โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.478 – ขยับขยายสู่เมือง 

 

 

 

 

 

หลังมอบตราสัญลักษณ์ สองนายพลเลเวล B ก็ไม่คิดรั้งอยู่ต่อ จากไปทันที เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปืนใหญ่ของเมืองลอยฟ้ายังคงเพ่งเล็งมาที่พวกเขา! 

 

 

 

 

 

พอทั้งสองจากไป ฉินเฟิงก็ก้มลงมองตราผู้ว่าการ ถอนหายใจเล็กน้อย 

 

 

 

 

 

ตอนนี้เขามีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล C แล้ว ทั้งยังได้รับตำแหน่งผู้การรัฐ ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบการรับรองผู้ใช้พลังเลเวล C อีกต่อไป เพราะเขามีตรานี่แล้ว 

 

 

 

 

 

เวลานี้ ในที่สุดเขาก็สามารถบรรลุเรื่องที่เกาหยูคังไหว้วานไว้ได้เสียที 

 

 

 

 

 

“ประกาศต่อสมาชิกกองทหารรับจ้างเฟิงหลีทุกคน ขอให้ทั้งหมดเดินทางไปยังเมืองนุ่ยเหมิง เพื่อเตรียมจัดพิธีศพอดีตผู้การรัฐเกาหยูคัง” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงส่งข้อความถึงทุกคน 

 

 

 

 

 

เจิ้งเฉียนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ 

 

 

 

 

 

ในที่สุด ในที่สุดวันที่เธอรอคอยก็มาถึง 

 

 

 

 

 

ดั่งที่เคยลั่นวาจาไว้ ฉินเฟิงมิได้ปล่อยให้เธอต้องรอนานเกินไป 

 

 

 

 

 

สามวันต่อมา ในเมืองนุ่ยเหมิง พิธีศพอันยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้น 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ ในเมืองนุ่ยเหมิง มีเลเวล D มาเยือนนับหลักร้อย  

 

 

 

 

 

ในจำนวนนั้น มีสมาชิกของกองทหารรับจ้างเฟิงหลีกว่า 50 คน และเจ้าเมืองของสี่เมืองทะเลเหนือ รวมไปถึงเลเวล D จากตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูง ปรากฏกายขึ้นทีละคน ทีละคนอย่างไม่คาดคิด  

 

 

 

 

 

พวกเขามาที่นี่เพื่อรับชม 

 

 

 

 

 

ร่างกายของเกาหยูคังยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หัวใจที่ถูกเจาะเป็นรูถูกบางสิ่งเติมลงไป คลุมทับด้วยเครื่องแบบทหาร ทำให้ไม่สามารถมองเห็นบาดแผลฉกรรจ์ 

 

 

 

 

 

เกาหยูคังตาย ข่าวนี้ถูกส่งกลับมาตั้งนานแล้ว แต่เนื่องจากเป็นข่าวเฉพาะระดับสูง คนส่วนมากเลยยังไม่ทราบ มีเลเวล D บางส่วนเท่านั้นที่รู้  

 

 

 

 

 

ทว่าแม้งานศพนี้ จะงดงาม อลังการเพียงใด มันก็มิอาจฉุดดึงความสนใจของผู้คน ได้เท่ากับเจ้าภาพงานศพอยู่ดี 

 

 

 

 

 

ฝูงชนต่างรับชมอย่างสงบ จนกระทั่งเผาศพเกาหยูคัง และฝังลงในดิน 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงก้าวขึ้นสู่เวที ตราผู้การรัฐเลเวล C ติดบนอกเขา สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเบื้องล่างตื่นตะลึง มิอาจละสายตา 

 

 

 

 

 

“ ผมได้รับคำสั่งจากจ้าวพรมแดนซางฮัน นายเหนือแห่งพันธมิตรมนุษยชาติทางตอนเหนือเขตหัวเซี่ย ว่านับตั้งแต่วันนี้ไป ให้เข้ารับตำแหน่งผู้การรัฐประจำสี่เมืองทะเลเหนือ … ” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงบนเวที กล่าวสุนทรพจน์อย่างเรียบง่าย แต่ทุกคนในที่นี้ ต่างตระหนักดี ว่าจากวินาทีนี้ สี่เมืองทะเลเหนือย่อมไม่พ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

 

 

 

 

 

“นั่นเขาทำได้อย่างไร? เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน? แต่กลับสามารถขึ้นถึงเลเวล C ได้แล้ว!” สีหน้าของเลเวล D ทุกคนในตระกูลโหวกลายเป็นซีดเผือด 

 

 

 

 

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องจริง นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!” สีหน้าของตระกูลตี๋ก็ไม่สู้ดีเช่นกัน เวลานี้ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ส่งสัญญาณสื่อความหมายอย่างรวดเร็ว ว่าวิกฤตเสียแล้ว จะทำอย่างไรดี 

 

 

 

 

 

นั่นเพราะตระกูลโหวและตระกูลตี๋มีข้อบาดหมางกับฉินเฟิง! 

 

 

 

 

 

แน่นอน เริ่มแรกตระกูลซงก็ทำให้ฉินเฟิงขุ่นเคืองเช่นกัน แต่อีกฝ่ายคือตระกูลผู้ฝึกวรยุทธวิถีมาร เลยถูกฉินเฟิงกำจัด กวาดล้างโดยสมบูรณ์ 

 

 

 

 

 

ตอนนี้ ฉินเฟิงไม่คิดทำลายตระกูลตี๋และตระกูลโหวก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าหากทั้งสองตระกูลคิดประจบผู้การรัฐคนใหม่ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ 

 

 

 

 

 

มีเฉพาะตระกูลหยาง ที่รู้สึกเป็นสุขกับเรื่องนี้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับฉินเฟิง เป็นไปในทิศทางที่ดี 

 

 

 

 

 

ในขณะที่เจ้าเมืองจากสี่เมืองใหญ่ ในเวลานี้ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ตอนแรกก็เกาหยูคัง มาตอนนี้เป็นฉินเฟิง ทั้งสองคนล้วนเป็นคนหนุ่มและมีความสามารถ อนาคตไร้ซึ่งขีดจำกัด ณ จุดนี้ต่อให้เป็นเลเวล C จากสี่เมืองทะเลเหนือ ก็เกรงว่าอาจไม่มีทางฉุดดึงฉินเฟิงลงจากตำแหน่งได้ 

 

 

 

 

 

เพียงแต่ในตอนเกาหยูคัง เจ้าตัวดันประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทว่าเกาหยูคังร่วมมือกับฉินเฟิงพอดี ดังนั้นฉินเฟิงเลยได้รับช่วงต่อ 

 

 

 

 

 

สุดท้าย … มันก็ยังไม่ถึงคราวเลเวล C จากเขตสี่เมืองทะเลเหนือของพวกเขา จะได้ครอบครองตำแหน่งอยู่ดี 

 

 

 

 

 

ส่วนเรื่องที่ว่าฉินเฟิงอาจบังเอิญพบเจอโชคร้ายเหมือนกับเกาหยูคัง คงไม่ต้องกล่าวถึง 

 

 

 

 

 

เพราะด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง และแต่ละสิ่งที่เด็กคนนี้ทำ ล้วนชวนให้ผู้คนตื่นตะลึง และรู้สึกว่าต่อให้พบเผชิญกับชะตาอาภัพใด พวกมันย่อมหลีกทาง! 

 

 

 

 

 

“ผู้การรัฐฉิน นี่คือหมายเลขสื่อสารของฉัน หลังจากนี้คุณสามารถติดต่อฉันได้ตลอดเวลา การรายงานจะได้ง่ายขึ้น” 

 

 

 

 

 

“ผู้การรัฐฉิน ส่วนี้เบอร์ของฉัน” 

 

 

 

 

 

“ผู้การรัฐฉิน จากนี้ไป หากมีสิ่งใดต้องการ เชิญคุณสั่งมาได้เลย!” 

 

 

 

 

 

ผู้นำจากทั้งสี่เมือง ก้าวออกมาแสดงความยินดี ขอหมายเลขติดต่อของฉินเฟิง เอ่ยปากยืนยันว่ายินดีทำงานร่วมกันในอนาคต 

 

 

 

 

 

“พูดคุณโปรดวางใจ ผมจะไม่ปฏิรูปอะไร หรือแทรกแซงผู้คนตามอำเภอใจ เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น!” ฉินเฟิงประกาศชัดเจน ว่าไม่ต้องการวุ่นวายกับเรื่องราวซับซ้อนน่าเบื่อของคนเหล่านี้ 

 

 

 

 

 

เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ฉินเฟิงต้องการพัฒนาสภาพแวดล้อมของปราการชาตงแห่งใหม่ ต้องการสร้างเมืองอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา ส่วนอีกสี่เมืองในทะเลเหนือ ไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรให้ความสนใจ 

 

 

 

 

 

“พวกคุณก็เหมือนกัน ในภายภาคหน้า หากมีเรื่องราวอะไรให้ช่วยเหลือ ขอแค่ไปหาผมที่ปราการชาตง” ฉินเฟิงสั่งการ และจากไปพร้อมกับคนของกองทหารรับจ้างเฟิงหลี 

 

 

 

 

 

เมื่อฉินเฟิงจากไป เลเวล D ที่เหลือก็เริ่มแยกย้าย เมืองนุ่ยเหมิงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

แต่ที่ไม่เงียบสงบ กลับเป็นทางปราการชาตง 

 

 

 

 

 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมของปราการชาตง เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

 

 

 

 

 

พื้นที่ของมันไม่เหลือเม็ดทรายสีเหลืองอีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี ผืนดินอุดมสมบูรณ์ อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ เหมาแก่การอยู่อาศัย 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ เหนือท้องฟ้าของชาตง เป็นเมืองลอยฟ้าลอยลำอยู่ ฝูงชนแหงนมองจากทุกทิศทาง ฉากนี้เล่นเอาบางคนถึงกับรู้สึกกดดัน 

 

 

 

 

 

และทำให้ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องในปราการชาตง 

 

 

 

 

 

เฉินเซี่ยง , เกาลี่ และคนอื่นๆติดตามฉินเฟิง ออกจากปราการไปนาน เมื่อกลับมาอีกที พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่านี่คือชาตง 

 

 

  

 

 

“ลูกพี่ ฉันคิดว่าบางทีพวกเราคงต้องเปลี่ยนชื่อที่นี่ซะแล้ว” เฉินเซี่ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพราะที่นี่ ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่เห็นว่ามีทรายอยู่เลย”  

 

 

 

 

 

“ถูกต้อง ทำไมพวกเราไม่เรียกที่นี่ว่าสถานชุมชนเฟิงหลีล่ะ! แบบนี้ฟังดูเป็นไง ให้มันกลายเป็นจุดรวมตัวของกลุ่มเรา! ถ้าใช้ชื่อชาตงต่อไปคงไม่ดี” เกาลี่ที่อยู่ข้างๆพูดบ้าง 

 

 

 

 

 

ซูซิงฝูที่เดินอยู่ข้างกายฉินเฟิง กำลังมองอีกฝ่าย ในหัวใจเกิดความคิด ว่าการกลับมาของฉินเฟิงในครั้งนี้ มีเซอร์ไพรส์ติดไม้ติดมากลับมามากมาย อีกทั้งเซอร์ไพรส์ที่ว่า ยังสามารถใช้สร้างเป็นโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย 

 

 

 

 

 

ซูซิงฝูบังเกิดความรู้สึกว่า ในอนาคตจากนี้ ทรัพสินย์และเงินทองมากมาย จะไหลบ่าเข้ามาอยู่ในอ้อมอกเขา 

 

 

 

 

 

“สหายเกาพูดแบบน้้นก็ไม่ถูก เพราะชื่อสถานชุมชนเฟิงหลีถูกจับจ้องไปแล้ว มันคือชุมชนเล็กๆแห่งแรกที่ท่านประธานเป็นคนจัดตั้งขึ้น” 

 

 

 

 

 

“อา! ฉันลืมซะสนิทเลย แต่ตอนนี้ ลูกพี่กลายเป็นผู้การรัฐแล้วไม่ใช่หรอ คงไม่อยากได้สถานชุมชนเล็กๆนั่นอีกแล้วล่ะมั้ง” 

 

 

 

 

 

หลายคนสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวา ส่วนฉินเฟิงจมอยู่ในห้วงตริตรอง 

 

 

 

 

 

‘ในเมื่อฉันได้กลายเป็นผู้การรัฐของสี่เมืองทะเลเหนือแล้ว ดังนั้นการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการในเขตสามเฉิงต่อไปมันคงเป็นเรื่องยาก ’ 

 

 

 

 

 

‘เพราะงั้นควรถอนตำแหน่งผู้ว่าการออก อีกอย่างสถานชุมชนแห่งนั้น มันไม่เหมาะสมที่จะพัฒนาอีกต่อไป’ 

 

 

 

 

 

‘แต่ว่า … ฉันยังทิ้งภูเขาพ่อแม่ลูกไปไม่ได้ เพราะในห้องลับใต้ดินของมัน ยังมีสวนสมุนไพรมืดของฉันอยู่ ไหนจะปัญหารอยแยกมิติในตอนแรกอีก ต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน’ 

 

 

 

 

 

‘ตอนนี้ คงถึงเวลาแล้วสินะ ที่จะกลับไปเยือนสถานชุมชนเฟิงหลีอีกครั้ง!’ 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงออกจากสถานชุมชนเฟิงหลีมานานถึงหกเดือน! 

 

 

 

 

 

ครึ่งปี ถือเป็นเวลานานมากจริงๆ มันคงจะดีถ้าได้แวะกลับไปดู 

 

 

 

 

 

ในตอนนั้นเอง ข้างหูของฉินเฟิงก็พลันได้ยินถึงเสียงกระจ่างใส 

 

 

 

 

 

“งั้นทำไมพวกเราไม่เปลี่ยนชื่อปราการชาตง ให้เป็น ‘เมืองเฟิงหลี’ ล่ะ ในเมื่อจากนี้ไป ที่นี่จะกลายเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มเฟิงหลี และเมืองประจำตัวของผู้การรัฐ ฉะนั้นจะให้เรียกแค่ว่าสถานชุมชนมันคงดูเล็กไป” 

 

 

 

 

 

ได้ยินคำของไป๋หลี คนอื่นๆนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นสายตาทั้งหมดก็ตกลงบนร่างของฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

การขยับขยายปราการชาตงให้เป็นเมืองใหญ่ ใช้เงินทุนไม่มากนักก็จริง แต่จำนวนประชากร , ระบบป้องกัน และอาวุธ ทั้งหมดนี่แหละคือปัญหา 

 

 

 

 

 

และที่กล่าวมาข้างต้น จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากฉินเฟิง พวกเขาไม่สามารถตัดสินตามอำเภอใจได้ 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจาง “มามองผมทำไม รีบไปจัดการสิ!” 

 

 

 

 

 

ซูซิงฝูรับคำสั่งทันที “น้อมรับคำสั่งท่านประธาน!” 

 

 

 

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ‘เมืองเฟิงหลี’ เป็นความคิดที่ดี!” 

 

 

 

 

 

เลือดในกายของทุกคนเดือดพล่าน 

 

 

 

 

 

แม้จะติดตามฉินเฟิงมาได้ไม่นาน แต่ทุกคนต่างล้วนสังเกตเห็นได้ถึงความจริงข้อหนึ่งของฉินเฟิง นั่นคือ ‘ยักษ์’ 

 

 

 

 

 

–ยักษ์ใหญ่กำลังถือกำเนิดขึ้นอย่างช้าๆ