บทที่ 28 Ink Stone_Romance
“นี่มัน… อะไรกัน”
ทำไมปากกานี่ยังอยู่ในมือฉันอีก แล้วทำไมจดหมายถึงได้กลับมาอยู่บนโต๊ะอีกล่ะ เมื่อกี้หล่อนเอามันไปแล้วไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นทำไมฉันถึงยังเขียนเรื่องเดิมอยู่อีกล่ะ
เธอมองตรงไปที่เจสซี่พร้อมกับคำถามมากมาย แต่หล่อนก็ไม่สามารถตอบอะไรกลับมาได้อยู่ดี หล่อนเพียงแค่แสดงสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายของตนถึงได้พูดแบบนั้นออกมาอย่างกะทันหันเท่านั้น
ปัง อาเรียวางปากกาลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะโบกมือไปทางเจสซี่พร้อมกับสั่งให้หล่อนออกไป
“เธอรีบไปส่งของแล้วรีบกลับมาล่ะ”
“…แต่ แต่ว่าเลดี้ต้องให้จดหมายดิฉันก่อนนี่คะ”
“ก็เธอเอาจดหมายไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
“…ยัง ยังไม่ได้เอาไปเลยค่ะ”
เจสซี่สะดุ้งเล็กน้อยจากปฏิกิริยาดุดันของอาเรียแต่ก็ตอบออกไป หล่อนคงกำลังย้อนนึกถึงเธอในอดีตที่มักคอยจับผิดและมีแต่ความชั่วร้าย
“…เจสซี่”
แววตาของอาเรียคมกริบยิ่งกว่าเดิม หากหล่อนยังเถียงอะไรกลับไป เห็นทีจะโดนของเขวี้ยงใส่แน่
จริงอยู่ที่อาเรียในตอนนี้ไม่มีความคิดจะทำเช่นนั้น แต่จากมุมมองของเจสซี่แล้ว มันก็เป็นไปได้หากเธอจะทำ
แต่หล่อนก็ไม่อาจออกไปทั้งอย่างนี้ได้ ดังนั้นหล่อนจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วเอ่ยปากออกไปอีกครั้ง
“ขอ ขอโทษค่ะ เลดี้… แต่เลดี้ต้องเขียนจดหมายให้ก่อน ดิฉันจึงจะส่งของได้ค่ะ”
ทั้งที่ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับมีอาการหลงลืมเสียแล้วหรือ อาเรียถอนหายใจแล้วถือปากกาขนนกไว้ในมืออีกครั้ง
แม้ในอดีตจะเป็นอย่างนั้นแต่เจสซี่ก็เลือกที่จะดื้อดึงขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงจำต้องพูดกับเด็กนิสัยเสียโดยเนื้อแท้อย่างอาเรียทั้งที่ตัวสั่นระริก
“เฮ้อ… เข้าใจแล้ว”
วันนี้ไม่เพียงพอให้เธอได้สำราญใจกับชัยชนะ เธอจะคิดเสียว่าจู่ๆ เจสซี่ก็เป็นบ้าขึ้นมาเฉยๆ เพราะเธอเองก็ไม่อยากมาอารมณ์เสียด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้
ไม่นานหลังจากนั้น เจสซี่ก็เข้ามาปิดผนึกจดหมายแล้วแนบไปพร้อมกับของขวัญด้วยใบหน้าซีดเผือด ก่อนที่จะรีบร้อนออกจากห้องของอาเรียไป
หลังจากหล่อนออกไป อาเรียถึงได้เห็นว่าทรายเม็ดสุดท้ายในนาฬิกาทรายเพิ่งจะร่วงผ่านไป มันไม่ได้มีอะไรผิดปกติไปเลยสักนิด
เธอไม่ชอบให้บนโต๊ะสกปรกเลอะเทอะ จึงจัดของทุกอย่างไปด้านข้าง แต่แล้วเธอกลับคิดว่ามันมีบางอย่างที่น่าสงสัย
‘ว่าแต่ ทำไมกระดาษถึงต้องมีตั้งสี่แผ่นด้วย’
เจสซี่เอาไปแล้วแต่กลับยืนยันหนักแน่นว่ายังไม่ได้เอาไป เธอจึงใช้ไปทั้งหมดสองแผ่น เพราะฉะนั้นมันจะต้องเหลือกระดาษอยู่สามแผ่นสิ ในเมื่อเธอเขียนจดหมายไปสองครั้ง แต่ไม่ว่าจะนับกี่ครั้งมันก็ยังมีสี่แผ่นอยู่ดี
‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้’
เธอนิ่งคิดไปสักพักแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่ไม่นานเธอก็ได้ข้อสรุปว่า ‘หรือฉันจะนับกระดาษจดหมายผิดมาตั้งแต่แรกแล้วกันแน่’
‘…มีแค่เหตุผลนี้เท่านั้นที่พอจะเป็นไปได้’
แต่มันก็ยังมีอีกเรื่องที่แปลกอยู่ดี นั่นคือเมื่อก่อนหน้านี้เจสซี่ได้ห่อเข็มขัดออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อกี้หล่อนกลับหยิบเข็มกลัดที่เธอเก็บไว้ในตู้ลิ้นชักออกไปอีกครั้ง
แปลกมากจริงๆ หรือหล่อนเอามาใส่ไว้ในลิ้นชักอีกรอบระหว่างที่เธอไม่ได้มองกัน
ทั้งที่กล่องใส่ของขวัญถูกเตรียมเอาไว้แค่กล่องเดียว แต่เธอเห็นเต็มสองตาว่าหล่อนมาห่อมันออกไปถึงสองครั้งด้วยกัน แม้เธอจะไม่เห็นตอนที่หล่อนเอามันกลับเข้ามาก็ตาม
‘…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’
หรือมีผีสางนางไม้ที่ไหนออกมาหลอกกัน ในสมองของเธอมีแต่ความสับสนเพราะมีแต่เรื่องไม่เข้าใจเกิดขึ้นมาเต็มไปหมด
‘นี่ตกลงเจสซี่บ้าหรือเป็นที่ฉันกันแน่’
มีแต่เรื่องแปลกๆ ทั้งนั้น แต่เธอจะคิดเสียว่ามันเป็นเรื่องที่เธอคิดไปเองเพราะความเหนื่อยล้าก็แล้วกัน ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ สติของเธอเริ่มรางเลือน ตาเธอปิดลงก่อนจะหาวตามออกมา
‘ที่เป็นแบบนั้นคงเพราะฉันเพลียสินะ ฉันควรจะพักเสียหน่อย’
หลังจากนี้ไม่มีกำหนดการสำคัญอะไรอีกแล้ว อาจารย์ประจำตระกูลก็ไม่ได้มา ดังนั้นเธอยังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น
หากเงียบหลับไปสักพักก็คงจะไม่เป็นไร คิดได้ดังนั้น อาเรียก็เอนตัวลงนอนบนเตียงนุ่มโดยไม่ได้เปลี่ยนชุด
อาเรียหลับตาลงก่อนจะจมดิ่งลงสู่นิทราอย่างไม่รู้สติเพราะความง่วงที่สาดซัดเข้ามา
* * *
วันต่อมา กว่าอาเรียลืมตาขึ้นมาตะวันก็เกือบตรงหัวพอดี ตอนเจสซี่มาเรียกไปทานมื้อเช้านั้นเธอลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ เธอเพิ่งจะมาตั้งสติได้เมื่อเกือบเที่ยงนี้เอง
“เลดี้ไม่ได้ป่วยตรงไหนใช่ไหมคะ ให้ดิฉันเรียกหมอดีไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ป่วย”
เจสซี่ยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินอาเรียพูดว่าเธอจะไม่ทานมื้อเช้าและขอทานมื้อเที่ยงง่ายๆ ที่ห้องแทน
แต่อาเรียเพียงแค่ไม่อยากทานอะไรเพราะหลับไปเป็นเวลานานเท่านั้น ไม่ได้เป็นอะไรตามที่หล่อนกังวลเลย พอได้ดื่มน้ำผลไม้ให้ชื่นใจสักแก้ว เธอค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“นี่ฉันหลับไปนานขนาดนี้ได้ยังไง”
“เมื่อวานดิฉันคอยมาเรียกเลดี้ตลอด แต่เลดี้ก็ไม่ตอบอะไรเลยค่ะ ดิฉันคิดว่าเลดี้น่าจะไม่สบายเลยเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต แต่เลดี้หลับสนิทมาก ดิฉันขยับตัวปลุกก็ยังไม่ตื่นเลยค่ะ”
“ฉันแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ทำไมถึงเพลียได้ขนาดนั้นนะ”
“ตอนนี้เลดี้อยากให้ดิฉันเรียกหมอไหมคะ”
เจสซี่ถามอย่างเป็นห่วง แต่อาเรียกลับส่ายหน้าปฏิเสธไปเพราะเธอไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำถึงขนาดนั้น แล้วเธอเองก็ไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหนด้วย ร่างกายเธอไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากปกติ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ป่วย
เมื่อเธอดื่มน้ำผลไม้อึกสุดท้ายจนหมดแก้ว เจสซี่ก็รีบแนะนำของว่างให้เธอทันที
“รับของว่างหน่อยไหมคะ”
“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร”
“ค่ะ เลดี้ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขออนุญาตเก็บนะคะ”
เจสซี่ออกจากห้องไปหลังจากเก็บชามเปล่าเรียบร้อยแล้ว
เธอมองตามหลังหล่อนไปจนไปสะดุดตากับนาฬิกาทรายที่วางอยู่บนมุมหนึ่งของโต๊ะ หลังจากตรวจสอบดูจนแน่ใจว่าไม่มีตรงไหนผิดปกติแล้ว เธอก็ผล็อยหลับไปทั้งที่ลืมเก็บมันจนมันถูกวางทิ้งไว้อย่างนั้น
หลังจากจัดการมื้ออาหารที่ช้ากว่าเวลาปกติเรียบร้อยแล้ว เธอกลับรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอหยิบนาฬิกาทรายมาพลิกกลับหัวโดยไม่ได้คิดอะไร
พรึ่บ ระหว่างที่เธอกำลังเอามือเท้าคางมองเม็ดทรายที่ร่วงหล่นลงมาเบื้องล่างพร้อมกับเสียงเบาๆ ของมันอยู่นั้น จู่ๆ เธอกลับได้ยินเสียงของเจสซี่ดังขึ้นมา
“เมื่อวานดิฉันคอยมาเรียกเลดี้ตลอด แต่เลดี้ก็ไม่ตอบอะไรเลยค่ะ ดิฉันคิดว่าเลดี้น่าจะไม่สบายเลยเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต แต่เลดี้หลับสนิทมาก ดิฉันขยับตัวปลุกก็ยังไม่ตื่นเลยค่ะ”
“…อะไรนะ”
เธอมองหล่อนที่กำลังพูดประโยคที่เพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ จากนั้นเจสซี่ก็ถามกลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ให้ดิฉันเรียกหมอดีไหมคะ”
“ไม่…”
ทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้อีกแล้วล่ะ
เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดหล่อนจึงมาอยู่ในห้องเธออีก ในเมื่อหล่อนก็เก็บจานชามทั้งหลายออกไปหมดแล้ว แต่จานชามพวกนั้นกลับวางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ ย้อนกลับไปอยู่ในสภาพเดิมก่อนจะถูกเก็บ
“เธอบอกจะเก็บชามพวกนี้ไปไม่ใช่เหรอ”
“อะไรนะคะ เปล่านี่คะ เลดี้ยังไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้เลยด้วยซ้ำไปค่ะ หรือจะให้ดิฉันเก็บกลับไปดีคะ”
เจสซี่ถามกลับไปอย่างงุนงง
นี่เธอยังดื่มน้ำผลไม้ไม่หมดอีกอย่างนั้นหรือ แต่เมื่อกี้เธอได้ยินชัดเจนว่าหล่อนจะไปเอาของว่างมาให้หลังจากเธอดื่มหมดนี่นา
เมื่อลดสายตาลงมอง เธอถึงได้เห็นว่าแก้วน้ำผลไม้ที่เธอดื่มจนหมดเกลี้ยงไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับยังมีน้ำเหลืออยู่อีก
และหล่อนก็ไม่มีทางมาเติมให้เธอในระยะเวลาสั้นๆ นี้ได้แน่ เธอไม่เห็นว่าจานชามจะถูกจัดวางให้เป็นระเบียบด้วยซ้ำ ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้แน่ นี่มันเรื่องอะไรกัน…
‘หรือว่า…!’
เธอย้อนอดีตกลับมาแม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ก็เถอะ
เธอไม่ได้คิดไปเอง ถ้าในแก้วน้ำไม่มีอะไรอยู่ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่แม้แต่สิ่งที่เธอดื่มไปแล้วยังกลับไปอยู่ในสภาพเดิมก็คงไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว
หรือจะเหมือนเรื่องเมื่อวานกันนะ เพราะแบบนี้หรือเปล่าจดหมายนั่นถึงกลับไปอยู่ในสภาพที่มีแต่ชื่อของออสการ์เขียนอยู่อีกครั้ง ทั้งที่เธอเขียนจดหมายและส่งให้เจสซี่ไปเรียบร้อยแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เธอก็ไม่อาจหยุดความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเหล่านั้นได้เช่นกัน
‘ว่าแต่อะไรล่ะที่เป็นต้นเหตุ…’
เธอพยายามนึกย้อนความทรงจำทั้งของเมื่อวานและวันนี้ มันจะต้องมีมูลเหตุบางอย่างแน่ เรื่องพวกนี้ถึงเกิดขึ้นมาได้
เธอกำลังทำอะไรอยู่กันนะก่อนที่เรื่องแปลกประหลาดพวกนี้จะเกิดขึ้น เธอได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเพราะเธอจำไม่ได้เลยว่าเธอได้ทำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
“คือว่า… เลดี้คะ”
“…”
อาเรียมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองสีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่แม้แต่จะตอบคำถามของเจสซี่ที่ถามว่าหล่อนสามารถเก็บสำรับเหล่านี้ไปได้หรือยังด้วยซ้ำ
เจสซี่ที่กำลังสับสนว่าตนควรจะทำอย่างไรดีได้แต่หันมองไปรอบห้อง ก่อนจะตัดสินใจว่าหล่อนจะรอจนกว่าอาเรียจะคิดเสร็จแล้วค่อยจัดการกับห้องรกๆ นี่
เมื่อวานอาเรียเข้านอนเร็วกว่าปกติ หล่อนจึงยังไม่ได้เก็บห้องทำให้มันเริ่มรกขึ้นมาเล็กน้อย
เธอทานเกือบจะเสร็จแล้วแต่ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งให้เก็บสำรับ หล่อนจึงเริ่มเก็บกระดาษจดหมาย ปากกาขนนก และหมึกให้เรียบร้อยเสียก่อน สุดท้ายเธอกำลังจะหยิบนาฬิกาทรายเพราะตั้งใจจะเก็บมันลงกล่อง
ทันใดนั้นอาเรียที่กำลังมองตามหล่อนอยู่ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วชี้นิ้วไปทางเจสซี่ก่อนจะกรีดร้องออกมา
“นาฬิกาทราย!”
“…คะ!”
หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเธอไม่ได้ชี้เจสซี่แต่เป็นนาฬิกาทรายที่หล่อนกำลังจะหยิบต่างหาก
เจสซี่ตกใจจนหลายหลังล้มก้นจ้ำเบ้า ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่หล่อนไม่ได้ถือนาฬิกาทรายอยู่ด้วย คนที่บาดเจ็บจึงมีแค่หล่อนคนเดียว
ตอนนั้นอาเรียก็ตะโกนออกมาเสียงดังราวกับเธอหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้ว โดยไม่คิดจะสนใจหล่อนเลยสักนิด
“นาฬิกาทรายนั่นไง!”
นี่อย่างไรล่ะที่พิเศษ
เมื่อวานเธอเลื่อนกรอบรูปออกไปแล้วหยิบนาฬิกาทรายออกมาจากห้องลับและลูบมัน และทันทีที่เธอพลิกมันกลับ เจสซี่ที่ออกจากห้องไปแล้วก็กลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อถามหาจดหมาย แม้ว่าเธอจะเขียนเนื้อความทุกอย่างแล้วส่งให้หล่อนไปหมดแล้วก็ตาม
และวันนี้เธอก็ยังพลิกเจ้านาฬิกาทรายที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะนี่อีก ทันใดนั้นเจสซี่ก็ปรากฏตัวขึ้นมา หล่อนพูดคำเดิมๆ ซ้ำอีกครั้ง อีกทั้งน้ำผลไม้ที่เธอดื่มจนเกลี้ยงยังถูกเติมจนเต็มอีก
สายตาของอาเรียจดจ้องไปที่นาฬิกาทรายในทันที เจ้าสิ่งนั้นที่กำลังปล่อยเม็ดทรายให้ร่วงหล่นลงมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นดูแตกต่างไปจากเมื่อครู่นี้เล็กน้อย
ภาพของมันที่กำลังสะท้อนกับแสงจนเป็นประกายวาววับ ช่างดูลึกลับและงดงามเหลือเกิน
“เป็นไปได้ยังไง!”
เธออุทานออกมาเสียงดัง คราวนี้กลายเป็นเจสซี่บ้างที่ต้องมองอาเรียอย่างสับสนเมื่อเธอยื่นมือของตนมาให้หล่อนจับทั้งยังหัวเราะคิกคักอีกต่างหาก
‘เลดี้ไม่เป็นไรจริงๆ น่ะหรือ นี่ฉันไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาจริงๆ ใช่ไหม’ หล่อนมีแต่คำถามเต็มไปหมด
และจู่ๆ อาเรียก็พูดเรื่องไร้สาระออกมา ราวกับต้องการจะเพิ่มความสงสัยให้หล่อนมากขึ้นไปอีก
“เจสซี่ ดูเหมือนพระเจ้าจะรักฉันน่าดูเลยล่ะ”
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางมอบของวิเศษแบบนี้มาให้เธอ ทั้งที่คืนชีวิตมาให้เธอแล้วอย่างนี้หรอก!
ไม่สิ บางทีท่านอาจจะมอบบุญคุณนี้มาเพื่อให้เธอลงทัณฑ์นางมารร้ายแสนอัปลักษณ์นั่นในนามของท่านก็ได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม มันก็คือพรและปาฏิหาริย์สำหรับอาเรียอยู่ดี
“เพราะฉะนั้นฉันก็ควรจะสนองตอบความคาดหวังนั้นสินะ”
พรึ่บ เมื่อเห็นว่าเม็ดทรายทุกเม็ดหล่นลงสู่เบื้องล่างหมดแล้วเธอก็พลิกนาฬิกาทรายกลับไปอีกครั้ง
คราวนี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียที่เผชิญกับใบหน้าที่ระบายไปด้วยความกังวลของเจสซี่กลับเผยยิ้มกว้างและแสนสดใสไปให้หล่อน
ตอนนี้เธอพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าเจ้านาฬิกาทรายนี่มีกลไกอย่างไร
……………………….