บทที่ 304.2 โลกมนุษย์เต็มไปด้วยความอยุติธรรม ProjectZyphon
ระหว่างนี้เฉินผิงอันเดินผ่านสุสานแห่งหนึ่งก็เห็นว่ามีบัณฑิตยากจนที่เตรียมจะเข้าเมืองหลวงไปสอบกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าหลุมศพขนาดใหญ่ แต่ละคนเผยสีหน้าละอายใจที่ตนเองสู้ไม่ได้และทอดถอนใจด้วยความชื่นชมไม่หยุด
จากนั้นเขาก็เห็นว่าบริเวณใกล้กับหลุมศพมีจิ้งจอกสีขาวหิมะสองตัววิ่งออกมาแล้วทำท่าคารวะเหมือนคน
ยังมีจิ้งจอกอายุน้อยอีกหลายตัวที่นอนหมอบอยู่บนหลุมศพ พวกมันหัวเราะคิกคัก ตรงหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ฉายสีหน้าเพ้อฝันและเขินอาย ดูท่าแล้วคงไม่ใช่ปีศาจที่ดุร้ายอะไร แต่กลับคล้ายเด็กเล็กจอมตะกละมากกว่า
บัณฑิตเหล่านั้นพากันคารวะกลับคืน
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่หัวเราะขำยกใหญ่ รู้ดีว่านี่ต้องเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของปีศาจจิ้งจอกแน่นอน พวกมันกำลังล่อลวงใจคน แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้เป็นกังวลเท่าใดนัก เพราะปีศาจจิ้งจอกบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอยู่ในทวีปใดก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่มีนิสัยหรือการกระทำที่ดุร้ายโหดเหี้ยม นับตั้งแต่โบราณกาลมาธรรมชาติของพวกมันก็ใกล้ชิดกับมนุษย์อยู่แล้ว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมาใกล้ชิดเพราะหวังผ่านด่านความรักเพื่อเพิ่มขอบเขตและตบะของตัวเองเท่านั้น
เฉินผิงอันจึงไม่ได้เปิดโปงโดยการบอกกล่าวให้บัณฑิตพวกนั้นเข้าใจว่า บ้านหลังใหญ่โตที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แท้จริงแล้วเป็นแค่หลุมศพหลุมหนึ่งเท่านั้น
เฉินผิงอันเพียงแค่เฝ้าอยู่ข้างหลุมศพเงียบเงียบ
แล้วก็จริงดังคาด วันที่สองพวกบัณฑิตก็ออกจากจวนแห่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่ละคนเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี รู้สึกเพียงว่านี่เป็นการพบเจอกันที่งดงามครั้งหนึ่ง ไม่เสียแรงที่เกิดมาชาตินี้
เฉินผิงอันจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
เดินไปหน้าอีกสามร้อยลี้เฉินผิงอันก็มาถึงแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเป่ยจิ้น ตอนที่เดินผ่านเมืองแห่งนี้เจอตลาดพอดี เฉินผิงอันจึงซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลมาสองไม้จริงๆ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าวัดหรูชวี่ของแคว้นเป่ยจิ้นมีชื่อเสียงอย่างมาก ในวัดมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เล่าลือกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่พระโพธิสัตว์ท่านหนึ่งบรรลุมรรคคา ถูกขนานนามว่าแท่นบงกชหิน หินยักษ์มีขนาดกว้างถึงห้าจั้ง สามารถบรรจุคนได้หลายร้อยคน และคนเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้มันโยกคลอนได้ ไม่มีใครสามารถอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ฮ่องเต้เป่ยจิ้นที่เสด็จมาเยือนทางทิศตะวันตกเคยได้ทดลองโยกหินด้วยตัวเองก็ให้สำราญพระทัยอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ชื่อเสียงของวัดหรูชวี่ยิ่งขจรขจายไปไกล
แต่พอเฉินผิงอันสอบถามคนหลายคน ทุกคนกลับบอกว่าไม่รู้ว่าต้องไปวันหรูชวี่อย่างไร เฉินผิงอันจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เด็กชายพูดถึงเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนแล้ว เวลาสองร้อยปีในโลกมนุษย์มากพอให้หลายเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยืนหยัดไม่ย่อท้อ จนกระทั่งถามจนรู้ถึงที่ตั้งซากปรักของวัดแห่งนั้นถึงได้ยอมเลิกรา เมื่อเดินทางไปถึง รอบด้านเต็มไปด้วยพืชหญ้ารกชัฏ ไม่มีทั้งกลิ่นอายของคนแล้วก็ไม่มีทั้งกลิ่นอายของปีศาจ มีแต่ความทรุดโทรมเสื่อมสภาพ ท่ามกลางแสงสายัณห์ เฉินผิงอันเจอหินยักษ์ก้อนหนึ่งที่มองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์ใดๆ
เฉินผิงอันกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลสองไม้หมดก็โยนด้ามไม้ไผ่ทิ้งลงพื้น แล้วหมุนตัวจากไป
หลังจากเฉินผิงอันเดินออกจากประตูใหญ่ของวัดร้างไปแล้ว ยอดบนสุดของหินก้อนนั้นก็มีคนตัวจิ๋วโผล่หัวเล็กๆ ออกมา
มันขยับขึ้นมานั่งบนก้อนหินอย่างเงียบเชียบ
ที่แท้สาเหตุแท้จริงที่หินบงกชก้อนนี้สามารถโยกคลอนได้นั้น เป็นเพราะมันได้ให้กำเนิดคนจิ๋วดอกบัวซึ่งเป็นภูตก้อนหินตนหนึ่ง มันชอบซ่อนตัวแล้วแอบหัวเราะคิกคัก ทุกครั้งที่มีคนพยายามจะโยกก้อนหินมันก็จะรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันใด โยกตัวไปซ้ายทีขวาทีก็หินก็โยกคลอนตามไปด้วย จึงทำให้ทุกคนเข้าใจผิด
เพียงแต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งมันรู้สึกเบื่อแล้ว การโยกของแท่นบงกชหินจึง ‘ศักดิ์สิทธิ์บ้างไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง’ สุดท้ายก็ ‘แน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา’ ที่แท้เป็นเพราะมันไปจากแท่นดอกบัวหินแล้ว มันอยากไปตามหาสหายที่อยู่ห่างไปไกล อยู่เพียงลำพังมาปีแล้วปีเล่า มันรู้สึกเหงาอย่างมาก
สุดท้ายมันก็พบเจอสหายสองคน คนหนึ่งคือภูตงู อีกคนหนึ่งคือภูตกวางแม่น้ำ คนจิ๋วดอกบัวที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ถูกพวกมันสองตนหลอกเอาแขนเล็กข้างหนึ่งที่ ‘รวบรวมขึ้นมาจากรากเมฆาและแก่นดิน’ รวมถึงใบบัวเฉิงหวง (ชื่อสัตว์ในตำนานโบราณ) หนึ่งกลีบ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังยืนหยัดที่จะตามหาสหายต่อไป และในที่สุดมันก็ได้เจอกับภูตดอกไม้ที่ไม่ต้องการสิ่งใดจากมัน มันจึงพานางกลับมาที่แท่นบงกชหิน เล่นสนุกด้วยกัน หยอกพวกนักท่องเที่ยวด้วยกัน ทว่าถึงท้ายที่สุดมีวันหนึ่งที่มันตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลกลับค้นพบว่าปราณวิญญาณในแท่นบงกชหินไม่เหลืออยู่แล้ว ไม่เหลือเลยแม้สักนิดเดียว ภูตดอกไม้ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน
แท่นบงกชหินที่สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีใครให้ความสนใจอีก สุดท้ายก็ถูกละทิ้งหลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงภูตน้อยแขนเดียวที่มักจะมานั่งอยู่ริมแท่นหิน คลอเพลงพื้นบ้านในลำคอ แกว่งเท้าเบาๆ
บางครั้งมันก็รู้สึกเสียใจ เพราะมันไม่รู้ว่าตอนนี้สหายทั้งสามคนนั้นมีชีวิตที่ดีหรือไม่
หากมีชีวิตไม่ดี เหตุใดถึงไม่มาหาตนล่ะ มันจะได้ปลอบช่วยปลอบใจพวกเขาไง
แต่หากมีชีวิตที่ดี แล้วทำไมถึงยังไม่มาหาตนอีกล่ะ มันจะได้ร่วมดีใจไปกับพวกเขา
มันไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เจ้าตัวน้อยหันขวับกลับมาก็ค้นพบว่าคนต่างถิ่นที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะคนนั้นนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของก้อนหิน กำลังมองพระอาทิตย์ตกดินพลางดื่มเหล้า
พอสังเกตว่าตนหันไปมอง เขาก็ส่งยิ้มมาให้มัน
ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนรีบลุกขึ้นยืน กระโดดทิ้งตัวลงไปในก้อนหินยักษ์ทันที
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วกระโดดลงจากก้อนหิน ออกไปจากวัดหรูชวี่แห่งนี้จริงๆ ไม่แกล้งหยอกภูตน้อยตนนี้อีก
เจ้าตัวน้อยหลบซ่อนในก้อนหินอยู่นานถึงได้กล้าโผล่ออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ กวาดตามองไปรอบด้านพักหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าคนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว ถึงได้ขึ้นมาตรงตำแหน่งที่คนผู้นั้นนั่งเมื่อครู่ แล้วมันก็พลันเบิกตากว้างเพราะมองเห็นว่ามีเหรียญเงินที่ปราณวิญญาณโอบล้อมอยู่เหรียญหนึ่ง
ภูตบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่ล้วนชอบเงินของเทพเซียนบนภูเขา เพราะกินพวกมันเป็นอาหาร
การที่วางเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเอาไว้ เฉินผิงอันทำไปเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้เท่านั้น
แต่รอจนเฉินผิงอันออกไปจากเมือง เดินพ้นไปจากถนนหลวง เพิ่งจะเข้ามาในภูเขาก็พบว่าบนทางเล็กเบื้องหน้ามีเจ้าตัวน้อยยืนน้ำตาคลออยู่ มือข้างหนึ่งของมันกำเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นที่เมื่อเปรียบเทียบของกับร่างของมันแล้วนับว่าใหญ่โตกว่ามากเอาไว้แน่น สายตามองเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยทั้งกระวนกระวายใจแล้วก็ทั้งดีใจด้วย
เฉินผิงอันเดินเข้าไปหาช้าๆ เจ้าตัวน้อยมีนิสัยขี้ขลาดมาตั้งแต่เกิดจึงหายตัววับไปจากเส้นทาง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จนกลายเป็นว่าเจ้าตัวน้อยเดินตามหลังเฉินผิงอันไปบนภูเขาได้เกือบหนึ่งร้อยลี้
เฉินผิงอันก็ไม่เป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้มัน ปล่อยให้มันเดินตามตนมาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล
หนึ่งคนตัวใหญ่หนึ่งคนตัวเล็กจึงเดินทางร่วมกันไปแบบนี้
พอไปถึงป่าเก่าแก่ในภูเขาลึกที่เด็กชายพูดให้ฟังก็พบว่าหนทางอันตรายจริง ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะพ้นเดินออกไปจากขอบเขตของพื้นที่แห่งนี้ได้เจอกับปีศาจน้อยตนหนึ่งที่เหมือนคลุ้มคลั่ง เสื้อผ้าที่มันสวมใส่ขาดวิ่น เดินโซซัดโซเซ ปากก็พร่ำพูดประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาด้วยความเสียใจว่า “จิตใจเช่นนี้ จะกลายเป็นพระได้อย่างไร? จะกลายเป็นพระได้อย่างไร…”
ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนไม่สนใจอะไรอีก รีบวิ่งปรู๊ดมาหลบอยู่ข้างเท้าเฉินผิงอันทันที
หลังจากนั้นมาเจ้าตัวน้อยก็ไม่เหลือใจระแวดระวังอีก หากไม่กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก็จะมานั่งอยู่บนหัวไหล่ของเขา
ภายหลังเฉินผิงอันพาสหายใหม่ที่พูดไม่ได้ตนนี้เดินผ่านแคว้นแห่งหนึ่งที่มีสงครามเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน หลายชีวิตต้องสิ้นล้มประดาตาย วีรบุรุษผู้กล้าถูกบีบให้ผันตัวมาเป็นโจร ยึดครองภูเขาตั้งตนเป็นราชา สร้างกองกำลังใหญ่กองหนึ่งขึ้นมา
เรื่องราวที่เฉินผิงอันได้ยินมาตลอดทางล้วนเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษผู้กล้าที่สามสิบหกคน บอกว่าพวกเขาองอาจผึ่งผายแค่ไหน วรยุทธสูงส่งมากเสียจนดึงภูเขาชักแม่น้ำได้ แน่นอนว่าเฉินผิงอันยอมไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็คิดว่าหากมีโอกาสจะลองไปเยือนภูเขาแห่งนั้นเพื่อพบกับเหล่าวีรบุรุษดู ต่อให้อีกฝ่ายอาจจะไม่ยินยอมดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับตน แต่แค่ได้สัมผัสกลิ่นอายจอมยุทธ์ของพวกเขาอยู่ไกลๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ผลคือพอเฉินผิงอันไปเยือนด้วยความเลื่อมใสกลับไปเจอเข้ากับร้านเถื่อนที่เอาเนื้อมนุษย์มาทำเป็นซาลาเปา เฉินผิงอันเห็นว่าเหล่าพ่อค้าที่เดินทางมาด้วยกันหมดสติไปแล้ว จึงแสร้งทำเป็นหมดสติตามไปด้วย เขาถูกคนจับมัดมือมัดเท้าเอาไป ด้านหลังร้าน โยนไว้บนเขียงหั่นเนื้อหมูขนาดยาวและใหญ่ จากนั้นก็มีลูกจ้างร้านถือมีดเลาะกระดูกเดินหาวเข้ามาหาพวกเขา
ส่วนทางฝ่ายของเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ในขณะที่เพชฌฆาตกำลังจะลงมือประหารโจรใหญ่คนหนึ่ง กลับมีคนหลายสิบคนบุกเข้ามาชิงตัวนักโทษ โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่มือสองข้างถือขวานคู่ที่ไล่ฟันสังหารผู้คนไปตลอดทาง เขาหัวเราะร่าด้วยความสาแก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นพวกชาวบ้านที่มาชมเรื่องสนุกหรือพวกขุนนางล้วนถูกขวานของเขาผ่าออกเป็นสองท่อนไปหลายคน
มีชายผิวดำเกรียมร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่งตวาดด่า ชายถือขวานถึงได้หยุดมืออย่างขลาดกลัว สีหน้ากระดากอาย ไม่เหลือความดุร้ายอีกแม้แต่นิดเดียว
บุรุษผิวดำคนนั้นมองชายฉกรรจ์ร่างกำยำแวบหนึ่งก็โบกมือบอกให้เขาถอยออกไป กวาดตามองรอบด้านด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ที่มากกว่านั้นคือความปลื้มปิติและความสะใจ
เมื่อครู่นี้เขาตวาดสั่งสอนชายฉกรรจ์ถือขวานคู่ไปด้วยคำพูดที่ดุดันเอาเรื่องก็จริง ทว่าสายตาที่มองแผ่นหลังของคนสนิทในเวลานี้กลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
คนทั้งกลุ่มช่วยคนจากลานประหารได้สำเร็จจึงพากันขึ้นม้าที่เตรียมรอไว้ไม่ห่าง แล้วควบม้าออกไปจากเมืองที่โกลาหลวุ่นวายแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ทหารของทางการกลับไม่มีใครกล้าออกจากเมืองไล่ตามไป
รอจนคนทั้งกลุ่มพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยความฮึกเหิม เดินเข้าไปในร้านของตัวเองพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน กลับค้นพบว่าในร้านไม่มีคู่สามีภรรยาที่คุ้นเคยอยู่แล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวคนเดียว บนโต๊ะสุราเบื้องหน้าเขาวางกระบี่ยาวไว้เล่มหนึ่ง
ปราณกระบี่เข้มข้นน่าพรั่นพรึง
เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป เฉินผิงอันก็เดินออกมาจากร้าน
ในร้านที่อยู่ด้านหลังมีทั้งคนตายและมีทั้งคนเป็น คนเหล่านั้นล้วนเป็นวีรบุรุษชายชาตรีในสายตาของคนบนโลก ซึ่งบางคนก่อนจะตายก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจจริงๆ
กลับเป็นกลุ่มคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ส่วนใหญ่ล้วนเงียบงัน บ้างก็เป็นฝ่ายหยุดมือด้วยตัวเองหลังจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย พวกเขาทั้งไม่พ่นคำพูดโอหังหยาบคาย และในดวงตาก็ไม่มีแววอาฆาตอยากแก้แค้น กลับกันคือมีเพียงความเลื่อนลอยราวกับกำลังพูดว่า ในเมื่อชีวิตเป็นอย่างนี้แล้วก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เดินออกมาจากร้านเห็นว่าข้างทางมีม้าผูกไว้หลายตัว คิดดูแล้วเฉินผิงอันก็เดินไปจูงม้าสูงใหญ่ตัวหนึ่งมา พลิกตัวขึ้นบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่วถึงที่สุด
แรกเริ่มยังค่อยๆ ปล่อยให้ม้าเยาะย่างไปอย่างเชื่องช้า แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นควบม้าห้อตะบึงไปในยุทธภพ
—–