ตอนที่ 617 อุบัติเหตุจากความโกลาหล

พันธกานต์ปราณอัคคี

แผนที่มีดวงดาวเปล่งประกาย เทือกเขาสูงหน้าผาต่ำ ปรากฏขึ้นอย่างสลับซับซ้อน แม้ดาวเดือนจะขยับเคลื่อน วันเวลาจะเปลี่ยนแปลง แต่ลักษณะภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์นั้นก็ทำให้มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงมองสบตากันแวบหนึ่ง และเอ่ยออกมาพร้อมกัน “ดินแดนทุรกันดาร?”

จากคำตอบอันมั่นใจจากดวงตาของอีกฝ่าย ก็มั่นใจในตำแหน่งของค่ายกลส่งตัวโบราณ

ดินแดนทุรกันดารเป็นรังของอสูรปีศาจ หากเป็นหลายปีก่อนในช่วงเวลาที่พรตและมารต่อกรกันอย่างดุเดือดมากที่สุด บางครั้งก็จะเจอนักพรตผู้บำเพ็ญเพียรมุ่งตรงไปที่แดนไท่ไป๋ แต่จนถึงยามนี้ มนุษย์บำเพ็ญเพียรที่กล้าเข้าไปในดินแดนทุรกันดารนั้นมีอยู่น้อยมาก

ปีศาจบำเพ็ญเพียร ให้ความสำคัญกับอาณาเขตมากกว่ามนุษย์มาก สำหรับอสูรปีศาจจำนวนมากแล้ว การเข้าไปในเขตของมันเท่ากับละเมิดกฎของมัน

ที่โชคไม่ดีก็คือ ค่ายกลส่งตัวโบราณนี้ตั้งอยู่บนภูเขาจิ่วหม่างซึ่งอยู่ใกล้กับใจกลางของดินแดนทุรกันดาร

ที่โชคดีก็คือ นอกจากมั่วหร่านนอีแล้ว คนอื่นๆ อีกสี่คนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด และยังมีอาชิงที่เป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรระดับแปด

ทุกคนมีฝีมือสูงส่งและกล้าหาญ ระแวดระวัง หลังจากเข้าไปในดินแดนทุรกันดารแล้วก็เก็บกลิ่นอาย แค่ให้อาชิงแผ่แรงกดของอสูรปีศาจระดับแปดออกมา ก็แทบจะเข้าไปในส่วนลึกของดินแดนทุรกันดารได้อย่างเงียบสงบ

ภูเขาจิ่วหม่างมีความสูงชัน กลิ่นอายปีศาจตลบอบอวลไปหมด ทั้งยังมีลมกังพัดกระโชก ทุกคนล้วนอยากขึ้นไปให้ถึงยอดเขา แต่เพราะต้องนำพลังกว่าครึ่งออกมาต่อกรกับปราณปีศาจและสายลม จึงไม่สนใจจะเก็บกลิ่นอายของตนเองอีก

ระหว่างนั้น มั่วหร่านนอีที่กินแรงมากที่สุด นางเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย เดิมยอดเขาจิ่วหม่างก็ไม่ใช่สถานที่ที่พละกำลังของนางจะไปถึงได้ ระหว่างทางจึงมักจะหอบหายใจอย่างเหนื่อยหอบอยู่หลายครั้ง สีหน้าซีดเผือด

อาชิงกลับเป็นดั่งมัจฉาในสายธาร กระโดดโลดเต้นอยู่รอบๆ มั่วหร่านนอีอย่างไม่รวดเร็วและไม่เชื่องช้า รอให้นางเอ่ยปากขอให้ช่วย

มั่วหร่านนอีกลับกัดฟันไม่ส่งเสียง รอจนทนไม่ไหว ก็คว้าโอสถวิญญาณมากลืนลงไป

ยามที่กำลังฟื้นฟูพลังวิญญาณก็มีพายุกระโชกพัดมาพอดี ระหว่างที่ขยับกายหลบพลังปราณในร่างพลันโคจรผิดปกติ ทำให้กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

เดิมทีอาชิงหมายจะหัวเราะมั่วหร่านนอีที่มือไม้ยุ่งเป็นพัลวัน แต่เมื่อเห็นนางกระอักโลหิตออกมา ก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไป ใช้แขนเสื้อพยายามเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของนาง ปากก็เอ่ยส่งเสียงตะโกนไม่หยุด “เฮ้อๆ ภรรยาเหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย ขอร้องข้าสักหน่อยจะตายหรือ”

มั่วหร่านนอีพยายามดึงมือของอาชิงออก แค่นเสียงหึอย่างเย็นชา “ใช่ จะตายเพราะความสกปรกของแขนเสื้ออย่างไรเล่า!”

อาชิงมองแขนเสื้อของตนเอง เอ่ยอย่างไม่พอใจ “สกปรกตรงไหน…”

“สกปรกทั้งหมดนั่นแหละ สรุปแล้วไม่อนุญาตให้เอาแขนเสื้อมาเช็ดปากข้า!”

“อือ ก็ได้ วันหน้าข้าจะเตรียมผ้าเช็ดหน้ามา” อาชิงเอ่ยอย่างถอยให้ก้าวหนึ่ง

มั่วหร่านนอีส่งเสียงอืมอย่างพึงพอใจ “นั่นก็พอได้”

มั่วชิงเฉินที่เดินอยู่ด้านหน้าฉีกยิ้ม เอ่ยกับมั่วเฟยเยียนด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่เก้า พี่สิบและนักพรตอาชิงไม่ทะเลาะก็ไม่รู้จักกัน”

มั่วเฟยเยียนพยักหน้า “นางไม่สนิทกับผู้ใดทั้งนั้น ยากมากที่อาชิงจะไม่โมโห”

หลัวอวี้เฉิงและเยี่ยเทียนหยวนต่างก็เงียบกริบ เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างเงียบๆ

หลังจากที่มั่วหร่านนอีกระอักโลหิต อาชิงก็ต้านทานพายุกระโชกและปราณปีศาจแทนนางอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ กลุ่มคนเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก ครึ่งวันผ่านไปก็มาถึงยอดเขาจิ่วหม่าง

ยอดเขาจิ่วหม่างเปิดกว้าง มีหิมะสีขาวหนาๆ ปกคลุม เมื่อทอดสายตามองไปก็เป็นสีขาวไม่เปลี่ยนแปลง

หลัวอวี้เฉิงเหลือบตามองไกลออกไป ฉับพลันนั้นก็เคลื่อนไหวร่างกายกลายเป็นพายุสีเขียวสายหนึ่ง ทุกแห่งที่กวาดผ่านไป เศษน้ำแข็งเกล็ดหิมะแตกกระจายไปรอบๆ แต่กลับไม่ทิ้งรอยเอาไว้

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็เห็นเขาหยุดลง ทุกคนตามไปถึงได้พบว่าบนหิมะมีลวดลายประหลาดสองสามจุด

“นี่คืออะไร” อาชิงมีสีหน้าสนอกสนใจ

มั่วชิงเฉินเห็นลวดลายสองสามแห่งก็เชื่อมโยงกับลวดลายในหัว ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแล้วเอ่ยขึ้น “นี่น่าจะเป็นลวดลายวงโคจรของค่ายกลส่งตัวโบราณ เช่นนั้นเป็นไปได้มากค่ายกลส่งตัวโบราณก็น่าจะตั้งอยู่ตรงนี้ ที่นี่แหละ!”

เอ่ยไปพลางชี้ไปยังจุดที่มีลวดลายตัดสลับกันสามลาย

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว สิ่งที่สหายมั่วพูดคือสิ่งที่ข้าอยากพูด แต่แค่ยอดเขาจิ่วหม่างถูกน้ำแข็งปกคลุมไว้เป็นหมื่นปี ค่ายกลส่งตัวโบราณทั้งละเอียดและซับซ้อน ยามที่พวกเราแหวกหิมะออกก็ต้องระวังหน่อย อย่าใช้พลังรุนแรงจนทำให้เกิดความเสียหาย”

ทุกคนพลันพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ เยี่ยเทียนหยวนสาวเท้ามาข้างหน้าแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้มอบให้ข้าก็แล้วกัน”

“เชิญลั่วหยางเจินจวิน” หลัวอวี้เฉิงถอยหลังมาก้าวหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม

มั่วชิงเฉินเหลือบมองหลัวอวี้เฉิงแวบหนึ่ง ความรู้สึกที่เขาส่งออกมา ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

สัมผัสได้ถึงสายตาของมั่วชิงเฉิน หลัวอวี้เฉิงกลับไม่ได้หันหน้ามา แค่มองการกระทำของเยี่ยเทียนหยวนอย่างเงียบๆ

มีดบินสีม่วงแก่ในมือของเยี่ยเทียนหยวนทะยานออกมา บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่น ลากเป็นเปลวเพลิงสีม่วงอ่อนกลางอากาศ จมหายเข้าไปในหิมะน้ำแข็งหมื่นปีได้อย่างง่ายดายราวกับหั่นเต้าหู้

จากนั้นก็เห็นมีดบินแหวกน้ำแข็งออกมา แล้วก็จมหายเข้าไปอีกครั้ง กลับไปกลับมาเช่นนี้ จุดที่ถูกลวดลายตัดสลับกันถูกเงาสะท้อนสีม่วงปกคลุมเอาไว้ เห็นเพียงเงามีดเต็มท้องฟ้า

สุดท้ายมีดบินสีม่วงแก่ก็บินโค้งกลับมา จมหายเข้าไปในฝ่ามือของเยี่ยเทียนหยวน

เยี่ยเทียนหยวนใช้สองมือเล็งเป้าไป พลังวิญญาณสองขุมหมุนโคจรอยู่ตรงใจกลางฝ่ามือ

เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้ยินเสียงดังสนั่น ก้อนน้ำแข็งยักษ์บินขึ้นมา พุ่งไปหาเยี่ยเทียนหยวน

เยี่ยเทียนหยวนพลิกฝ่ามือทั้งสอง ก้อนน้ำแข็งหมุนวนพุ่งออกไปไกล แล้วกระแทกลงบนพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น ยอดเขาสั่นสะเทือน

แหวกหิมะหมื่นปีออกเป็นหลุมลึก เผยวงสีทองอ่อนออกมา

ทุกคนพลันมีสีหน้ายินดี

วงสีทองนี้ คือลวดลายของค่ายกลส่งตัวโบราณ

มั่วชิงเฉินนำศิลาวิญญาณระดับสูงที่เตรียมเอาไว้มาวางไว้บนจุดเชื่อมโยงต่างๆ ของลวดลาย หลัวอวี้เฉิงร่ายอาคมให้จมหายไปตามจุดเชื่อมโยงต่างๆ ตามที่ฝูเฟิงเจินจวินกล่าว ก็เห็นศิลาวิญญาณมีลำแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในจุดเชื่อมโยงต่างๆ อย่างช้าๆ

ต่อจากนั้นวงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาตรงใจกลางก็มีลวดลายดาวไถเจ็ดดวงปรากฏขึ้น

ในสมัยโบราณ การศึกษาด้านห้วงมิติยังเทียบกับทุกวันนี้ไม่ได้ แหวนและกำไลเก็บวัตถุต่างๆ เพิ่งจะมีในช่วงเวลานี้ ต่อมาวิธีหลอมก็ไร้การสืบทอด มีเพียงส่วนน้อยที่กลายเป็นของสำเร็จรูปแล้วถูกสืบทอดต่อมา ไม่รู้ว่าอยู่ในมือของผู้ใดกันแน่ กลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่กล้าเปิดเผย

ค่ายกลส่งตัวโบราณก็เป็นเช่นนี้ แบ่งออกเป็นค่ายกลส่งตัวกำหนดทิศทางและค่ายกลส่งตัวไม่กำหนดทิศทาง

ตามที่ฝูเฟิงเจินจวินกล่าว ค่ายกลส่งตัวโบราณที่มีลวดลายดาวไถเจ็ดดวงปรากฏเช่นนี้ ย่อมเป็นค่ายกลส่งตัวกำหนดทิศทาง

วงสีทองเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดมน ศิลาวิญญาณระดับสูงค่อยๆ เสื่อมพลังไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มั่วชิงเฉินเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด เพื่อทดแทนศิลาวิญญาณก้อนใหม่ให้กับค่ายกลส่งตัว นางตั้งใจวางตามลำดับอย่างไม่ผิดพลาด มิเช่นนั้นการเปิดใช้งานจะล้มเหลว และต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด

มองเห็นวงสีทองทั้งหมดค่อยๆ นูนขึ้นกลายเป็นแท่นทรงกลมขนาดความสูงไม่ถึงหนึ่งฉื่อ หลัวอวี้เฉิงร่ายอาคมไปพลางเอ่ยไปพลาง “เชิญเหล่าสหายทุกท่านเข้าไปก่อน”

เวลานี้ไม่สนใจจะลังเลอีก มั่วเฟยเยียนสาวเท้าเข้าไปเป็นคนแรก

จากนั้นก็เป็นมั่วหร่านอีและอาชิง

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง

“ศิษย์พี่ ท่านไปก่อนเถิด” มั่วชิงเฉินวางศิลาวิญญาณเร็วขึ้นเรื่อยๆ

เยี่ยเทียนหยวนสาวเท้าเดินเข้าไป

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินเข้าใจความหายของเขา ก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วกระโจนเข้าไปในค่ายกลส่งตัว

ยามนี้ หลัวอวี้เฉิงร่ายอาคมครั้งสุดท้ายเสร็จแล้ว ชั่วพริบตาที่อาคมจมหายเข้าไปในค่ายกลส่งตัว ค่ายกลส่งตัวพลันเปล่งแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม กลางอากาศเกิดระลอกคลื่นขึ้นและเริ่มบิดเบี้ยว

ร่างของหลัวอวี้เฉิงเคลื่อนไหว บินเข้าไปในค่ายกลส่งตัวอย่างรวดเร็ว

ผู้ใดจะรู้ว่ายามนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ท่ามกลางพายุบ้าคลั่งมีเงาสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้น เสียงเย็นชาถ่ายทอดมา “เจ้าเด็กสารเลว ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบเจ้า!”

แผ่นหลังของหลัวอวี้เฉิงถูกตบอย่างแรง กระอักโลหิตสดๆ ออกมา กลับอาศัยแรงที่ถูกตบเพิ่มความเร็วในการพุ่งเข้ามาในค่ายกลส่งตัวมากกว่าเดิม

เพียงแต่เจ้าปีศาจลั่วเฟิงนั้นเป็นถึงชนรุ่นหลังของบุตรชายคนที่สามของมังกรเฉาเฟิง เดิมก็เชี่ยวชาญเรื่องความเร็วอยู่แล้ว ต่อให้หลัวอวี้เฉิงมีรากวิญญาณวายุก็สู้ไม่ได้

หลังจากมั่วชิงเฉินร่อนลงสู่พื้น ก็มองเห็นเจ้าปีศาจลั่วเฟิงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ มือหนึ่งตะปบหลัวอวี้เฉิงเอาไว้

เถาวัลย์บินออกมาอย่างรวดเร็ว ม้วนเข้าที่เอวของหลัวอวี้เฉิง

แทบจะในเวลาเดียวกัน เยี่ยเทียนหยวนปล่อยวิญญาณอัคคีออกมา กัดเข้าที่มือของเจ้าปีศาจลั่วเฟิง

แม้ว่าพละกำลังของวิญญาณอัคคีจะสู้เจ้าปีศาจไม่ได้ แต่คุณสมบัติกลับไม่ด้อยไปกว่าเลย ฝ่ามือของเจ้าปีศาจสัมผัสได้ถึงแรงโจมตีก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย มั่วชิงเฉินถือโอกาสนี้ดึงหลัวอวี้เฉิงเข้ามาในค่ายกลส่งตัว

“คิดจะหนีหรือ” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงส่งเสียงกดต่ำราวกับกำลังระงับโทสะออกมา คาดไม่ถึงว่าเงาร่างจะสว่างวาบแล้วพุ่งเข้ามาในค่ายกล

เมื่อมองเห็นใบหน้าของมั่วชิงเฉินก็หรี่ตาลง พลันสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งพายุลูกหนึ่งโจมตีไปที่ทรวงอกของนาง

วิญญาณอัคคียังไม่ทันได้กลับมา พริบตานั้นเยี่ยเทียนหยวนก็กระโจนออกไปใช้ร่างกายต้านทานพายุลูกนั้นเอาไว้ ฝ่ามือมีดาบเปลวเพลิงสีม่วงทะลักออกมาสับลงบนเจ้าปีศาจ

มีดลับดอกบ๊วยสีเขียวคู่หนึ่งของมั่วเฟยเยียนทยอยกันพุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย

ดาบแหลมสีแดงของมั่วหร่านนอีถูกเรียกออกมาเช่นกัน

มีเพียงอาชิงซึ่งหวาดกลัวปีศาจบำเพ็ญเพียรระดับสูงโดยธรรมชาติที่หน้าซีดขาว ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา พายุสองสามลูกพุ่งออกมาหาคนเหล่านั้นพร้อมกัน

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองสาคนและสมบัติเคล็ดวิชาต่างๆ ของเจ้าปีศาจปะทะเข้าด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง แต่กลับลืมไปว่ายามนี้ตนอยู่ในค่ายกลส่งตัว และยังกระตุ้นการทำงานของค่ายกลส่งตัวแล้ว

เสียงพุ่งชนและปริแตกทำให้อากาศในค่ายกลส่งตัวบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงเจิดจ้า เสียงกึกๆ ดังขึ้น ปรากฏเป็นรอยแยกสองสามสาย กลืนกินทุกคนเข้าไป

มั่วชิงเฉินจมเข้าสู่ความมืดมิดตรงหน้า เห็นเพียงเยี่ยเทียนหยวนพยายามยื่นมือออกมาอยู่ห่างจากนางไปแค่ไม่กี่ชุ่น และเสียงเจ็บปวดเจียนตายที่ส่งเข้ามา “ศิษย์น้อง!”

“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือกแล้วลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็มองไปรอบด้าน สายตาสัมผัสกับพุ่มไม้ ด้านบนมีผลไม้สีสันแตกต่างกันประดับอยู่

ไกลออกไป มีกลุ่มก้อนพลังปราณผนึกรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ ลอยอยู่ไม่ได้สลายไป มองผ่านๆ เหมือนกับร่างของอสูรปีศาจรูปร่างต่างๆ แต่สิ่งที่แปลกก็คือมันโปร่งใสเป็นอย่างมาก

มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงมองเห็นเถาวัลย์ที่เหลือท่อนเดียวในมือ พลันหน้าเปลี่ยนสี “สหายหลัว…”

นางพลันรู้สึกร้อนใจ การต่อสู้ในยามนั้นหลัวอวี้เฉิงถูกเจ้าปีศาจตบไปครั้งหนึ่ง อาการบาดเจ็บคงไม่น้อยอย่างแน่นอน ศิษย์พี่เองก็ต้านทานพายุลูกนั้นให้นางจนได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ ยามนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันนะ

มั่วชิงเฉินพลันร้อนใจ แต่เมื่อลุกขึ้นยืน กลับรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า

นางตกตะลึงไปชั่วครู่ มองมือของตนเอง แล้วโคจรพลังที่จุดตันเถียนอย่างช้าๆ จากนั้นก็มั่นใจถึงความแปลกประหลาดของที่นี่

ที่นี่ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นความว่างเปล่าผืนหนึ่ง!

ว่างเปล่าคืออะไร ก็คือไม่มีปราณวิญญาณ ไม่มีปราณมาร ไม่มีปราณปีศาจ แม้กระทั่งปราณมรณะก็ยังไม่มี มันสะอาดและบริสุทธิ์เสียจนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน!

ปีนั้นที่เข้าไปในแดนไร้วิญญาณโดยบังเอิญ กลับไม่มีแค่ปราณวิญญาณฟ้าดินเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นมั่วชิงเฉินในยามนี้เข้าไป ก็ยังคงสามารถฝึกฝนปราณดั้งเดิมอื่นๆ ได้

แต่ที่นี่ นางกลับกลายเป็นสตรีผู้มากความสามารถแต่ทำกับข้าวมิได้เพราะขาดวัตถุดิบอย่างแท้จริง กลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่อาจสำแดงเคล็ดวิชาต่างๆ ได้!

“แย่แล้ว!” มั่วชิงเฉินได้สติกลับคืนมา ก็สาวเท้าออกวิ่ง

ขาขวาของนางเคยได้รับการเสริมความแข็งแกร่ง แม้ไม่มีพลังวิญญาณหล่อเลี้ยง อานุภาพจะลดลงไปมาก แต่อานุภาพที่เหลือก็ยังนับว่าไม่น้อย ทว่าคนอื่นกลับมือเท้าไร้เรี่ยวแรง แถมยังได้รับบาดเจ็บ!