ตอนที่ 430 เริ่มเก็บกวาดสวะ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนมีนกอีกาจำนวนไม่น้อยบินวนอยู่บนหัวนาง นางกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าหุบปากไปเลย!”

“ยังไม่กล้าช่วยอีกรึ ?”

“ช่วย ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มพลังแล้ว”

“แท้ที่จริงแล้ว…”

“ที่จริงแล้วอะไรของเจ้าอีกเล่า ?!”

“ที่จริงแล้วเจ้าต้องจ่ายราคาของมันถึงครึ่งหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะมีโอกาสเพิ่มพลังความสามารถ แต่จะสามารถเพิ่มได้ถึงเพียงราชาแห่งภูตระดับเก้าเท่านั้น”

ในตอนนี้… มู่เฉียนซีถูกแสงบาง ๆ ห่อหุ้มร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง

พลังวิญญาณวิ่งพุ่งเข้าไปที่เส้นเส้นเอ็นของนางราวกับน้ำในแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยว ทำให้นางทะลวงพลังผ่านขึ้นไปทีละระดับขั้น

ระดับหก… ระดับเจ็ด… ระดับแปด… ขั้นสูงสุดระดับเก้า!

เพียงพริบตาเดียว พลังความสามารถของนางเพิ่มขึ้นถึงสี่ระดับ

เครื่องจักรกลไกกล่าว “ระดับจักรพรรดินั้น ต้องทดสอบเจ้าให้เจ้าบรรลุข้ามขั้นไปเอง”

มู่เฉียนซี “เหอะ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังหลอกข้าไม่จบสิ้น”

“หลอกรึ ? ข้าหลอกที่ไหนกัน ข้านั้นเป็นมิตรเป็นอย่างมากเจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”

บนใบหน้าของมู่เฉียนซีเต็มไปด้วยคำว่า ‘ไม่เชื่อ’  เครื่องจักรกลไกจึงกล่าวขึ้นโดยเปลี่ยนอาการจากกริ้วโกรธเป็นเขินอาย “เจ้าไปได้แล้ว ไปก่อนที่เจ้าจะหากุญแจข้าจนพบ ข้าไม่อยากที่จะหาเจ้าเจออีก

ทันใดนั้นแสงบาง ๆ ห่อหุ้มร่างของมู่เฉียนซีเอาไว้  นางกล่าวขึ้น “คราวนี้เจ้ากลับไม่พูดมากความแล้ว การกระทำก็รวดเร็ว อย่างน้อยเจ้าก็บอกข้าหน่อยเถอะว่าหอฉงโหลวบนเมฆานั้นจะปรากฏขึ้นมาเมื่อไร ?”

“อย่างมากที่สุดมันจะปรากฏขึ้นในเวลาสามเดือน เจ้าจะต้องคว้าโอกาสไว้แล้วเข้าไปในหอฉงโหลว มิเช่นนั้นแล้วพลังที่เจดีย์เทพแห่งนี้มอบให้แก่เจ้าจะถูกยึดกลับมา”

มู่เฉียนซีตกตะลึง สามเดือนเช่นนั้นหรือ ?

สามเดือน… ป่านนั้นนางก็คงจัดการเรื่องของสำนักอวิ๋นเยียนไปแล้ว

แม้ว่าถึงเวลานั้นจะหากุญแจไม่พบ แล้วมันได้ดึงพลังทั้งห้าระดับของนางกลับไป ผลกระทบก็ไม่ได้ใหญ่หลวงอะไร

มู่เฉียนซีถูกเจดีย์เทพส่งตัวออกไป เจดีย์เทพมองไปยังบุรุษในชุดสีขาวหิมะที่มุมปากเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เฮ้อ… ต่อไปก็ต้องปลุกให้เจ้าตื่นจากฝัน”

มู่เฉียนซีได้ออกมาแล้ว ทว่าในตอนที่นางออกมานั้น นางถูกคนของสำนักอวิ๋นเยียนล้อมเอาไว้

อวิ๋นฮวามองมู่เฉียนซีพลางยิ้ม “แม่สาวน้อย ในเมื่อเจ้าอยู่ด้านในนานเช่นนั้น แสดงว่าคงจะขึ้นเจดีย์ไปหลายชั้นแล้วที่ด้านใน”

ตัวเขานั้นสอบตกถูกส่งออกมาตั้งแต่การทดสอบตอนต้นแบบที่สองในชั้นที่สอง เขาสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ และยังสูญเสียกำลังคนไปมากมาย ผลสุดท้ายแล้วกลับไม่ได้อะไรเลย อวิ๋นฮวารู้สึกโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา

มู่เฉียนซีกล่าวเชิงหยอกล้อ “ก็ไม่ได้ขึ้นไปได้สักกี่ชั้นหรอก แค่ไปได้สูงกว่าเจ้าก็เท่านั้น เจ้าว่ามาเถอะว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ ?”

อวิ๋นฮวากล่าว “เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก พลังวิญญาณบนตัวเจ้าแกร่งขึ้นไม่น้อย ได้ยินมาว่าผู้ที่ผ่านชั้นที่สูงขึ้นไปได้นั้นจะมีรางวัลของล้ำค่าบางอย่าง ไม่รู้ว่าเจดีย์เทพได้มอบอะไรให้แก่เจ้า แม่สาวน้อย”

มู่เฉียนซี “เจดีย์เทพได้มอบรางวัลอะไรกับข้า แล้วมันกงการอะไรของเจ้า ? สุนัขที่ดีไม่ขวางทางคนเดิน ไสหัวไป!”

อวิ๋นฮวา “สาวน้อย เจ้าอย่าได้คิดว่าพลังความสามารถของเจ้าเพิ่มขึ้นแล้วจะสามารถทำตัวโอหังได้ จักรพรรดิเซี่ยตายอยู่ที่ด้านในแล้ว ส่วนคนอื่นนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้ พวกเราเองก็สามารถแก้พิษได้ มาดูกันว่าต่อไปเจ้าสามารถทำเช่นไรได้”

“จัดการ จับเป็นสาวน้อยผู้นี้!”

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

พวกเขาต้องการลงมือ แต่ทว่ามู่เฉียนซีเองก็ไม่อยากที่จะเกรงใจต่อไปอีกแล้ว  พลังความสามารถของนางได้เปลี่ยนจากราชาแห่งภูตระดับสองไปเป็นราชาแห่งภูตระดับเก้าโดยใช้เวลาไม่นาน

“เสี่ยวหง อู๋ตี้ กันพวกนั้นเอาไว้” มู่เฉียนซีสั่งให้เสี่ยวหงและอู๋ตี้รับมือกับผู้อาวุโสของอวิ๋นเยียน ส่วนตัวนางดึงกระบี่มังกรเพลิงออกมา และพุ่งไปที่ด้านหน้าของอวิ๋นฮวา

“ผนึกมังกรวารี!”

ตอนที่มังกรวารีขนาดยักษ์พุ่งทะยานออกมา ที่รอบกายของมู่เฉียนซีเต็มไปด้วยพลังของภูตวารีที่เข้มข้นแกร่งกล้า

ม่านตาของอวิ๋นฮวาหดเล็กลงโดยพลัน เขากล่าวขึ้น “ราชาแห่งภูต… ระดับเก้า… ระดับสูงสุด!”

เขาจำได้ว่าเมื่อตอนพบสาวน้อยผู้นี้ที่เทือกเขาชีชงนั้น นางยังเป็นเพียงราชาแห่งภูตระดับหนึ่งเท่านั้น  เพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าไรนัก นางกลับทะลวงพลังเลื่อนขั้นเป็นราชาแห่งภูตขั้นสูงสุดระดับเก้าแล้ว

ในตอนที่เขาได้ก้าวข้ามผ่านขั้นนี้ไปนั้น เขาใช้เวลาตั้งเกือบสิบปี แต่สาวน้อยผู้นี้เลื่อนระดับขั้นได้อย่างรวดเร็ว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง

“ในเมื่อก้าวข้ามไปหลายระดับเช่นนี้ เจ้า… เจ้าได้ผ่านด่านไปถึงชั้นที่ห้า ไม่สิ… ชั้นที่หก…”

อวิ๋นฮวารู้สึกเหลือเชื่อ เขาพ่ายแพ้ในชั้นสอง แต่สาวน้อยผู้นี้เพิ่งพ้นภาวะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่นานกลับผ่านไปได้ถึงชั้นที่หก

อวิ๋นฮวาจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยแววตาดุร้าย “แม่สาวน้อยเฉียนซี กลับไปสำนักอวิ๋นเยียนกับข้าเสียดี ๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว เจ้ามีความสามารถเช่นนี้ ยังจะกลัวว่าเจ้าสำนักจะเลี้ยงดูไม่ดีอีกหรืออย่างไร ?”

มู่เฉียนซี “ข้าไม่สนใจ”

“สายฝนหลั่งบุปผา!”

“สุราเคารพไม่ดื่ม ดื่มสุราลงโทษ…!” อวิ๋นฮวาสบถเสียงต่ำ

พลังวิญญาณของระดับจักรพรรดิเริ่มปลดปล่อยออกมา ลมในฝ่ามือของเขาที่เหมือนใบมีดพุ่งไปทางมู่เฉียนซีอย่างดุดัน

ร่างสีม่วงของมู่เฉียนซีรีบหลบหลีกไป พลังภูตวารีของนางกระจายอยู่รอบบริเวณ “กำแพงวารี!”

“มังกรวารีสะท้านสวรรค์!”

— ครืนนนนน! —

มู่เฉียนซีโต้กลับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงถูกอวิ๋นฮวาป้องกันเอาไว้ได้เช่นเดิม

อวิ๋นฮวา “แม่สาวน้อย ถึงแม้เจ้าจะเป็นราชาแห่งภูตระดับเก้าแล้ว แต่ราชาแห่งภูตก็คือราชาแห่งภูต คิดที่จะสู้กับข้า เจ้ายังอ่อนแอเกินไป  นอกจากนี้พลังของเจ้ายังมาจากเจดีย์เทพ เจ้าต้องการระยะเวลาหลอมรวมพลัง ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”

“งั้นรึ ?” สายตาของมู่เฉียนซีเย็นยะเยือก กระบี่มังกรเพลิงได้ฟันผ่านไป “มังกรเพลิงสังหาร!”

มังกรเพลิงสีแดงพุ่งตรงไปที่อวิ๋นฮวาอย่างไม่เกรงใจ และต้องการที่จะทำลายร่างของอวิ๋นฮวาให้สิ้นซาก

อวิ๋นฮวานั้นเคยเห็นท่าที่ร้ายกาจนี้ของมู่เฉียนซีมาก่อน จึงมีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เขาจึงรีบหลบหลีกไป

มู่เฉียนซีนั้นเข้ามาใกล้อวิ๋นฮวาในเวลาชั่วพริบตา ม่านตาของอวิ๋นฮวาพลันหดเล็กลง ความรวดเร็วของเด็กสาวผู้นี้ กลายเป็นรวดเร็วเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

มู่เฉียนซีได้ฝึกเคล็ดวิชาย่างก้าวพันเงา เดิมทีความรวดเร็วนั้นถือว่าไร้เทียมทานมากสำหรับคนระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้ยิ่งมีการส่งเสริมจากเจดีย์เทพ ความรวดเร็วของนางนั้นก็ยิ่งวิปริตเข้าไปอีก

ด้วยระยะที่ใกล้กันเพียงเท่านี้ มู่เฉียนซียกแขนขึ้น ปากก็แค่นเสียง “พลังซวนตี้!”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่แผ่กระจายครอบคลุมไปทั้งพื้นฟ้าผืนดิน อวิ๋นฮวาคิดที่จะหลบหลีกแต่ก็หลบไม่ทัน

การโจมตีนั้นกระแทกไปที่หน้าอกของเขา ทำให้เขากระเด็นลอยออกไป!

— ปัง! —

เสียงที่น่ากลัวดังขึ้นมา

เหล่าผู้อาวุโสของสำนักอวิ๋นเยียนตะลึงลาน อวิ๋นฮวาผู้แข็งแกร่งกลับถูกเด็กสาวราชาแห่งภูตผู้หนึ่งตบกระเด็น

ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเด็กสาวผู้นี้ได้ก็เพราะพิษ แต่มาตอนนี้เด็กสาวนั้นไม่ได้ใช้พิษเลย  อวิ๋นฮวาก็ยังพ่ายแพ้

เมื่อต้องสู้กับผู้วิปริตเช่นนี้ พวกเขาต่างรู้สึกกลัวและคิดว่าจะถอยหนีดีหรือไม่

อู๋ตี้กล่าวขึ้น “พวกเจ้าจะไม่รักษาชีวิตเอาไว้หรือไร ? กล้ามาเหม่อค้างในเวลาเช่นนี้”

กรงเล็บแมวตะปบไปอย่างไร้ความปรานี ทำให้แขนของผู้อาวุโสสำนักอวิ๋นเยียนเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายในชั่วพริบตา

เมื่อเผชิญกับอวิ๋นฮวา แน่นอนว่าถ้าได้ทีแล้วมู่เฉียนซีย่อมไม่ปล่อยจากการตามต่อตี!

“มังกรวารีพิฆาต!”

— ฟึ่บ! —

เข็มยาหลายเข็มบินตามมังกรวารีไปทางอวิ๋นฮวาอย่างเป็นหนึ่งเดียว

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

อวิ๋นฮวากลิ้งอยู่ยบนพื้นอย่างน่าสมเพช ทว่าเขาหลบการโจมตีนี้ไปได้ เสื้อผ้าของเขาเละเทะจนดูแทบไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว

— ตูม! —

มู่เฉียนซีไม่เหลือพื้นที่ใดไว้ให้เขา นางปล่อยกระบวนท่าเป็นกระบวนต่อกระบวนโจมตีเขา ทำให้เขานั้นบาดเจ็บมากขึ้นไปอีก

“เจ้าจะได้เจอกับศิษย์น้องสาวรองของเจ้าแล้ว”

ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายเย็นวาบออกมา จากนั้นกระบี่มังกรเพลิงในมือก็ได้พุ่งไปปลิดชีพในกระบี่เดียว แทงเสียบเข้าไปที่คอหอยของอวิ๋นฮวา