ตอนที่ 1450 พิโรธ

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1450 พิโรธ โดย Ink Stone_Fantasy

“เจ้ากล่าวว่าอันใด? เย่หยวน มัน…มันกลับมาแล้ว?”

เมื่อทราบข่าวนี้จากปากของฉินเทียนหยู ฉินเทียนหนานแทบสะดุ้งเฮือกขึ้นทันที

สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนหยูดูบูดบึ้งน่าเกลียดยิ่งเช่นกัน บิดเบี้ยวแทบกลั่นเป็นหยดน้ำได้

เขาพยักหน้าช้าๆ และกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ก่อนหน้านั้นเย่หยวนได้นำผลเก้าทำนองกายาอมตะไปยังหอยุทธเพื่อส่งภารกิจ! ข้าจึงรีบมาหาเจ้าทันทีเมื่อรับทราบข่าว”

“แล้ว…แล้วข่าวของฉินเทียนล่ะ?”

ฉินเทียนหนานเร่งเอ่ยถามทันทีพร้อมท่าทีร้อนใจเป็นกังวล

ตอนนี้เขามิได้สนใจเรื่องฆ่าเย่หยวนอีกต่อไป ชีวิตของฉินเทียนสำคัญที่สุด

อย่างไรก็ตามแต่ ฉินเทียนหยูกลับส่ายหัวและกล่าวว่า

“ฉินเทียนไร้ซึ่งข่าวคราว ทั้งยังไม่กลับมาเลย!”

ฉินหนานเทียนสีหน้าซีดเผือกลงในทันใดและเอ่ยรำพึงอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า

“เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้! ฉินเทียนอาจล่าช้าเพราะทำภารกิจกระมัง!”

ฉินเทียนหยูถอนหายใจเฮือกหนึ่งขณะกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป ในความเห็นของข้า เทียนน้อยนาจะประสบปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องภารกิจ จึงทำให้กลับออกมาล่าช้า ลำพังด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างภัยคุกคามแก่เขาได้”

สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาผืนยิ้มแห้งกล่าวว่า

“พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว ข้า…ข้าไม่ควรกังวลอะไรเช่นนี้ แม้ความแกร่งกล้าของเย่หยวนจะวิปลาสเพียงใด แต่หากต้องการเป็นคู่มือของฉินเทียน มันยังไม่มีคุณสมบัตินั้น”

คู่คิ้วของฉินเทียนหยูกระตุกขึ้น และกล่าวต่อทันทีว่า

“ใช่ มีบางอย่างที่ข้ายังมิได้บอกเจ้า ไม่เพียงเย่หยวนจะทำภารกิจสำเร็จเท่านั้น แต่เขายังทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว!”

สีหน้าท่าทีของฉินเทียนหนานพลันแปรเปลี่ยนในบัดดล สังหรณ์ใจที่เพิ่งสงบลงพลันกำเริบขึ้นอีกครา

“เป็นไปได้อย่างไร? ตอนที่มันออกเดินทาง มันเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย แค่สิบปีหรือจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้?”

ฉินเทียนหยูถอนหายใจอีกระลอกพลางกล่าวว่า

“ข่าวนี้เป็นที่โด่งดังทั่วสถานศึกษาหวูเมิ่ง น่าจะเป็นความจริง!”

ฉินเทียนหนานเผยสีหน้าสุดรวนเรหลากอารมณ์ไม่หยุดหย่อน ฉินเทียนหยูค่อยๆลุกขึ้นมาตบไหล่ของเขาเล็กน้อย และกล่าวให้กำลังใจไปว่า

“ใจเย็นเถิด ยามนี้รอดูไปก่อนเป็นดีที่สุด! หากเจ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ไปตามหาเย่หยวนได้แถวลานประลอง”

ตลอดทางที่ผ่านมาจวบจนถึงเรือนพักของเขา เย่หยวนไม่เห็นเซี่ยะจิ้งอวี้เลยแม้แต่เงา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก

ข่าวการกลับมาของเขาแพร่กระจายทั่วทั้งสถานศึกษาหวูเมิ่งราวกับสายลม กล่าวกันตามตรง เจ้าท้วมน่าจะวิ่งแจ้นมาหาเขาแล้วตอนนี้

“เป็นไปได้ไหมว่า เจ้าท้วมมันจะปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่?”

เย่หยวนคาดเดาพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

“ไปดูเจ้านั้นหน่อยดีกว่า!”

เย่หยวนเป็นกังวลไม่น้อยสำหรับเรื่องนี้ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเรือนพักของเซี่ยะจิ้งอวี้

แต่ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะก้าวย่างออกไป เขากลับชนเข้ากับซือฝางโดยตรง

“ท่านอาจารย์ซือ?”

เย่หยวนเอ่ยอุทานคล้ายแปลกใจ

เมื่อซือฝางเห็นเป็นเย่หยวน ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นทันที แต่ก่อนจะหม่นลงอีกคราอย่างรวดเร็ว

“เจ้ากำลังจะไปหาเซี่ยะจิงอวี้ใช่ไหม?”

ซือฝางเอ่ยปากขึ้นถามทันที

หัวใจเย่หยวนสั่นระรัวสังหรณ์ไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าท้วม?”

ซือฝางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า

“เจ้าตามข้ามาเถอะ!”

เมื่อเห็นเซี่ยะจิงอวี้ที่นอนติดเตียงพร้อมจังหวะหายใจอันแผ่วเบา ความพิโรธพลันปะทุอัดแน่นเปี่ยมล้นที่กลางอกเย่หยวน

เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีกลิ่นอายจิตสังหารเย็นสะท้านจากร่างเย่หยวน ซือฝางสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที

สภาพปัจจุบันของเจ้าท้วมดูแย่เป็นอย่างมาก แทบจะไม่มีส่วนใดอยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย ใบหน้าของเขาถูกทุบตีจนบิดเบี้ยวเสียรูปมนุษย์ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะนับพัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขารู้สึกทรมานมากเพียงใด

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ร่างกายของเจ้าท้วมไม่มีร่องรอยหรือกลิ่นอายของพลังปราณเทวะแม้แต่น้อย!

ด้วยสภาพปัจจุบันของเจ้าท้วม ไม่น่าจะอยู่รอดเกินสองสามวัน

 “ใครกันที่ทำเช่นนี้?”

คำกล่าวของเย่หยวนปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์ใด ราวกับสิ่งนี้หาได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้สักนิด

แต่ซือฝางสามารถบอกได้ทันทีว่า ณ ตอนนี้ความโกรธของเย่หยวนได้ลุถึงจุดสุดยอดแล้ว

ซือฝางไม่มีเจตนาปิดบังเช่นกัน และเริ่มเอ่ยปากเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองถึงสามวันก่อน

อันที่จริงแล้วเจ้าท้วมค่อนข้างฉลาดมาก หลังจากที่เย่หยวนจากออกไป เขาก็ทำตัวมิให้เป็นที่เตะตาโดดเด่นแต่อย่างใด โดยส่วนใหญ่เขามักใช้เวลาปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่คนเดียว

ระหว่างนี้เอง ทั้งหวังซ่งและเจียฉงต่างเข้ามายั่วยุเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่เจ้าท้วมก็หาได้ใส่ใจไม่

เป็นเช่นนี้ตลอดจนกระทั่งครึ่งปีพ้นผ่าน จนท้ายที่สุดเจ้าท้วมก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้น

เจ้าท้วมตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งต่อเรื่องนี้ เขาจึงเดินทางไปยังตำหนักชั้นในที่อยู่ของศิษย์ชั้นในเพื่อตามหาหลินซิ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมผัสระหว่างทั้งสองรุกหน้าพัฒนาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อสิบวันก่อน หลินซิ่งนัดพบเจ้าท้วมเจอกันนอกสถานศึกษา

ส่วนเจ้าอ้วนหาได้ฉุดคิดสงสัยอันใดไม่และเดินทางออกไปตามนัดจริงๆ

ทว่าเขากลับคาดไม่ถึงว่า หลินซิ่งจะคบหากับพวกตระกูลฉินอย่าง ฉินเจิง ฉินเป่ย รวมไปถึงพวกหวังซงและเจียฉงอยู่นานแล้ว!

นี่เป็นเพียงกับดัก!

“หลังจากนั้นข้าก็เพิ่งรู้ว่าหลิวซิ่งแอบชอบฉินเทียนมาโดยตลอด แต่ไม่มีใครรู้มาก่อน ส่วนคนของตระกูลฉินเห็นว่าไม่มีโอกาสสังหารเจ้าได้อีกแล้ว จึงใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ โดยใช้หลินซิ่งเป็นเหยื่อล่อ และทำให้เซี่ยะจิงอวี้ตกหลุมรักนาง”

ซือฝางหยุดชะงักครุ่นคิดเล็กน้อยและอธิบายต่อว่า

“เมื่อตระกูลเซี่ยะได้ทราบข่าวว่าเซี่ยะจิ้งอวี้กลายมาเป็นคนพิการเพราะพวกตระกูลฉิน ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรและได้แต่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ทราบดีว่าเซี่ยะจิ้งอวี้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้า จึงส่งตัวไปรักษาที่หอมหาสมบัติ แต่อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป นักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติไม่สามารถรักษาได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงต่อลมหายใจของเขาเท่านั้น”

เย่หยวนยืนฟังอย่างเงียบงันตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าการแสดงออกสุขุมเยือกเย็นราวกับปราศจากคลื่นอารมณ์ใดกระเพื่อมถาโถมเข้าสู่จิตใจ

เห็นเพียงแววตาสีเย็นทีสาดสะท้อนออกมา

เย่หยวนมิได้เอ่ยปากกกล่าวอันใด แต่หยิบโอสถออกมาเม็ดหนึ่งและยัดมันเข้าปากของเซี่ยะจิ้งอวี้ทันที

สายตาที่เฝ้าจับจ้องของซือฝ่างแลดูจริงจังขึ้นหลายส่วน ก่อนพบกว่าเขากลับไม่รู้จักโอสถในมือเย่หยวนเลย

แม้นั้นเป็นเพียงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง ทว่าเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน!

ซือฝางรู้สึกตกใจอย่างมากเมื่อนึกอะไรขึ้นได้!

นี่ต้องเป็นโอสถชนิดใหม่เช่นเดียวกับโอสถบ่มเพาะปราณ ยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพของมันเหนือกว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั่วไป!

เย่หยวนค่อยๆผสานมือทั้งสองลงบนร่างของเจ้าท่วมและกรอกเทพลังปราณเทวะลงไป เพื่อกระจายฤทธิ์โอสถไปทั่วร่างอีกฝ่าย ทันทีทันใดร่างกายของเจ้าท้วมก็ดูดีขึ้นเล็กนอย

คู่สายตาโพล่งโตสว่างวาบ ซือฝางตระหนักได้ทันทีว่าฤทธิ์โอสถชนิดนี้แข็งแกร่งเพียงใด!

“ท่านอาจารย์ซือ ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน?”

เย่หยวนเอ่ยถามนำเสียงเย็น

เขารู้ดีว่าซือฝางต้องทราบทราอยู่ของคนพวกนี้แน่นอน

ซือฝางพลันหน้าถอดสีทันทีและกล่าวว่า

“เจ้าจะไปหาพวกนั้น?”

เย่หยวนเอ่ยต่ออย่างไม่แยแสว่า

“ครั้งนี้เป็นฝีมือของตระกูลฉินอีกแล้ว ข้ามิใช่ลูกท้อนิ่มที่จะให้พวกนั้นมาบีบนวดได้โดยง่าย! ท่านอาจารย์ซือ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง มันมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับหอมหาสมบัติ”

ซือฝางดูวิตกกังวลหนักข้อเข้าไปใหญ่ ขณะกล่าวตอบว่า

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…เจ้ามิใช่คู่มือของพวกนั้น!”

ในบรรดาคนพวกนั้นมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดอยู่ด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลินซิ่ง นางเป็นที่รูจักในนามยอดอัจฉริยะอันดับสองรองจากฉินเทียน

แต่เย่หยวนที่เพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ กลับยังมีช่องว่างความต่างระหว่างพวกนั้นอยู่มากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่สะดวกเช่นกันที่จะให้หอมหาสมบัติออกโรงเคลื่อนไหว เพราะนี่ถือเป็นเรื่องภายในสถานศึกษาหวูเมิ่ง ทางหอมหาสมบัติไม่มีสิทธิ์เข้าแทรกแซง

เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงเย็นชืดว่า

“ท่านแค่บอกมาก็พอว่า พวกมันอยู่ที่ไหน!”

สีหน้าซือฝางรวนเรอย่างหนักแปรผันกลับไปกลับมา จนในที่สุดเขาก็ยอมกล่าวขึ้นว่า

“พวกนั้นสุมหัวอยู่ในโรงเตี๋ยมเฟิงหลาน!”

เย่หยวนพยักหน้าและเดินออกไปทันที

ในเวลานั้นเองซือฝางก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า

“ฉินเทียน…ออกไปตามล่าเจ้าจริงหรือไม่?”

ร่างเย่หยวนหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากตอบว่า

“ถูกต้อง!”

ซือฝางถามต่อด้วยความประหลาดใจว่า

“พวกเจ้าได้ปะทะกันหรือไม่? แต่การที่เจ้ากลับมาเช่นนี้ แสดงว่า…”

“มันตายแล้ว!”

เย่หยวนทิ้งทวนหนึ่งวาจาเบาๆและจากไปทันที

………………………………………………………