ตอนที่ 620 เจินจุนระดับถอดดวงจิต

พันธกานต์ปราณอัคคี

ฝึกบำเพ็ญเพียรมาไม่รู้กี่เดือนกี่ปี ในตอนที่เวลายี่สิบปีผ่านไป สำหรับประวัติศาสตร์ผู้บำเพ็ญเพียรล้านปีในดินแดนทวีปแห่งเทพนั้น ก็เป็นแค่ชั่วพริบตาที่ดีดนิ้วเท่านั้น

แต่ชั่วพริบตาที่ดีดนิ้วนั้น กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์

ทวีปแห่งเทพแบ่งออกเป็นห้าดินแดน คือดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก แดนไท่ไป๋ภาคตะวันตก ทุ่งชื่อเจ่าภาคใต้ ดินแดนทุรกันดารภาคเหนือ และแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนภาคกลาง

ร้อยกว่าปีก่อนทวีปแห่งเทพปรากฏแดนวิญญาณสวรรค์ขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับ หนึ่งในนั้น แดนสวรรค์มี่หลัวตูอยู่ที่แผ่นดินใหญ่เทียนหยวน แดนเสวียนเทียนประดิษฐ์อยู่ที่ดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก และมีแดนสวรรค์อีกหลายแห่งที่อยู่ในที่อื่นๆ

และในยามนี้ คาดไม่ถึงว่าแดนสวรรค์ในสถานที่ต่างๆ จะถูกพบว่ามีแดนซ้อนทับกันอยู่!

เหตุใดถึงเรียกว่าแดนซ้อนทับนะหรือ

เดิมแดนสวรรค์ก็เป็นห้วงมิติพิสดารที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกเทศในดินแดนทวีปแห่งเทพอยู่แล้ว อาณาเขตเขตภายในล้วนครอบจักรวาล ไม่มีขอบเขต

ทางเข้าในแดนสวรรค์หลายแห่งล้วนแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่กลับมีโลกดวงดาวหนึ่งแห่งที่พิเศษมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่อย่างซ้อนทับกันกับแดนสวรรค์ทั้งหลาย ที่นี่จึงถูกเรียกแดนซ้อนทับ

นั่นก็หมายความว่าหลังจากเข้าไปในโลกดวงดาวแล้ว ในตอนที่ผู้บำเพ็ญเพียรคิดจะจากไป ก็สามารถไปปรากฏตัวในแดนสวรรค์ใดก็ตามท่ามกลางบรรดาดินแดนทั้งห้าของทวีปแห่งเทพได้

โลกดวงดาวในแดนวิญญาณสวรรค์สามารถกำหนดตำแหน่งได้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่พบแดนซ้อนทับนี้ก็จะกำหนดตำแหน่งที่นี่เอาไว้ และร่วมมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายสิบคน ทำให้ทางเข้าของแดนสวรรค์มี่หลัวตูกลายเป็นทางเดินช่องทางพิเศษ

เช่นนั้น ปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปเมื่อเข้าไปในแดนสวรรค์มี่หลัวตูนั้น ล้วนสามารถอาศัยทางเดินนี้เข้าไปในแดนซ้อนทับได้ ดังนั้นการเข้าไปในแดนสวรรค์ต่างๆ ในทวีปแห่งเทพ จึงทำให้รู้สึกถึงความลี้ลับที่ไม่เหมือนกันในแดนสวรรค์

ความคิดที่ว่าแดนสวรรค์ของแผ่นดินทั้งห้าแยกออกจากกันพลันถูกทำลายลง เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรจากแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนปรากฏตัวในแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์และเข้าไปในดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก นี่ดึงดูดความอึกทึกครึกโครมเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดของสิบดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออกจึงใช้วิธีเดียวกัน และเปิดช่องทางพิเศษขึ้น

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดต่างดินแดนอื่นๆ จึงทำเช่นเดียวกันตามลำดับ

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ออกสำรวจ แดนสวรรค์มี่หลัวตูได้พบโลกดวงดาวที่เหมาะให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเป็นร้อยคนใช้ฝึกฝน แดนสวรรค์แดนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของดินแดนทวีปแห่งเทพจึงทำการสำรวจแดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่

ประโยคที่ว่า ‘วันนี้เจ้าเข้าไปในแดนสวรรค์แล้วหรือยัง’ กลับกลายเป็นคำทักทายหลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรพบหน้ากัน หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนไหนยังไม่เข้าสู่แดนสวรรค์ ก็จะกระดากอายจนไม่กล้าพบหน้าผู้คน!

และผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นผู้ค้นพบแดนซ้อนทับ ก็จะมีชื่อเสียงก้องไปทั่วทั้งทวีปแห่งเทพ

พวกเขาก็คือเหอกวงเจินจวินและจั่นหนิงเจินจวินทั้งสองท่าน

นอกจากนี้ ในแดนสวรรค์มี่หลัวตูยังเกิดการแย่งชิงหยกแก้วข้ามวิญญาณเพื่อการบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขึ้น ประกอบกับสมบัติวิเศษในแดนสวรรค์ต่างๆ ล้วนมีประโยชน์ในการเพิ่มพลังยุทธ์และระดับของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ถึงหลายสิบปีต่อมา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งดินแดนทวีปแห่งเทพก็จะมากขึ้นแล้ว

อย่างช้าๆ คำพูดเช่นนี้ก็แพร่หลายไปทั่วแดนผู้บำเพ็ญเพียร

ว่ากันว่าการกำเนิดของแดนสวรรค์คือหน้าต่างบานหนึ่งที่เกิดขึ้นกับแดนมนุษย์หลังจากที่เส้นทางสวรรค์โบราณถูกตัดขาด ส่วนแดนซ้อนทับต่างๆ ในแดนสวรรค์ก็คือสะพานเชื่อมโยงระหว่างแดนมนุษย์และแดนวิญญาณ

ส่วนสะพานเชื่อมในแดนซ้อนทับจะซ่อนอยู่ที่ใด สร้างขึ้นได้อย่างไร ล้วนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ก็เพียงพอจะทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของทวีปแห่งเทพรู้สึกฮึกเหิม

และเมื่ออาวุโสสูงสุดหัวหน้าพรรคหลิวซางเจินจวินของพรรคเหยากวงออกจากการกักตน และกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตนั้น ความรู้สึกตื่นเต้นนี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

เหอกวงเจินจวิน หลิวซางเจินจุน ล้วนมาจากพรรคเหยากวง

ผู้บำเพ็ญเพียรของดินแดนทวีปแห่งเทพ ต่างล้วนรู้สึกเลื่อมใสพรรคเหยากวงของดินแดนเทียนหยวน

งานพิธีบรรลุระดับขั้นของหลิวซางเจินจุน ล้วนมีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามา ครึกครื้นกันไปครึ่งเดือนถึงจะสงบลงได้

และเมื่อพิธีฉลองการบรรลุระดับขั้นของหลิวซางเจินจุนจบลง เรื่องแรกที่จะทำก็คือการกล่าวถึงการเปิดม่านสนทนาวิถีพรต

ระดับจิตใจ ความรู้สึก ประสบการณ์ แม้คำว่าพรตจะออกเสียงเพียงพยางค์เดียว ยิ่งลึกซึ้งก็ยิ่งภูมิใจจนไม่อาจถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ หลิวซางเจินจุนพยายามเอาหนทางที่ลึกลับเหล่านี้มาถ่ายทอดเป็นคำพูดอย่างสุดความสามารถ เพื่อเผยแพร่ให้ทุกคน

การสนทนาครั้งนี้ กินเวลาต่อเนื่องไปหนึ่งเดือน จากนั้นระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงฝ่ายต่างๆ ก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันต่อเนื่องไปอีกสองเดือน ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ถึงได้พากันแยกย้าย และมีผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษจำนวนหนึ่งตั้งรกรากอยู่ใกล้กับบริเวณพรรคเหยากวง ทุกอย่างจึงได้สงบลง

ยอดเขาด้านหลังยอดเขาโฮ่วเต๋อ หลิวซางเจินจุนยืนอยู่บนสายลม พลางมองไปยังจุดที่ไกลออกไป

ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หันมา “เหอกวง เจ้ามาได้อย่างไร”

กู้หลีมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย สวมชุดสีเทาดูแล้วยังคงท่าทีเงียบขรึม แต่หากเพ่งมองอย่างละเอียด ท่าทีอันมีเอกลักษณ์เช่นนี้กลับทำให้ผู้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

เขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ได้ยินพลันหัวเราะออกมาแล้ว “อาจารย์ หลายวันมานี้ต้องทำให้ท่านลำบากแล้ว เหอกวงเอาสุราดีมาด้วย”

เอ่ยไปพลางหยิบไหสุราออกมาจากแขนเสื้อกว้าง

แค่เห็นรูปร่างที่พิเศษของน้ำเต้า หลิวซางเจินจุนก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “เหอกวง สุราชั้นดีนี้เป็นนางหนูชิงเฉินมอบให้เจ้าสินะ”

“เป็นนางนั่นแหละ” กู้หลีพูดถึงศิษย์ของตนเอง สีหน้าก็อ่อนโยนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“ฮ่าๆๆ…” หลิวซางเจินจุนหัวเราะร่า พลางฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เหอกวงเอ๋ย สุรานี้ข้าไม่ต้องการหรอก ข้าว่าเจ้าเอาสุราไหนี้ออกมา ก็คงจะทุกข์ใจสินะ!”

ชั่วขณะนั้นกู้หลีพลันมีสีหน้าลำบากใจ รู้สึกกระดากอายแต่ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

หลังจากที่หลิวซางเจินจุนบรรลุระดับถอดดวงจิตแล้ว นิสัยก็เปลี่ยนเป็นรักอิสระไร้กฎเกณฑ์ขึ้นมาก เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงไม่แกล้งลูกศิษย์อีก กลับมีสีหน้าฉงนเล็กน้อย “ความจริงแล้ว ก่อนที่นางหนูชิงเฉินจะไปจงหลาง เคยมอบสุราเอาไว้ให้ข้าไม่น้อย”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก มองลึกเข้าไปในแววตาของกู้หลี “สมบัติฟ้าดินต่างๆ ที่เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงปรากฏขึ้นในแดนสวรรค์ต่างๆ ก่อนที่อาจารย์จะกักตนก็ได้รับมาไม่น้อย สมบัติที่พัฒนาระดับได้เหล่านั้นล้วนไม่มีไม่ได้ แต่สุราชั้นดีที่นางหนูชิงเฉินมอบให้นั้น เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ข้าบรรลุระดับขั้นสำเร็จ”

ทั้งสองล้วนเงียบขรึม ผ่านไปเนิ่นนาน กู้หลีพลันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “ศิษย์มีวาสนาลึกซึ้ง ทั้งเชี่ยวชาญในการหมักสุราจนสามารถบ่มสุราชั้นดีที่บำรุงจิตวิญญาณดั้งเดิมได้ เหอกวงไม่เคยคิดถึงมาก่อน”

หลิวซางเจินจุนพยักหน้า “ใช่แล้ว จะมีผู้ใดคิดได้ ที่ข้าพัฒนาระดับมาอยู่ในระดับถอดดวงจิตได้ ก็เพราะสุราชั้นดีของศิษย์หลาน หึๆ เหอกวงเอ๋ย เจ้าก็อย่าคิดมาก ดูจากแนวโน้มใต้หล้าในวันนี้ สะพานเชื่อมแดนมนุษย์และแดนวิญญาณจะเปิดออกในอีกไม่ช้าก็เร็ว พวกเราศิษย์อาจารย์ รวมทั้งชิงเฉิน ในที่สุดก็ได้มารวมตัวกันที่นั่น นี่เป็นสาเหตุที่ข้าไม่ตระหนี่ เปิดม่านสนทนาวิถีพรตให้ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าฟัง มองโลกในแง่ดี พอใจในสิ่งที่คว้าไม่ได้ ข้าหวังว่าผู้บำเพ็ญเพียรของดินแดนทวีปแห่งเทพจะสามารถมีโอกาสพัฒนาขึ้นไปอยู่ในแดนวิญญาณได้ ต่อให้ไม่อาจพัฒนาระดับได้ อย่างน้อยก็ได้มองภูมิทัศน์เช่นนี้ด้วยความศรัทธา และไม่ใช่คิดเพียงว่าหนทางแห่งเซียนจะมีแค่ความดับสูญและว่างเปล่าเท่านั้น”

กู้หลีคารวะอย่างเคร่งขรึม “สิ่งที่อาจารย์คิด เหอกวงย่อมเลื่อมใส”

หลิวซางเจินจุนมองผมสีขาวตรงจอนผมของกู้หลี เนิ่นนานไม่พูดจา แล้วเปล่งเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ

“อาจารย์” กู้หลีมีท่าทีแปลกประหลาดเล็กน้อย

หลิวซางเจินจุนเปล่งเสียงหัวเราะ “เหอกวง อาจารย์สนทนาวิถีพรตครั้งนี้จบแล้ว ก็คิดจะไปที่แดนซ้อนทับสักรอบหนึ่ง และค้นหาความลับของทางเชื่อมแดนวิญญาณที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจ้าจะยอมติดตามอาจารย์ไปหรือไม่”

“เหอกวงโชคดีมาก”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ติดตามอาจารย์ไปเถิด” หลิวซางเจินจุนสะบัดแขนเสื้อกว้าง เมฆใต้ฝ่าเท้าลอยขึ้น ค่อยๆ บินไปยังจุดที่ไกลออกไปโดยมีกู้หลีอยู่ด้านหน้าตนอยู่ด้านหลัง

อีกด้านหนึ่ง ชายชราสองคนกำลังแข่งหมากล้อมกัน

“ศิษย์น้อง ยินดีด้วย ภารกิจของสาขาสามสิบหกหวงของพวกเจ้าในครั้งนี้นับว่าสำเร็จแล้ว” ชายชราที่เป็นคนพูด นั่นก็คืออาวุโสสาขาเสวียนจิ่วที่ช่วยหลัวอวี้เฉิงสำแดงวิชาลับตัดความรู้สึก

อาวุโสสาขาสามสิบหกหวงตบโต๊ะคราหนึ่งทำให้หมากรุกสีดำตกลงไป ดูเหมือนจะถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ถอนหายใจ “ใต้หล้านี้ เป็นกระดานหมากรุกดีๆ นี่เอง เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเราเป็นคนวางหมาก มั่นใจว่าตนเองเหนือกว่า ภูมิอกภูมิใจ ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเราใช่หมากในอีกกระดานหรือเปล่า”

อาวุโสสาขาเสวียนจิ่วหัวเราะร่า “คิดมากเกินไปก็เหนื่อยสมอง ข้ารู้เพียงว่าภารกิจในครั้งนี้ลุล่วง เผ่าวิญญาณสวรรค์ของพวกเราก็จะได้เข้าไปในแดนวิญญาณ และมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดของสาขาสามสิบหกหวงพวกเจ้าด้วย ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนัก สุราร่วมยินดีจอกนี้ ข้าผู้เป็นพี่ชายขอร่วมร่ำสุราด้วย”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” อาวุโสสาขาสามสิบหกหวงนึกถึงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนในเผ่าจะมีโอกาสเข้าไปในแดนวิญญาณ สีหน้าก็ดีขึ้นมากก

ต้องเข้าใจว่านอกเสียจากว่าทางเชื่อมแดนมนุษย์และแดนวิญญาณจะเปิดออก มิเช่นนั้นต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับแยกวิญญาณก็อย่าคิดจะเข้าไปในแดนวิญญาณได้

แต่แดนมนุษย์ในยามนี้ต่อให้ปรากฏแดนสวรรค์ขึ้นหลายแห่ง ทรัพยากรก็ยังคงไม่เพียงพอเหมือนเก่า หมายจะก้าวไปอีกขั้นก็ยากเย็น

ถ้าหากศิษย์ระดับก่อกำเนิดในเผ่าเข้าไปในแดนวิญญาณ ความเร็วในการฝึกฝนย่อมก้าวกระโดด ในอนาคตย่อมกลับมาดูแลเผ่า นั่นย่อมเป็นประโยชน์อันไร้ขีดจำกัด

“จะว่าไปแล้ว เหตุใดเจ้าเด็กอวี้เฉิงนั้นถึงไม่กลับมา หากข้าจำไม่ผิดเขาออกไปหาประสบการณ์มาห้าสิบปีแล้วสินะ”

อาวุโสสาขาสามสิบหกหวงหยุดชะงักหมากในมือ แล้วส่งเสียงอืม

“นี่ก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องส่งศิษย์ในเผ่าไปแดนวิญญาณเมื่อไหร่ หากอวี้เฉิงกลับมาไม่ทัน จะไม่เสียดายหรือ!”

อาวุโสสาขาสามสิบหกหวงพลันถอนหายใจออกมาเบาๆ “วาสนาของแต่ละคน หากชะตาชีวิตเป็นเช่นนี้ ก็โทษคนอื่นมิได้ เดิมทีเขาก็ต้องสืบทอดวิญญาณสวรรค์ต่อ เป็นผู้เชื่อมโยงกับแดนวิญญาณของเผ่าเรา ไปแดนวิญญาณไม่ได้ในยามนี้ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ข้ากังวลกลับเป็นความรักของเขา”

“ความรักหรือ” อาวุโสเสวียนจิ่วพลันตกตะลึง “อวี้เฉิงกำจัดเส้นเอ็นความรู้สึกไปแล้ว จะมีความรักได้อย่างไร”

อาวุโสสาขาสามสิบหกหวงเคาะหมากรุกเล็กน้อย “หลังจากที่อวี้เฉิงตัดความรู้สึก ข้าก็ไปตรวจสอบคนที่เขาต้องใจ เจ้าเดาสิว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด”

“หรือว่าจะมีชื่อเสียงมาก”

“มีชื่อเสียงมากจริงๆ นางเป็นศิษย์หลานของหลิวซางเจินจุน ศิษย์ของเหอกวงเจินจวิน คู่บำเพ็ญเพียรของลั่วหยางเจินจวิน เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุระดับก่อกำเนิดได้รวดเร็วที่สุดในพรรคเหยากวงในยามนี้”

อาวุโสสาขาเสวียนจิ่วพลันตกตะลึง “โดดเด่นเพียงนี้ มิน่าเล่าอวี้เฉิงที่ตาสูงมาโดยตลอดถึงต้องใจ”

อาวุโสสาขาสามสิบหกหวงพลันสั่นศีรษะ “คำว่าความรู้สึกนั้น ไม่จำเป็นต้องดีเลิศก็ได้ อวี้เฉิงเป็นผู้ที่มีความสามารถตั้งแต่เด็ก ศิษย์ที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดวิญญาณสวรรค์ในอดีตของเผ่า ล้วนเป็นผู้ที่ไร้ความรู้สึก แต่หากต้องใจแล้วก็ยากจะตัดขาด จากความหยิ่งทะนงของอวี้เฉิง หากเขาไล่ตามสตรีที่มีสามีแล้วไม่เลิก มันก็จะเป็นเพียงการหาเหาใส่หัวเท่านั้น”

อาวุโสสาขาเสวียนจิ่วไม่เข้าใจ “ยามนี้อวี้เฉิงเป็นคนไร้ความรู้สึกแล้ว ศิษย์น้องกังวลมากไปแล้ว”

อาวุโสสาขาสามสิบหกหวงมองเขาแวบหนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยว่า “สรรพสิ่งหลากลาย มีส่งเสริมมีปฏิปักษ์ ไม่มีวิธีที่ทำลายไม่ได้ วิธีการตัดความรู้สึกนั้น มีเพียงโลหิตของคนในใจเท่านั้นที่ทลายได้ การเดินทางในครั้งนี้อวี้เฉิงแค่ร่วมเดินทางไปกับสตรีผู้นั้น หากสวรรค์เป็นใจ เขาดื่มโลหิตของสตรีผู้นั้นลงไปแล้วจะเป็นอย่างไร”

ยามนั้น ทั้งสองคนพลันเงียบขรึม

ปล่อยให้ดินแดนทวีปแห่งเทพเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนต่างๆ ล้วนเคลื่อนไหวไปตามสายลม ใต้หน้าผาที่ว่างเปล่านั้น ยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม

มั่วชิงเฉินเบิกตาขึ้นท่ามกลางความเงียบ