บทที่ 1177 นายมันปากอัปมงคล

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“ฟู่ว!” ระหว่างที่ความกดดันถาโถมเข้ามา เสียงลมหายใจของหลิงม่อค่อนข้างถี่

เมื่อกี้หลิงม่อสามารถจัดการกับหัวหน้าทีมนิพพานได้สำเร็จ นั่นเป็นเพราะว่าเขารู้ตำแหน่งจุดอ่อนของม่านพลังสกัดกั้นมาจากเฮยซือ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจุดที่เขายืนอยู่ หรือจุดที่มาสเตอร์บอลซ่อนตัว ล้วนบังเอิญเป็นจุดบอดที่ไม่ค่อยเป็นที่สนใจเท่าไหร่ของทางเดินเส้นนี้

แต่ตอนนี้เมื่อหลิวหยางกำลังใกล้เข้ามา หลิงม่อกลับรู้สึกได้ว่าจุดอ่อนพวกนี้กำลังถูกปกคลุมอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะรู้สึกได้ว่าม่านพลังสกัดกั้นสลายหายไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าเพียงชั่วพริบตา เขาก็ตกอยู่ในกับดักที่อันตรายร้ายแรงยิ่งกว่า…

ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีม่านพลังสกัดกั้นแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงซักถามด้วยความตื่นเต้นดีใจจากทางฝั่งเฮยซือ หลิงม่อกลับตอบกลับอย่างเคร่งขรึมไปเพียงสองคำ “อย่ามา”

หากเป็นแค่ม่านพลังสกัดกั้น ผู้ที่จะอ่อนลงก็มีเพียงผู้มีพลังจิต แต่ผลกระทบต่อประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างเต็มรูปแบบอย่างนี้ จะทำให้ทุกๆ คนได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะคนที่อยู่รอบๆ หลิงม่อ…

“งั้น…ฉันจะพาคนไปค้นหาบริเวณรอบๆ โกดังอาหาร ถ้ายังมีพวกลอบโจมตีหลงเหลืออยู่ พวกฉันจะจัดการพวกมันทิ้งซะ นายพูดเองนี่ พวกเขาเตรียมตัวกันมาอย่างดี ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีคนอยู่ที่โกดังก็ได้” เฮยซือเอ่ย

“อืม แต่พวกเธอต้องระวังตัวกันด้วย ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่ปล่อยพวกเธอไปง่ายๆ แน่” หลิงม่อพูดด้วยความกังวลใจเล็กน้อย

“ใช่สิ พวกพี่เย่เลี่ยนเป็นยังไงบ้าง?” เฮยซือชะงักเล็กน้อย พลันเอ่ยถาม

“จากที่สัมผัสรู้ก็ยังดีอยู่ แต่…พวกเธอต้องกำลังสู้อยู่กับใครบางคนแน่” หลิงม่อเอ่ย นี่ก็คือเหตุผลที่เขารู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ แต่ยิ่งเขากระวนกระวายเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องพยายามควบคุมให้ตัวเองใจเย็นเข้าไว้ เพราะถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา พวกเยเลี่ยนก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

“ถ้าฉันจัดการกับฝั่งตัวเองเรียบร้อย แล้วพวกนายยังสู้กันอยู่…ฉันจะคิดหาทางขึ้นไปช่วยแล้วกันนะ พอถึงเวลานั้นนายอย่าปฏิเสธฉันอีกล่ะ สบายใจได้ ฉันไม่มาสร้างความวุ่นวายให้หรอก ฉันไม่ใช่ยัยโง่อวี๋ซือหรานนั่นเสียหน่อย” เฮยซือรับปากขันแข็งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ได้…” หลิงม่อพยักหน้า

“ใช่แล้ว นายชอบฉันหรือเปล่า?”

“…กลับไปค่อยว่ากัน”

ในอาคารสำนักงาน เฮยซือกำลังเขย่งปลายเท้ายืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง เธอหันกลับไปเหลือบมองสมาชิกทีมปาฏิหาริย์แต่ละคนที่กำลัง “ปรากฏตัว” ออกมา จากนั้นก็หันกลับไปมองทางด้านอาคารหอพักอีกครั้ง ท่ามกลางแสงแดด อาคารหลังนั้นดูสงบเหลือเกิน แต่เฮยซือรู้ดี ข้างในนั้น…ช่างมืดมนน่ากลัว

“ตรงนั้นน่ะเหรอ?” อวี่เหวินซวนเดินกะโผลกกะเผลกมาหยุดอยู่หน้าหน้าต่าง เอ่ยถามขณะที่มองไปทางอาคารหลังนั้น

“อืม พวกหลิงม่ออยู่ในนั้น” เฮยซือวางส้นเท้าลง แล้วจึงตอบกลับ

“ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย” อวี่เหวินซวนพูดขึ้นหลังจากสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง

“นี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัว…” เฮยซือเพิ่งตอบรับ ม่านตาก็พลันหดตัวลง จากนั้นเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เจ้าบ้า ได้ยินเสียงอะไรไหม?”

“ฉันเหรอ?” อวี่เหวินซวนชะโงกหน้าออกไปมองรอบๆ กำลังจะส่ายหัว แต่แล้วสายตาพลันจับจ้องด้านนอกรั้วที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ฮิๆ ดูท่าแล้วเธอไม่ได้หูฝาดเพราะได้รับผลกระทบอะไรหรอก…แต่สำหรับเราแล้ว มันก็ไม่ใช่ข่าวดีอะไรเลย…”

เฮยซือสีหน้าเคร่งเครียด รีบเขย่งปลายเท้าค้ำหน้าต่างมองไปอีกครั้ง ความสามารถในการมองเห็นของเธอดีกว่าอวี่เหวินซวนมาก…สิ่งที่อวี่เหวินซวนเห็นมีแค่เงาตะคุ่มสีดำ เพียงภาพเหตุการณ์นี้ก็เพียงพอที่จะสร้างความตกใจให้แล้ว…แต่สิ่งที่เฮยซือเห็น กลับเป็นใบหน้าจริงๆ ของเงาดำนั้น รวมไปถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกมัน

ซอมบี้หลายร้อยตัว ต่างกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่งในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า และที่หมายของพวกมันก็คือโกดังอาหารหลังนั้น

มีซอมบี้ส่วนหนึ่งหยุดนิ่งอยู่ระหว่างทาง แต่หลังจากที่พวกมันล้อมรอบกันเป็นวงกลมไม่นานก็กระจายตัวออก เฮยซือไม่ต้องคิดก็รู้ได้เลย พวกมันจัดการกินศพซอมบี้ที่เพิ่งตายอยู่ตรงพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเมื่อกี้ไปแล้ว

แต่ศพพวกนั้นน่ะหรือเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ซอมบี้พวกนี้มา? ดูจากความเร็วและดวงตาของพวกมัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นซอมบี้ระดับกลายพันธุ์ขึ้นไป และยังมีซอมบี้ครึ่งหนึ่งในนั้นที่เป็นระดับวิวัฒนาการ สิ่งที่ทำให้สีหน้าเฮยซือเคร่งเครียดที่สุดก็คือสองตัวการใหญ่…นั่นมันซอมบี้ระดับเจ้าเมืองของแท้เลยนี่

“นี่มันไม่เหมือนเรื่องบังเอิญ…”

ในตอนนี้เอง เฮยซือพลันสูดหายใจฟุดฟิด…

จากการที่พลังของม่านพลังสกัดกั้นอ่อนลง เธอเริ่มจะได้กลิ่นแล้ว…

เพียงหนึ่งวินาทีหลังจากนั้น สายตาของเธอก็จ้องเขม็งไปยังโกดังอาหารหลังหนึ่งในนั้น

“ตรงนั้นเกิดปัญหาแล้ว!”

ต่อมาก็ถอนหายใจอย่างหมดพลัง “เจ้านายนี่มันปากอัปมงคลจริงๆ…”

……

“มาแล้ว…สงสัยพวกนี้ถึงจะเป็นกับดักจริงๆ ทุกอย่างที่เตรียมมาก่อนหน้านี้ คงจะเพื่อแค่ผลาญพลังฉันเท่านั้น ดูท่า ยัยแมงมุมนี่ให้ความสำคัญกับฉันมากเสียจริงๆ” หลิงม่อแสยะยิ้มเย็นพูดอย่างเงียบๆ เทียบกับซอมบี้ระดับสูงที่เขาเจอพวกนั้น พูดได้เลยว่าราชินีแมงมุงรับมือยากที่สุดแล้ว เธอไม่เพียงแต่จะมีความสามารถที่แข็งแกร่ง ที่สำคัญคือยังระมัดระวังมาก ถ้าไม่ได้เจอกันวันนี้ หลิงม่อก็ยังคงไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามสะกดรอยตามเขามานานขนาดนี้แล้ว สุดท้ายพอเจอกัน พวกเธอกลับยังหลบซ่อนอยู่ในทีมของมนุษย์อีก…

ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงม่อและเหล่าซอมบี้สาวทั้งสามคนนั้นต่างก็วิวัฒนาการแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะยากลำบากกว่านี้มาก และถึงแม้ว่าราชินีแมงมุงจะวางแผนมามากมาย กลับไม่ได้พิจารณาปัจจัยพวกนี้รวมเข้าไปด้วย ทว่าถึงจะเป็นแบบนี้ การเตรียมการครั้งนี้ก็เพียงพอจะเห็นได้ถึงความน่ากลัวของเธอแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เตรียมไว้โดยคาดไม่ถึง ถ้าหากว่าเธอจับสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนแล้วค่อยโจมตีล่ะก็ จะต่อสู้ลำบากกันขนาดไหน?

“ฉันมีอีกหนึ่งคำถามที่อยากถามแก” หลินม่อพลันเอ่ยปากถาม

หลิวหยางกลับไม่ได้หยุดก้าวเดิน ไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามเลยสักนิด ล้อกันเล่นหรือไง เมื่อกี้ที่ฉันถามแกทำไมแกไม่ตอบล่ะ…

หลิงม่อไม่ได้แยแส ยังคงถามต่อไป “ที่แกเข้ามาอยู่ในทีมนี้ ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญถูกไหม? ฉันหมายความว่า…บางทีแกอาจจะบังเอิญเจอกับพวกเขา…ยังไงซะแกก็เป็นซอมบี้ แกคงจะไม่เข้าใจเรื่องของมนุษย์มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่แกจะสืบเส้นทางล่วงหน้าและปฏิบัติตามอย่างดี เพราะงั้น…ถึงแม้ว่าฉันจะใช้คำว่า ‘บางที’ แต่จากที่ฉันคิด แกต้องบังเอิญเจอกับพวกเขาแน่ๆ ฉันพูดถูกไหมล่ะ?”

“จนป่านนี้แล้ว แกจะถามเรื่องนี้ทำไมอีก? แกตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?” คงเพราะตกตะลึงกับการวิเคราะห์ของหลิงม่อ ในที่สุดหลิวหยางก็ตอบกลับ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ยอมรับโดยตรง แต่ถามคำถามพวกนี้ออกมา ก็เหมือนกับว่าเขายอมรับไปแล้วโดยปริยาย

“คำถามที่สอง…แกรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของฉัน ดังนั้นจึงค่อยๆ ตามมาถึงที่นี่ บางทีแผนเดิมของแกคือหลังจากที่หาตำแหน่งแน่นอนของฉันได้แล้ว ก็จะหลบซ่อนตัวก่อนแล้วค่อยหาจังหวะที่เหมาะสม แต่คิดไม่ถึงว่าจังหวะที่เหมาะเจาะพอดีแบบนี้จะตกมาอยู่ในมือแกทันที ดังนั้นแกจึงคว้าโอกาสนี้ไว้ ทิ้งแผนการที่จะไปตามหาฉัน และเลือกนั่งรอให้โอกาสลอยมาหา ใช่ไหมล่ะ?” หลิงม่อถามขึ้นอีกครั้ง

“เรื่องพวกนี้สำคัญด้วยเหรอ?” หลิวหยางชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงพูด “ก็ได้ แกพูดถูกแล้วล่ะ แต่ข้อมูลพวกนี้สำหรับแกในตอนนี้แล้ว ถึงจะเข้าใจมันเยอะแค่ไหนก็สายเกินไป ถ้าฉันเดาไม่ผิด ตอนนี้แกคงจะโดนผลาญพลังไปเยอะล่ะสิ?” พูดถึงเรื่องนี้ หลิวหยางมั่นอกมั่นใจเต็มร้อย สายตาที่มองไปยังหลิงม่อมีลักษณะของการมองเหยื่อ

หลิงม่อก็จดจ้องไปที่อีกฝ่ายเช่นกัน หลังจากฟังคำพูดของหลิวหยางจบ หลิงม่อกลับยิ้มออกมาทันที

“งั้นก็ดี”

“ดี? อะไรดี?” หลิวหยางหมายความอย่างที่ถามจริงๆ เขาขมวดคิ้วขึ้นแล้วอ้าปากถามทันใด

“ต้องดีอยู่แล้ว นั่นก็หมายความว่าหลังจากที่ฉันฆ่าแกแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็จะไม่มีคนอย่างแกมาตามรังควานฉันอีกไง” หลิงม่อพูดอย่างเย็นชา

“แก…” หลิวหยางตะลึงไปชั่วครู่ กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกขัดในระหว่างที่เพิ่งอ้าปากพูด

ไม่มีข้อได้เปรียบอะไรสักอย่าง มิหนำซ้ำท่าทางหลิงม่อที่เหมือนกำลังจะถูกบดขยี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะลงมือจัดการเขาโดยทันที…

และการลงมือครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าหลิงม่อทุ่มสุดพลัง

หลิวหยางส่ายหน้าอย่างไร้อารมณ์ “แกยังไม่ยอมแพ้จริงๆ สินะ…”

สวบๆ!

หนวดสัมผัสนับร้อยเส้นถูกปล่อยออกไปในพริบตา!

เผชิญหน้ากับขุมพลังที่กำลังพุ่งไปหาตัวเอง หลิวหยางกลับไม่แยแสสักนิด พูดได้ว่าดูผ่อนคลายด้วยซ้ำ

“นี่คือการโจมตีรูปสสารที่แกถนัดล่ะสิ? อืม แกลองดูได้ ฉันเป็นถึงหุ่นเชิดระดับหนึ่ง เทียบกับหุ่นเชิดระดับสองเมื่อกี้ รวมถึงหุ่นเชิดระดับสามที่แกเจอก่อนหน้านี้ มันคนละระดับกันเลย ความแตกต่างพวกนี้ อีกไม่นานแกก็จะรับรู้มันได้จากฉัน พอถึงเวลานั้น ฉันหวังว่าแกจะรู้สึกตัวหน่อย รีบยอมแพ้เร็วๆ บางทีแกอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิต…”

เคร้งๆ!

คำพูดหลิวหยางถูกขัดแล้ว…หนวดสัมผัสนับร้อยเส้นพวกนี้เกือบทั้งหมดก็เล็งเป้ามาที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา…

ถึงแม้ว่าเขาจะมองหนวดสัมผัสพวกนี้ไม่เห็น แต่ในความเลือนราง เขายังรู้สึกได้ถึงการเข้าประชิดของกลุ่มสีแดงฉูดฉาดกลุ่มหนึ่ง…

……………………………………….