บทที่ 523 กลุ่มคนหน้าตาดีขั้นเทพ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 523 กลุ่มคนหน้าตาดีขั้นเทพ! Ink Stone_Fantasy

การที่ศิษย์ร้อยคนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐได้ แปลว่าพวกเขาแข็งแกร่งกว่าใครหลายๆ คนทั้งในด้านจิตใจและอารมณ์ ไม่มีใครฟูมฟายเรื่องความตายของฟางมู่ ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดีกับภารกิจในครั้งนี้ การจากไปของฟางมู่เป็นเครื่องเตือนใจให้พวกเขาระวังตัวมากขึ้นไปอีก

แม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไร เขาไม่ได้รู้จักฟางมู่ดีขนาดนั้น ทั้งยังพบเจอความตายมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้ชายหนุ่มจะยังไม่ตายด้าน แต่ก็เข้าใจดีว่าความตายคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้บนเส้นทางของการฝึกตน

เส้นทางแห่งการฝึกตนนั้นยาวไกลและเต็มไปด้วยขวากหนาม ความตายย่อมมาเยือนไม่ช้าก็เร็ว ในเมื่อหวังเป่าเล่อเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองแล้ว เขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะปลงกับธรรมชาติของทางที่ตนเองก้าวเดิน

แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่ได้รับผลกระทบจากความตายของฟางมู่ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น

หากคนที่เสียชีวิตในคราวนี้เป็นจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง หรือแม้กระทั่งกงเต๋า หวังเป่าเล่อคงโศกเศร้ามากกว่านี้หลายเท่า ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงส่งข้อความแยกไปหาสหายทั้งสาม เพื่อเตือนให้พวกเขาระวังตัวด้วย จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงปลอดภัยดี เนื่องจากไม่ได้ออกจากเกาะที่ตัวเองถูกส่งไปประจำการเลย แต่กงเต๋ากำลังออกปฏิบัติภารกิจกับผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เขาผูกมิตรด้วย เมื่อได้รับข้อความของหวังเป่าเล่อ กงเต๋าก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีก

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กังวลเรื่องกงเต๋ามากนัก เนื่องจากรู้ดีว่าชายหนุ่มเกิดในทะเลอสูร และยังไปใช้ชีวิตอยู่ที่ดาวอังคารตั้งแต่เมื่อยังเป็นเด็กไม่ประสา และรอดชีวิตมาได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง กงเต๋ามีสัญชาตญาณและความสามารถในการเอาตัวรอดที่คนอื่นไม่มี นอกจากนี้ยังเป็นคนอำมหิต ที่ก่อนหน้านี้ความโหดเหี้ยมของกงเต๋าดูไม่โดดเด่นเป็นเพราะถูกหวังเป่าเล่อบดบังเท่านั้นเอง

ความจริงแล้วหวังเป่าเล่อประเมินไว้ว่า ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่จะบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในคนต่อไป น่าจะเป็นกงเต๋า หรือไม่ก็เจ้าเยี่ยเหมิง!

ในที่สุดจิตใจของชายหนุ่มก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง หลังจากแจ้งข่าวเรื่องการจากไปของฟางมู่ให้ทุกคนทราบ เขาจัดข้าวของที่เพิ่งได้มาให้เข้าที่ ใจไม่วายวนเวียนกลับไปหาตราประจำตัวสีม่วงที่ได้เห็นก่อนหน้าในถ้ำบนยอดเขาต้องสาป

ตราประจำตัวของศิษย์สืบทอด มูลค่าสองหมื่นแต้มการรบ! ความปรารถนาและความโลภเข้าเกาะกุมจิตใจของเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มคิดอยู่นาน นับแต้มเกือบแปดพันแต้มที่ตนเองมีอยู่ในตอนนี้ ดวงตาแรงกล้าด้วยความมุ่งมั่น

ข้าต้องออกไปทำภารกิจอีกครั้ง ยังยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องนำโอสถเยียวยาติดตัวไปเยอะๆ! เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็หยิบตราประจำตัวที่เขาสะสมเอาไว้ออกมา แววตาเป็นประกาย เขาติดต่อหาเซี่ยไห่หยางเพื่อสอบถามราคาโอสถเยียวยา ก่อนจะวนเข้าเรื่องการนำตราประจำตัวไปขึ้นเงิน

“ตราประจำตัวน่ะหรือ หากเป็นตราของศิษย์สืบทอด ทางสำนักจะต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นของศิษย์สำนักนอกก็ไม่มีใครสนใจหรอก ข้าจำได้ว่าจำนวนสูงสุดที่มีคนเคยส่งมอบนั้นมากกว่าแปดสิบตราเลยทีเดียว

“และสำนักจะต้องใส่ใจแน่ หากมีใครส่งมอบตราของศิษย์สำนักในเกินสิบตรา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมักส่งแยกเป็นรอบๆ เอา เพื่อให้ไม่เกิดเรื่อง นั่นเพราะ… ทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ด้วยกันทั้งนั้น”

เซี่ยไห่หยางเป็นพ่อค้าที่มีจิตหยั่งรู้แม่นยำราวเทพเจ้า เขาเดาได้ทันทีเมื่อหวังเป่าเล่อถามเรื่องนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่ตนเองเคยทำงานร่วมกับหวังเป่าเล่อมามากมาย และตัดสินใจบอกสิ่งที่ตนเองรู้กับอีกฝ่าย

ท้ายที่สุดแล้ว เซี่ยไห่หยางก็หัวเราะออกมา ก่อนเสนอให้หวังเป่าเล่อนำตราประจำตัวที่หามาได้มาแลกโอสถและสิ่งอื่นๆ ที่มูลค่าพอกันได้ที่เขา เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ

หวังเป่าเล่อวางสายหลังจากที่ได้ยินข้อเสนอนั้น ก่อนโทรหาอวิ๋นเพียวจื่อต่อหลังจากนั่งคิดอยู่สักพัก อวิ๋นเพียวจื่อรู้สึกเหมือนตนเองยังติดหนี้หวังเป่าเล่ออยู่ จึงบอกข้อมูลที่ตนรู้ให้ชายหนุ่มฟังเช่นกัน ข้อมูลนั้นตรงกับสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดไม่มีผิด

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเบาใจลง เขาลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากถ้ำที่พักของตนเอง มุ่งหน้าไปยังแผ่นหินรับภารกิจบนเกาะสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง เพื่อนำตราประจำตัวไปแลกแต้ม

ลานรับภารกิจยังคลาคล่ำด้วยผู้คนเหมือนเช่นเคย สำนักวังเต๋าไพศาลจัดการออกแบบวิธีการแลกแต้มให้มีความเป็นส่วนตัวสูงสุด ไม่มีใครรู้ว่าผู้อื่นแลกแต้มการรบไปเท่าใดนอกจากผู้ที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง

หวังเป่าเล่อรออยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปแลกตราประจำตัวศิษย์สำนักนอกสิบห้าตรา เป็นแต้มหนึ่งพันห้าร้อยแต้ม หลังจากรออีกสักพัก เขาก็เดินเข้าไปแลกอีกสิบห้าตรา และได้แต้มการรบสามพันแต้มมาครองในที่สุด ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปแลกต่อ แต่ออกมาเสียก่อนพร้อมส่งข้อความไปขอบคุณเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อแลกตราที่เหลือเป็นโอสถจำนวนมากกับเซี่ยไห่หยาง รวมถึงตราประจำตัวของศิษย์สำนักในด้วย

หวังเป่าเล่าแลกเปลี่ยนไปราวสองพันแต้มกับการนี้ ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่มีมูลค่ามากสำหรับเซี่ยไห่หยาง ด้วยเหตุนี้เซี่ยไห่หยางจึงใจดีกับหวังเป่าเล่อเป็นพิเศษ และยังมอบส่วนลดให้ด้วย

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ หวังเป่าเล่อมีแต้มการรบเหลืออยู่มากกว่าหมื่นแต้ม แถมมีสิ่งของอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เอาไปแลกด้วย นอกจากนี้เขายังมีเรือวิญญาณที่กำลังเอาออกขายทอดตลาด อวิ๋นเพียวจื่อบอกชายหนุ่มว่าขณะนี้กำลังปิดการขายเรื่องเรือวิญญาณ และจะแจ้งผลให้เขาทราบในเร็ววัน

หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมากกับสินทรัพย์ที่ตนเองมีหลังจากที่คำนวณทุกสิ่งเสร็จเรียบร้อย

ข้ารวยเอาเรื่องโดยไม่รู้ตัวเลยนะนี่! หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ อารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น เขาตั้งใจว่าจะยังไม่ส่งกระบวนเวทกลับสหพันธรัฐ แต่จะหาแต้มการรบให้ได้มากกว่านี้ก่อน และส่งทั้งหมดกลับไปในคราวเดียว วิธีการนี้น่าจะทำให้สหพันธรัฐทึ่งกับความยอดเยี่ยมของเขามากกว่า

แรงกระเพื่อมทางสังคมนี้จะช่วยปูทางให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นประธานสหพันธรัฐคนใหม่ได้ง่ายขึ้น

*ดูเหมือนข้าจะต้องกลับไปเยี่ยมตัวกระบี่อีกแล้ว เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตั้งตัวได้!*หวังเป่าเล่อยืนยันกับตนเอง ก่อนหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา ตั้งใจว่าจะหาสมาชิกร่วมการเดินทางเพิ่ม

ชายหนุ่มรู้ดีว่าลำพังตัวเขาคนเดียวไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ เขาต้องร่วมมือกับสหายที่ไว้ใจได้ และมีความสามารถมากพอ จึงจะได้ผลตอบแทนมากที่สุดจากดินแดนบริเวณตัวกระบี่ที่อันตรายยิ่ง!

เขาไม่ต้องนั่งคิดเลยว่าใครที่ทั้งไว้ใจได้และมีความสามารถ ชายหนุ่มโทรหาเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นคนแรกในทันที

เจ้าเยี่ยเหมิงตีตนออกห่างหวังเป่าเล่อตั้งแต่เจอกันบนดาวพุธ แต่นางก็ยังต้านทานความเซ้าซี้ของชายหนุ่มไม่ไหว หวังเป่าเล่อเล่าเรื่องขุมทรัพย์ที่เขาไปเจอมาที่ตัวกระบี่ รวมถึงเรื่องถ้ำที่พักบนยอดเขาให้นางฟัง แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะเป็นคนใจเย็นเหมือนน้ำแข็ง แต่ก็ยังแสดงความตื่นเต้นออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง

“ถ้ำที่พักของศิษย์สืบทอดที่ยังไม่เคยมีใครเจอมาก่อนหรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงคงไม่เชื่อแน่นอนหากคนที่นำข่าวมาบอกนางเป็นคนอื่น แต่นี่เป็นหวังเป่าเล่อ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก นางก็ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกลุ่มทำภารกิจกับเขา

คำสาปนั้นเป็นวงแหวนปราณชนิดหนึ่ง พรสวรรค์ด้านวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงน่าจะช่วยในการทลายคำสาปได้มาก ข้ายังต้องการคนมาช่วยระวังหลังอีกหนึ่งคน… หวังเป่าเล่อโทรหาจั่วอี้ฟานในทันที แม้เขาจะรู้ว่าพลังปราณของจั่วอี้ฟานยังแข็งแกร่งไม่พอ แต่ความเชื่อใจได้สำคัญกว่าขั้นปราณมากนัก

จั่วอี้ฟานตอบรับข้อเสนอของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย พวกเขาตกลงเวลาที่จะนัดเจอกัน หลังจากคิดอยู่อีกสักพัก หวังเป่าเล่อก็ติดต่อกงเต๋าไปด้วยเช่นกัน

ทว่าน่าเสียดายที่กงเต๋าอยู่นอกพื้นที่รับสัญญาณของเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ จึงทำให้เขาติดต่อชายหนุ่มไม่ได้ ดูเหมือนว่าพิกัดที่กงเต๋าอยู่ในปัจจุบันจะห่างจากหวังเป่าเล่อมาก

ช่วยไม่ได้ สามคนก็เพียงพอแล้ว! หวังเป่าเล่อวางแผ่นหยกสื่อสารลง เขาคิดอยู่อีกสักพักก่อนจะโอนแต้มการรบสองพันแต้มให้เจ้าเยี่ยเหมิง

“เยี่ยเหมิง เราต้องแก้ปัญหาเรื่องวงแหวนปราณกัน เจ้าช่วยไปหาข้อมูลและเตรียมสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มาได้หรือไม่”

เจ้าเยี่ยเหมิงใช้แต้มการรบที่ได้มาอย่างไม่ออมมือ นางเริ่มตระเตรียมสิ่งที่ต้องทำในทันที หวังเป่าเล่อไม่ได้ส่งแต้มการรบให้จั่วอี้ฟาน แต่ส่งโอสถที่ตนเองหามาได้ไปให้แทน เขาบอกจั่วอี้ฟานว่าโอสถแต่ละชนิดเอาไว้ทำอะไรบ้าง ก่อนกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว เพื่อเฝ้ารอวันที่พวกเขานัดออกเดินทางกัน

ไม่นานนักห้าวันก็ผ่านไป วันที่พวกเขาต้องมาพบกันก็มาถึง ในห้าวันที่ผ่านมานี้ หวังเป่าเล่อฝึกปราณอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายและพลังปราณของตนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้เขายังคำนวณแต้มการรบทั้งหมดที่ตนเองใช้ในการปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย

ค่าโอสถสองพันแต้ม และค่าเตรียมตัวของเจ้าเยี่ยเหมิงอีกสองพันแต้ม นอกจากนี้ยังมีค่าเคลื่อนย้ายอีกสามพันแต้มสำหรับสามคน รวมแล้วเขาใช้แต้มการรบไปทั้งหมดเจ็ดพันแต้มเพื่อการนี้!

แต่ก็คุ้มค่า เพราะแค่ตราประจำตัวของศิษย์สืบทอดก็มูลค่าสองหมื่นแล้ว นี่ยังไม่รวมสิ่งของอื่นๆ ในถ้ำอีก หวังว่า… ยอดเขาแห่งนั้นจะยังไม่ย้ายที่ไปไหนนะ หวังเป่าเล่อคิดอย่างกระวนกระวาย เขาค้นคว้าหาข้อมูลมากมายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงบริเวณตัวกระบี่อาจเกิดขึ้นภายในสามถึงห้าวัน หรืออาจเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปหลายเดือนก็ได้เช่นกัน

แม้ชายหนุ่มจะนั่งไม่ติด แต่ก็รู้ดีว่ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดทนรออย่างใจเย็น จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างคนต่างเดินทางมาถึงเกาะเพลิงเขียวในเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสามไม่พูดพร่ำทำเพลง พลันพุ่งทะยานออกไปยังจุดเคลื่อนย้ายที่ใกล้ที่สุดทันที

หวังเป่าเล่อจำทางได้ขึ้นใจ เขาเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นอีก ระหว่างทางชายหนุ่มเล่าสิ่งที่ตนเองประสบมาให้เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานฟัง ทั้งสองตกใจมากกับเรื่องที่ได้ยิน และเข้าใจอุปนิสัยความกล้าได้กล้าเสียรวมถึงความใจเด็ดของหวังเป่าเล่อมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังเข้าใจสภาพภูมิประเทศของตัวกระบี่มากขึ้น เนื่องจากทั้งสองไม่เคยไปเยือนมาก่อน

ทั้งสามพูดคุยกันไปตลอดทาง หลังจากที่ผ่านการเคลื่อนย้ายมาครบห้ารอบ พวกเขาก็มาถึง… ชั้นป้องกันที่เชื่อมระหว่างด้ามกระบี่และตัวกระบี่ไว้!

“มาถึงแล้ว ถ้าจะเข้าไปยังตัวกระบี่ต้องเข้าทางนี้ ยอดเขาที่ข้าเจอมาอยู่ห่างไปราวยี่สิบกิโลเมตร หวังว่าจะไม่มีใครมาเจอเราเข้า และยอดเขานั้นจะยังไม่ย้ายที่ไปไหน ไม่เช่นนั้นเราคงต้องออกตามหากันใหม่อีกรอบ!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา จ้องมองไปยังชั้นป้องกันที่กั้นเขตแดนทั้งสองส่วนออกจากกัน

เส้นเขตแดนนั้นดูเหมือนเหวลึกเมื่อมองจากระยะไกล เหวที่ว่าทอดยาวเป็นแนวไปจรดขอบฟ้า ชั้นป้องกันตั้งตระหง่านอยู่เหนือเหว โดยจะเดินเข้าฝั่งตัวกระบี่จากจุดใดของชั้นป้องกันก็ได้ ทำให้หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกกังวลมากนัก หากมีใครรู้ว่าพวกเขาเข้าไปในตัวกระบี่