เขารู้สึกเท่าเทียมกันกับตี้ฝูอี

กู่ฉานโม่แหงนหน้ามองกู้ซีจิ่วบนท้องนภา “นั่นคือนางจริงๆ หรือ?! พลังยุทธ์ของนางสูงส่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ?!”

ตี้ฝูอีไม่ตอบกลับคำพูดไร้สาระของเขา กู่ฉานโม่ทั้งตกตะลึงและยินดี “ซีจิ่วแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นคือความภาคภูมิใจของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของข้า! เสี่ยวซีจิ่วยอดเยี่ยมจริงๆ!” เขากระแซะแขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอี “นี่ ข้าว่าบางทีอีกไม่นาน เสี่ยวซีจิ่วก็จะแซงหน้าท่านได้แล้ว! ประหลาดใจหรือไม่ ผิดคาดหรือไม่?”

ตี้ฝูอีปัดหัวไหล่ของตัวเองเล็กน้อย ออกห่างจากเขาก้าวหนึ่ง “ข้าอยู่ร่วมกันกับนางมาแปดปี ข้ารู้พลังยุทธ์ของนางดีที่สุด ไม่ประหลาดใจและไม่ผิดคาด แต่เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ผู้มีเกียรติกลับถูกแม่นางน้อยแซงหน้าได้ ข้าว่าบางทีเจ้าอาจต้องสละตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เสียแล้ว”

กู่ฉานโม่หัวเราะ “ความจริงข้าก็อยากสละตำแหน่งมานานแล้ว เพียงแต่เด็กคนนั้นไม่ยอมรับตำแหน่ง หากท่านโน้มน้าวนางได้ ข้าก็ยินยอมสละตำแหน่งให้แก่นาง!”

ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ตบบ่าเขาเบาๆ “หนังหน้าเจ้าหนายิ่งนัก ถูกคนรุ่นเยาว์แซงหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ กลับไม่รู้สึกขายหน้าอันใด”

กู่ฉานโม่ปลื้มปริ่มใจ “นางเป็นคนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของข้าบ่มเพาะมา สีครามกลั่นจากต้นคราม ทว่าสีสันโดดเด่นยิ่งกว่าต้นคราม[1]ก็มิแปลก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ใกล้จะถูกคนรุ่นเยาว์แซงหน้าแล้วเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่รู้สึกขายหน้าแม้แต่น้อย ข้ามีอันใดที่จะต้องขายหน้ากันเล่า?”

ทั้งสองปะทะคารมกันตรงนี้ ยังคงไม่มีใครยอมใคร กู่ฉานโม่ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ เทพศักดิ์สิทธิ์เล่า? เจ้าปลอมตัวเป็นตาเฒ่านั้นมาหรือ?”

“ตาเฒ่าจากไปแล้ว” น้ำเสียงตี้ฝูอีเรียบเฉย

“จากไปตั้งแต่เมื่อใด? ข้าไม่เห็นเลย!” กู่ฉานโม่ฉงน

“ทำไมรึ? เขาจากไปยังต้องมารายงานเจ้าอย่างงั้นรึ?” ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม

กู่ฉานโม่ส่ายหน้า “มิกล้า ว่าแต่ถึงแม้ตาเฒ่าจะปรากฏกายออกมาเพียงชั่วครู่ แต่กลับเปิดโปงคนคุยโวอย่างเซียนหญิงลี่หวางได้ มิเช่นนั้นหากนางยืนกรานว่าตัวเองคือฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนคงยังไม่กล้าลงมือกับนางจริงๆ”

ตี้ฝูอีส่งเสียงเย้ยหยัน “โง่งม! ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะต้องใจสวะเช่นนั้นได้อย่างไร”

กู่ฉานโม่มองเซียนหญิงลี่หวางแวบหนึ่ง เซียนหญิงผู้นั้นยังถูกเชือกหลากสีของเทพศักดิ์สิทธิ์มัดไว้ นั่นคือการผูกมัดไพล่หลังที่แท้จริง ทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย ยามนี้ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กำลังเฝ้าอยู่ จนตรอกจนมิอาจจะจนตรอกได้อีก

“เทพศักดิ์สิทธิ์จากไปแล้ว แต่ไม่ได้สั่งการให้จัดการอย่างไรกับสตรีนางนี้…” กู่ฉานโม่ขมวดคิ้ว

“แอบอ้างเป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องได้รับโทษทัณฑ์อันใด?” ตี้ฝูอีหันหน้าเอ่ยถามมู่เฟิงข้างกาย

มู่เฟิงตกตะลึงเล็กน้อย ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมักจะชอบตั้งคำถามยากให้พวกเขาเสมอ บนโลกใบนี้เซียนหญิงลี่หวางที่แอบอ้างเป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์มีเพียงผู้เดียว ในหนังสือไม่ได้บัญญัติโทษทัณฑ์นี้ไว้!

มู่เฟิงยังคงมีไหวพริบปฏิภาณ เขารู้ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเหนื่อยหน่ายเต็มประดากับเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้แล้ว แทบอยากจะให้อีกฝ่ายหายตัวไป ดังนั้น…

“เรียนนายท่าน ควรจะลงโทษทัณฑ์อสนีบาตกลางศีรษะขอรับ” มู่เฟิงสรรหาโทษทัณฑ์ใหม่ขึ้นมา

อสนีบาตกลางศีรษะไม่เพียงแต่สังหารกายเนื้อ ยังทำลายวิญญาณได้อีกด้วย ทำให้นางมลายหายไปจนหมดสิ้น…

ตี้ฝูอีพึงพอใจ ตบไหล่ของมู่เฟิงเบาๆ “ดีมาก คนผู้นี้ข้ามอบให้พวกเจ้าทั้งสี่แล้วกัน จริงสิ ข้าสนใจดินแดนเบื้องบนอะไรนั่น ล้วงข้อมูลออกจากปากนางก่อนแล้วค่อยลงโทษ”

————————————————————————————-

[1] สีครามกลั่นจากต้นคราม ทว่าสีสันโดดเด่นยิ่งกว่าต้นคราม เป็นสำนวนจีน อุปมาว่า นักเรียนเหนือกว่าครู คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน