บทที่ 28 บทลงทัณฑ์สีเลือด
ทางตอนเหนือของเมืองหลินเป่ย มีแนวเขาสูงติดต่อกันเป็นแนวยาวอยู่แนวหนึ่ง
ทางทิศเหนือของแนวเขาสูงเป็นทุ่งหญ้าไร้จุดสิ้นสุด เป็นที่อยู่อาศัยของอสูรร้ายจำนวนมาก ส่วนทางทิศใต้เป็นอาณาจักรของเหล่ามนุษย์
แนวเขาสูงแห่งนี้ เป็นแนวเขตแดนที่กั้นระหว่างเขตแดนมนุษย์และสัตว์อสูรเอาไว้ บ่อยครั้งที่อสูรร้ายจำนวนมากรุกล้ำเข้ามายังเขตแดนของมนุษย์ การกระทำเช่นนั้นถูกเรียกว่า ขบวนสัตว์อสูร
กองกำลังต่อต้านของเผ่ามนุษย์สู้รบกับพวกสัตว์อสูรมานับพันปี เลือดที่หยดลงพื้นได้ย้อมภูเขาทั้งลูกจนกลายเป็นสีแดงฉาน ที่แห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า เทือกเขาสีเลือด
ถึงขบวนสัตว์อสูรจะยังไม่หลั่งไหลเข้ามา ทว่าก็ยังมีอสูรร้ายหลายตัวอาศัยอยู่ที่เทือกเขาสีเลือด
ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ จึงนับเป็นสนามรบระหว่างเผ่ามนุษย์และสัตว์ปีศาจ แม้จะเป็นพื้นที่สู้รบที่เล็กที่สุดก็ตาม
ทุก ๆ ปี เหล่าผู้ฝึกฝนและผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายต่างพากันรวมตัวกันล่าอสูรร้ายเพื่อทรัพยากรสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ และที่สำคัญกว่านั้นคือเพื่อเป็นการปลุกพลังในสายเลือดขึ้น
นี่เป็นสถานที่ที่แข็งขันกันอย่างดุเดือด สองฝ่ายไม่อาจอยู่ร่วมกันได้…ในทุกปี มีผู้ฝึกฝนและผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดมากมายที่ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่เทือกเขาสีเลือดแห่งนี้
บทลงทัณฑ์สีเลือดคือบทลงโทษที่ตระกูลจะส่งตัวผู้ที่ล่วงเกินตระกูลไปที่เทือกเขาสีเลือด บังคับให้ผู้นั้นอาศัยอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อเป็นการลงโทษ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับโทษที่ผู้นั้นกระทำว่าร้ายแรงเพียงไหน เช่นนี้นับว่าเท่ากับโทษจองจำในคุก แตกต่างกันคือถึงการถูกคุมขังที่เทือกเขาสีเลือดจะสั้นกว่ามาก หากก็อันตรายถึงตายด้วยเช่นกัน ก้าวผิดเพียงครั้งเดียวอาจกลับโทษคุมขังเป็นโทษประหารได้เลย
สำหรับซูเฉินที่กล้าเอ่ยเรื่องบทลงทัณฑ์สีเลือดขึ้นมาเช่นนี้ นับว่าทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
เสนอตนรับบทลงโทษเช่นนั้น เจ้าเด็กนี่คิดเรื่องนี้ถี่ถ้วนแค่ไหนกันเชียว?
ยิ่งไปกว่านั้น พลังของซูเฉินยังอยู่ในด่านหลอมกายาขั้น 9 ยังไม่นับเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นยังกล้าไปที่เทือกเขาสีเลือดอีกงั้นหรือ?
ที่เทือกเขาแห่งนั้น เหล่าอสูรร้ายย่างกรายทั่วพื้นที่ ไม่ว่าอสูรร้ายตัวไหนต่างก็ฉีกร่างซูเฉินเป็นชิ้น ๆ ได้ทั้งนั้น
ตามกฎตระกูลซูแล้ว หากศิษย์ในตระกูลเอ่ยขอรับบทลงทัณฑ์สีเลือดแล้ว เป็นการมิสมควรที่จะปฏิเสธ
เพราะในขณะที่มันนับเป็นบทลงโทษ การเลือกที่จะไปยังสถานที่อย่างเทือกเขาสีเลือดนับเป็นการแสดงถึงความกล้าหาญ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่ต้องการต่อต้านเหล่าสัตว์อสูรอีกด้วย
“อย่างไรก็ไม่ได้!” ถังหงรุ่ยกรีดร้องขึ้นเสียงดัง
ซูฉางเช่อขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงอยากไปที่แห่งนั้น?”
ซูเฉินตอบ “ข้าต้องการสายเลือดค้างคาวเมฆ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ข้ามีหวังในการทดสอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นในปีหน้า”
ค้างคาวเมฆเป็นหนึ่งในอสูรกาย การมองเห็นของมันแย่มาก ทว่าสามารถใช้เสียงสะท้อนระบุหาที่อยู่ของสิ่งของได้อย่างแม่นยำ หากเด็กหนุ่มได้รับสายเลือดค้างคาวเมฆ และสามารถควบคุมทักษะการระบุตำแหน่งได้ละก็ กระทั่ง “คนตาบอด” อย่างเขาก็สามารถต่อสู้ได้
แน่นอนว่าซูเฉินเพียงกุเรื่องขึ้น ทว่าคำอธิบายในเรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะหลอกทุกคนได้แล้ว
เหตุผลที่แท้จริงของเด็กหนุ่มนั้นเรียบง่ายยิ่ง เขาต้องการแข็งแกร่งขึ้น!
ข้อมูลที่กู่ชิงลั่วเปิดเผยให้เขารู้นั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเร่งรีบยิ่งนัก ในอนาคตอาจมีคู่ต่อสู้ที่เขาไม่อาจจินตนาการถึงความแข็งแกร่งขึ้นได้
ส่วนตัวเด็กหนุ่มเอง การสูญเสียการมองเห็นก็ทำให้เขาเสียเวลาไปถึงสามปีเต็ม ในเวลาสามปีนั้น เขามุ่งเพียงรักษาสิทธิ์ที่ในการสอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นไว้เท่านั้น ไม่ได้ฝึกปรือฝีมือมากเท่าใดนัก ทว่าคู่ต่อสู้ที่ฝึกปรือฝีมือจนเก่งกาจก็อาจมีให้สิทธิ์ในการสอบเข้าด้วยเช่นกัน
ยังไงเสียมันก็เป็นเพียงสิทธิ์ในการสอบเข้าเพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเข้าสถานศึกษาได้อย่างแท้จริง
หากซูเฉินไม่อยากพลาด “วันแห่งการแข่งขันเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น” แล้ว เขาต้องพยายามฟันฝ่าต่อไป
เทือกเขาสีเลือดคือการตัดสินใจที่ดีที่สุด
มันอาจจะอันตราย ทว่าก็มีโอกาสอยู่มากมายเช่นกัน!
เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าเมื่อไหร่จะเดินทางออกจากตระกูลไปยังเทือกเขาสีเลือด เรื่องซูเยว่เพียงทำให้เด็กหนุ่มมีข้ออ้างที่จะเดินทางไปที่นั่นได้เท่านั้น ได้โอกาสเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือด แถมยังได้สู้กับศัตรูด้วย จะไม่คุ้มได้อย่างไร?
ทว่าสำหรับคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนต่างรู้สึกสั่นสะท้านไปกับความคิดไม่ยอมแพ้ของซูเฉิน
สถาบันมังกรซ่อนเร้นงั้นหรือ?
คนตาบอดยังอยากจะสอบเข้าสถาบันที่โด่งดังติดอันดับทั่วทั้งแผ่นดินหลงซาง สถาบันมังกรซ่อนเร้นงั้นหรือ?
นี่คือความมุ่งมั่นประเภทไหนกัน!
กระทั่งซูฉางเช่อยังอดถามไม่ได้ “สถาบันมังกรซ่อนเร้นสำคัญกับเจ้ามากขนาดนั้นเลยหรือ?”
ซูเฉินเอียงคอ จากนั้นเอ่ยตอบ “ไม่หรอก จริง ๆ ก็ไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น”
“ว่าไงนะ?” ทุกคนสับสนกับคำตอบของเขา
เขาหมายความว่าอย่างไร?
“เป็นแค่จุดมุ่งหมายอีกอย่างนึ่งเท่านั้น” ซูเฉินตอบ “จุดมุ่งหมายที่ทำให้ข้าเดินหน้าต่อไป เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าไม่ยอมแพ้ เหมือนที่ข้าเชื่อในคำของขอทานเฒ่าผู้นั้นว่าสุดท้ายดวงตาของข้าจะหายดีดังเดิม มนุษย์เราต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิตและต้องมีความหวังเพื่อที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่อไปได้ ความเชื่อที่ว่าตาข้าต้องหายดีเป็นความหวังของข้า ส่วนสถาบันมังกรซ่อนเร้นเป็นจุดมุ่งหมายที่ข้าตั้งไว้เพื่อที่ตนเองจะไม่ยอมแพ้ไป”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นต่อ “ข้าเพียงไม่อยากหยุดเดินอยู่แค่ตรงนี้”
เรื่องค้างคาวเมฆเป็นคำลวง ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาในตอนนี้คือความจริงใจทั้งสิ้น
สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญจนซูเฉินปล่อยวางไม่ได้
ทว่าการที่เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิต นั่นทำให้ซูเฉินมีกำลังและแรงใจในการสู้ต่อไป
“เจ้าไม่เกรงกลัวอันตรายบนเทือกเขาสีเลือด และโอกาสที่เจ้าจะเอาชีวิตไปทิ้งบนนั้นหรือ?” ซูฉางเช่อเอ่ยถามขึ้นอีก
ซูเฉินตอบ “ในฐานะบุรุษ ความมุ่งหวังของข้าถือว่าสูงส่งนัก ข้าจะวิ่งหนีไปเพราะความเกรงกลัว แล้วโทษโชคร้ายของตนได้อย่างไร?”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ ในใจของพวกเขาก็พากันเต้นแรงโดยพร้อมเพรียงกัน
คำพูดเหล่านี้ ในที่สุดก็ทำให้ซูฉางเช่อประทับใจได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว…… บทลงทัณฑ์สีเลือดหนึ่งร้อยวัน หากยังไม่ถึงร้อยวัน ห้ามกลับ”
เมื่อซูฉางเช่อกล่าวเช่นนั้นออกมาแล้ว เรื่องทั้งหมดก็เป็นอันจบสิ้น ไม่ว่าถังหงรุ่ยจะคัดค้านมากเพียงไหนก็ไร้ประโยชน์ นางก็ทำได้เพียงนั่งร้องไห้อยู่ด้านข้างเท่านั้น
“หลานน้อมรับคำสั่ง!” ตอนที่กล่าวคำนี้ออกมา สีหน้า ซูเฉินไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “ใช่แล้วท่านปู่ ข้าอยากให้โจวหงกับหมิงชูมารับใช้ข้า”
“ตกลง หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ถือว่าเรื่องวันนี้ได้ยุติลงเสียที” ซูฉางเช่อไม่พูดมาก หันหลังเดินกลับไปทันที
เมื่อเห็นซูฉางเช่อจากไปแล้ว ซูฉางชิงก็มองซูเฉินด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะเดินจากไปเช่นกัน
รวมถึงซูเค่อจี่ และหยานหวู่ชวง ตอนนี้ในตระกูลซู มีคนที่เกลียดชังซูเฉินอย่างสุดใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว
ทว่าซูเฉินไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอย่างใด เขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
เมื่อมองไปรอบตัว เด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “มาเถอะ ยืมรถม้าของซูเยว่มาให้ข้าใช้”
รถม้าของเขาเองถูกทำลายไปแล้ว จำต้องหาคันใหม่ เขาจึงตัดสินใจยืมรถม้าของซูเยว่มาใช้ก่อน
ถึงจะไม่เป็นไปตามกฎนัก ทว่าคนรอบข้างก็พากันออกไปหารถม้าให้ซูเฉินแล้ว
หลังการต่อสู้ในวันนี้ ซูเฉินได้แสดงออกและยืนยันฐานะของตนเอง
ถึงจะยังไม่สามารถสะเทือนเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลได้ ทว่าคนรุ่นเดียวกันหรือที่อ่อนกว่าล้วนไม่กล้ารังแกเขาอีกต่อไป
เรื่องที่รถม้าของซูเยว่ถูกซูเฉินนำไปใช่ ไม่นานก็ไปถึงหู ซูฉางชิง เส้นเลือดบนหน้าผากเขาเต้นตุบ ๆ ทว่าสุดท้ายก็ทำเพียงพูดออกมาว่า “ถ้าเขาต้องการก็ให้เขาไป”
แน่นอนว่าซูเฉินออกเดินทางไปนานแล้วตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยคำอนุญาตออกมา
ในขณะนั้นเอง รถม้าของซูเฉินก็เคลื่อนตัวมาถึงศาลาหยกพิสุทธิ์ เขาให้โจวหงรออยู่ด้านนอก ก่อนตนเองจะเดินเข้าร้านไป
ในตอนนั้นถังเจิ้นอยู่ที่ชั้นสามของร้าน เมื่อเห็นซูเฉินมาถึง สีหน้าก็ง้ำงอลงเล็กน้อย “นายน้อย ท่านมาช้า”
ถึงซูเฉินจะเป็นนายน้อย ทว่าถังเจิ้นเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ยามสอน ชายชราไม่เกรงกลัวที่จะดุด่าว่ากล่าว ทั่วทั้งศาลาหยกพิสุทธิ์แห่งนี้ มีเพียงเขาที่กล้าต่อว่าซูเฉินว่ามาช้าได้
ซูเฉินไม่ได้ทำตัวเป็นนายน้อย ทว่าป้องมือคำนับแทน “มีเรื่องระหว่างกำลังเดินทางมา รถม้าข้าเสีย การเดินทางจึงล่าช้า”
สีหน้าของถึงเจินพลันอบอุ่นขึ้น เขาลูบหนวดตนเอง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ช่างมันเถิด มานี่เถอะ วันนี้ข้าจะสอนนายน้อยเรื่อง……”
ซูเฉินตอบ “หัวหน้าผู้จัดการร้าน อีกสองสามวันข้าจะหยุดเรียนไปเป็นการชั่วคราว”
“เพราะเหตุใด?” ถังเจิ้นจ้องเขาด้วยความงุนงง เขาแปลกใจมากกระทั่งเสียงยังเปลี่ยนไป
แท้จริงแล้วชายชราค่อนข้างชอบศิษย์นาม ซูเฉิน ของเขาคนนี้มาก
ถึงซูเฉินจะมองไม่เห็น ทว่าก็ตั้งใจเรียนและถ่อมตน แถมยังเฉลียวฉลาด สอนเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำหลายอย่างได้แล้ว หลังจากเรียนได้สี่เดือน ซูเฉินก็มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลกยุคก่อนกาล สามารถอธิบายเรื่องราวได้อย่างมีหลักการและชัดเจน ถึงไม่อาจรับการถ่ายทอดทักษะการดูสมบัติได้ อย่างน้อยก็ได้รับถ่ายทอดความรู้ของเขาไปเยอะมากทีเดียว สำหรับคนชั้นเจ้านายแล้ว ความรู้สำคัญกว่าทักษะ ดังนั้นเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ถังเจิ้นจึงเริ่มมองซูเฉินเป็นศิษย์ที่เขาจะถ่ายทอดวิชาที่เขาศึกษามาชั่วชีวิตให้
แล้วตอนนี้ศิษย์คนโปรดกลับบอกว่าจะไม่เรียนแล้ว เขาจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
ซูเฉินเล่าเรื่งราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดให้เขาฟัง
เมื่อได้ยินว่าซูเฉินตีซูเยว่อย่างหนัก แถมยังทำโม่ต้าเหยียนพิการ แล้วยังเรื่องที่ซูเฉินเอ่ยถึงเรื่องบทลงทัณฑ์สีเลือดขึ้นมาด้วยความสมัครใจแล้ว เรื่องมากมายเหล่านี้ถึงกับทำให้ถังเจิ้นมึนงงทำตัวไม่ถูก
“ดังนั้นผู้จัดการร้าน ข้าจึงสามารถมาร่ำเรียนกับท่านได้อีกแค่สามวันเท่านั้น ในสามวันนี้ ข้าอยากเรียนรู้อย่างถี่ถ้วนว่าจะสามารถมองสิ่งรอบข้างอย่างไร ไม่เพียงแต่เรื่องของโบราณเท่านั้น ข้าอยากรู้ถึงความแตกต่างระหว่างพืชผักธรรมดาและสมุนไพร”
ในเมื่อเขากำลังจะเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินจึงจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์และสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเพื่อใช้ในการเอาชีวิตรอด โชคดีที่ศาลาหยกพิสุทธิ์เองรับซื้อสมุนไพรหายากด้วย แถมผู้จัดการถังยังมีประสบการณ์โชกโชนทางด้านนี้อีกด้วย
ทว่าถังเจิ้นกลับไม่ตื่นเต้นที่จะสอนเรื่องพวกนี้ให้กับเขา “เจ้ามองไม่เห็น ข้าจะสอนเจ้าอย่างไร?”
ซูเฉินหัวเราะ จากนั้นหันและเดินไปยังชั้นวางของที่เต็มไปด้วยของโบราณ เขาหยิบหยกโบราณชิ้นหนึ่งด้านหลังเขาออกมา “นี่คงเป็นหยกสามสีลายวัวใช่หรือไม่? ผู้จัดการร้านเคยสอนว่ามันมีเนื้อมันเงาแวววาว ดูโปร่งแสง ทว่าขุ่นเล็กน้อย ทว่าข้าไม่เคยเข้าใจว่าเนื้อมันแวววาวดูโปร่งแสงทว่าขุ่นเล็กน้อยเป็นอย่างไร……. แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
ถังเจิ้นตะลึงงันไปในทันที
ชายชรามองซูเฉินด้วยความตกตะลึง “นายน้อย ท่าน……”
ซูเฉินหันหน้ากลับมามองถังเจิ้น นัยน์ตาไร้ชีวิตเมื่อครู่กลับฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาขึ้น พวกมันทั้งสดใสและเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย
ถังเจิ้นรับรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาวิ่งเข้าไปกอดซูเฉินก่อนตะโกนเสียงดัง “ตาของท่าน……”
“ชู่ววว!” ซูเฉินใช้นิ้วปิดปากถังเจิ้นไว้ “ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ยกเว้นท่าน”
“นายน้อยไม่อยากบอกคนอื่นหรือ?” ในที่สุดถังเจิ้นก็หายตกใจแล้วถามเขากลับ จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเล่า?”
ซูเฉินยิ้มบาง “เพราะข้าค้นพบว่า บางครั้งการที่คนเราตาบอด กลับมองเห็นอะไรได้มากกว่าตอนที่ตายังมองเห็นชัด